ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1894 ยุคทองของฟาร์มปลา

บทที่ 1894 ยุคทองของฟาร์มปลา

แสงของดวงอาทิตย์ค่อยๆ ตกลงมาในทุ่งหญ้า เนื่องจากอุทยนแห่งนี้สะอาดเป็นอย่างมาก อากาศที่ดีจึงสะอาดจนราวกับไม่ใช่เรื่องจริง เมื่อแสงจากดวงอาทิตย์หายไป พื้นหญ้าก็กลายเป็นสีเขียวขจี

หลังจากที่นอนอาบแสงสีทองแล้ว หลัวปอก็เดินออกไปข้างนอกช้าๆ ด้วยท่าทีสง่างาม ที่เท้าด้านหลังของมันมีเจ้าตัวเล็กสีขาวปุกปุยสองสามตัววิ่งตามมันไป พวกมันส่งเสียงร้องออกมาเป็นครั้งคราว พวกมันต่อสู้กันอีกครั้ง แล้วจากนั้นพวกมันก็ล้มลงพื้น…

หมาป่าโชคร้ายเดินชะโงกหน้าไปมองอยู่ทีด้านหลังสุดใบหน้ายาวของหมาป่าตัวนี้แสดงสีหน้าภาคภูมิใจออกมา แม้ว่าขนสีขาวสะอาดของมันจะเปอะเปื้อนไปบ้าง และยังมีคราบแห้งกรังจากดินสีดำ ทำให้ร่างกายของมันเป็นสีเทาและดำ แต่ก็ไม่มีท่าทางวางอำนาจเหมือนเมื่อสองสามวันก่อน

แต่ตอนนี้สภาพจิตใจของมันนั้นเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้เลย มันเหมือนกับราชาหมาป่า วงตาหยิ่งผยองและเหยียดหยาม แต่เมื่อมันมองไปยังกลัวปอและเจ้าตัวเล็กพวกนั้น สายตาของมันก็ดูอ่อนโยนขึ้น

เมื่อได้ยินเสียงร้องของหมาป่า วินนี่ก็รีบวิ่งออกมาดู เธอกวักมือเรียกหลัวปออย่างมีความสุข พลางตะโกนออกไปว่า “หลัวปอ มาหาแม่มา!”

เสี่ยวหลัวปอรีบวิ่งเข้าไปหาวินนี่อย่างรวดเร็ว มันอ้าปากเผยให้เห็นลิ้นสีแดง มันกระโดดเข้าไปในอ้อมกอดของวินนี่และเลียเธอกลับ

เจ้าตัวเล็กด้านหลังถึงกับผงะไป เมื่อเห็นว่าแม่ของตัวเองวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เท้าเล็กๆ ของพวกมันก็ขยับวิ่งอย่างรวเร็ว หางเล็กๆ ที่ด้านหลังสะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง พวกมันส่งเสียงร้องครวญครางไม่หยุด

เมื่อเถียนกวาเห็นลูกหมาป่าขาวก็ดีใจเป็นอย่างมาก เธอเอื้อมมือออกไปหวังจะจับพวกมันมาสักหนึ่งตัว แต่ลูกหมาป่านั้นดุร้ายกว่าลูกสุนัขพิตบูลมาก เมื่อมันเห็นมือยิ่นมาข้างหน้า ลูกหมาป่าที่มีท่าทีดูอ่อนโยนนุ่มนวลก็อ้าปากกัดเข้าที่มือของเธอทันที

แต่น่าเสียดายที่มันขยับตัวช้าไป หรือจะบอกว่าเถียนกวาไหวตัวทันก็ไม่รู้ได้ เด็กหญิงใช้มือปัดลูกหมาป่าจนมันล้มลงกับพื้นหญ้า จากนั้นเธอก็อุ้มมันขึ้นมาแล้ววิ่งกลับมาเหมือนกับอุ้มลูกสุนัขอยู่ก็ไม่ปาน เธอลูบขนมันอย่างตื่นเต้นพลางพูดอกมาว่า “พี่ตั๋วตั่วรีบมาดูเร็ว สุนัขของหนูน่ารักกว่าอีก”

ทันใดนั้นเหล่าฝูบงลูกหมาป่าก็สามัคคีกันขึ้นมาทันที เมื่อลูกหมาป่าตัวหนึ่งถูกอุ้มไป ตัวที่เหลือก็เข้ามาล้อมรอบเถียนกวาไว้ พวกมันยิงฟันและจ้องมองเถียนกวาเพื่อจะทำให้เธอหวาดกลัว

หมาป่าโชคร้ายวิ่งเข้ามารวดเร็วราวกับสายลม มันยกอุ้มเท้าตบลูกของมันทีละตัว อย่าไปยุ่งกับปีศาจลย เจ้าพวกโง่ พวกเจ้ากล้ายั่วโมโหปีศาจตัวนี้รึยังไง? อย่าสร้างปัญหาให้พ่อเลย พ่อไม่อยากเป็นหมาป่าให้เธอขี่แล้ว…

เมื่อเทียบกับลูกสุนัขแล้ว ลูกหมาป่าขาวนั้นดุกว่าเยอะ แต่เมื่อเทียบกับลูกหมาป่าที่อยู่ในป่าแล้ว พวกมันเชื่องกว่าเยอะมาก โดยเฉพาะหลังจากที่โดนมนุษย์กอด

ฉินสือโอวนับดูแล้ว มีลูกหมาป่าทั้งหมดห้าตัว ดูเหมือนว่าหลัวปอจะมีลูกน้อยกว่าสุนัขพิตบูลนะเนี่ย

วินนี่พาลูกหมาป่าทั้งหมดไปอาบน้ำ ฉินสือโอวจึงถือโอกาศป้อนพลังโพไซดอนให้กับพวกมัน ลูกหมาป่าพึ่งเกิดพวกนั้นแน่นอนว่าพวกมันกลัวน้ำ พวกมันพากันหนาวสั่นไปทั้งตัว

แต่หลังจากนั้นหมาป่าโชคร้ายก็อ้าปากงับคอลูกของตัวเองแล้วพวกมันลงในน้ำ แบบนั้นพวกมันจับพวกมันอาบน้ำได้สำเร็จ

เมื่ออาบน้ำอุ่นเสร็จแล้ว พวกมันก็รู้สึกว่าการอยู่ในน้ำอุ่นนั้นสบายกว่านอนตากแดดเสียอีก พวกมันจึงไม่ยอมออกมาจากน้ำ แต่ละตัวหดตัวอยู่ในน้ำและโผล่แค่หัวขึ้นมาเหนือน้ำ มันมองมือที่ยื่นเข้ามาด้วยความระวังและหลบหนีมือพวกนั้น

ภาพนี้ทำให้ฉินสือโอวหลุดยิ้มออกมา ปกติแล้วหมาป่าสีขาวนั้นกลัวน้ำ แต่ดูเหมือนว่านิสัยนี้ของลูกของหลัวปอจะเปลี่ยนไป

หลังจากนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า นี่จะเกี่ยวข้องกับพลังโพไซดอหรือเปล่านะ? ลูกหมาป่าทั้งห้าตัวนี้เริ่มดูดซับพลังโพไซดอนตั้งแต่ที่พวกมันอยู่ในท้อง แต่หลัวปอนั้นโตแล้วจึงได้รับพลังโพไซดอน พวกมันเลยไม่เหมือนกัน

เช่นเถียนกวา เธอมีนิสัยไม่กลัวน้ำ เมื่อตอนที่เธอเรียนรู้การเดินเธอก็ชอบไปเล่นกับแมวน้ำ ตอนนั้นเธอก็กล้าลงน้ำแล้ว อีกทั้งทั้งๆ ที่ไม่มีครูสอนว่ายน้ำ แต่เธอก็สามารถแกว่งขาเล็กๆ ว่ายน้ำได้ด้วยตัวเอง

เมื่อในบ้านมีลูกหมาป่าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งฝูง บรรยากาศก็คึกครื้นมากขึ้น

สุนัขพิตบูลและหมาป่าเป็นศัตรูกัน หากพวกมันเจอกันในป่า แน่นอนว่าหมาป่าต้องกินสุนัขพิตบูลแน่นอน

อันที่จริงแล้วหลังจากที่เลี้ยงหมาป่าฉินสือโอวจึงรับรู้ความสามารถในการต่อสู้ของหมาป่า นอกจากหู่จือและเป้าจือที่เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามในบรราสุนัขแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกว่าจะมีสุนัขตัวไหนสามารถต่อสู้ชนะหมาป่าได้ แม้แต่สุนัขพิตบลูและสุนัขพันธุ์ทิเบตันที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งสงครามก็ตาม

แต่เมื่อเทียบกันระหว่าางลูกสุนัขและลูกหมาป่าแล้ว การต่อสู้ของพวกมัน ไม่สามารถเรียกว่าสงครามได้ เรียกว่าหยอกเล่นกันมากกว่า…

ทุกวันนีเมื่อไรก็ตามที่ไม่ได้หลับ ลูกสุนัขและลูกหมาป่าก็จะมองหากัน หลังจากนั้นก็จะต่อสู้กันหกต่อห้า พวกมันเจอหน้ากันก็ตะลุมบอนกันทันที ไม่มีการพูดคุยอะไรทั้งนั้น

สุนัขพิตบูลผู้เป็นแม่แสดงท่าทีเบื่อหน่าย มันไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้ว ทุกครั้งที่ลูกๆ ของมันส่งเสียงเห่าเพื่อขอความช่วยเหลือ มันก็ทำได้เพียงก้มหน้าและไม่สนใจ

ลูกสุนัขไม่เข้าใจ พวกมันไม่ได้สังเกตว่า ทุกครั้งที่พวกมันกับลูกหมาป่าต่อสู้กันนั้นจะมีหมาป่าตัวโตเต็มวัยร่างใหญ่คู่หนึ่งยืนดูอยู่จากที่ไกลๆ

หากไม่เป็นเพราะวินนี่จับตามองไปหมาป่าขาวพวกนั้น หากพวกมันเห็นว่าลูกสุนัขพิตบูลกัดลูกของตัวเองเข้า หลัวปอและหมาป่าโชคร้ายคงจะกลืนกินลูกสุนัขพวกนี้ไปจนหมดแล้ว

หลังจากที่คลอดลูก เสี่ยวหลัวปอก็ยังคงมีท่าทางเหมือนเด็กๆ มันนอนออดอ้อนวินนี่ทุกวัน เหมือนกับว่าลูกของมันนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับมันเลย มันทำเพียงให้นมลูกๆ เมื่อถึงเวลาเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเวลาอื่นก็เป็นหมาป่าโชคร้ายที่อยู่กับลูกๆ

ต่าวเหมยชอบสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้มา มันยังไปหาของเล่นของเถียนกวาจนเจอ แล้วเอามาสอยลูกๆ ถึงการต่อสู้และการโรมรัน

แต่ว่าอาจจะเป็นอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ ลูกหมาป่าจึงไม่สนจอะไรเลย พวกมันชอบที่จะโรมรันกับลูกสุนัขพิตบูลมากกว่า

เดือนสิงหาคม เหมาเหว่ยหลงและครอบครัวต้องกลับไปยังแฮมิลตันแล้ว เถียนกวาอาลัยอาวรณ์ที่จะไม่ได้เล่นกับตั๋วตั่วและน้องชายตัวน้อยเป็นอย่างมาก ส่วนลูกหมาป่าทั้งหลายของอาลัยอาวรณ์ที่จะไม่ได้เล่นต่อสู้หยอกล้อกับลูกสุนัขพิตบูล ดังนั้นฉินสือโอวจึงให้เหมาเหว่ยหลงกลับไปคนเดียว ส่วนหลิวซูเหยียนจะอยู่ที่อุทยานกับเด็กๆ และลูกสุนัขทั้งหลาย

เมื่อส่งเหมาเหว่ยหลงแล้ว ฉินสือโอวก็ไปยังเมืองแฮลิแฟกซ์ที่เป็นเมืองหลวงของรัฐโนวาสโกเชียเพื่อซื้อฟาร์มปลาที่อยู่ข้างๆ ฟาร์มปลาคาร์เตอร์ ฟาร์มปลามูลค่าาหกสิบเจ้ดล้านดอลลาร์ก็ตกมาอยู่ในมือเขาอย่างง่ายดาย

เพราะเหตุนี้ เมื่อรวมฟาร์มปลาทั้งสองแห่งเข้าด้วยกัน ฟาร์มปลาคาร์เตอร์ก็ตกมาอยู่ในมือเขาทั้งหมด

เมื่อเขาได้อำนาจในการควบคุมฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็เริ่มดำเนินการใหญ่ทันที เขาสั่งซื้อกุ้งปลาหลากหลายสายพันธุ์ที่สามารถอยู่ในบริเวณน้ำอุ่นได้จากพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์มาจำนวนมาก

นอกจากนี้ เขายังย้ายปลาแซลมอนแปซิฟิกที่อยู่ในฟาร์มปลาก่อนหน้ามายังฟาร์มปลาแห่งที่สาม ที่นี่มีแม่น้ำขนาดใหญ่ ทำให้เหล่าปลาแซลมอลสะดวกที่จะย้ายที่อยู่และวางไข่ทุกปี

ฟาร์มปลาคาร์เตอร์เป็นจุดสำคัญในการก่อสร้างงานนอกบ้านของเขา ฟาร์มปลาต้าฉินเป็นศูนย์บัญชาการหลัก ฟาร์มปลาแห่งนี้ก็เหมือนกับฐานทัพในต่างแดน เป็นเส้นทางส่งออกสายแรกของเขา

เพราะเหตุนี้ เขาจึงมีฟาร์มปลาต้าฉิน ฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์ ฟาร์มปลาคาร์เตอร์ ฟาร์มปลาหมิงซิง ทั้งสี่แห่งครอบครองอยู่ในมือ

ตอนนี้คนทั่วทั้งแคนาดารู้ว่า หากมีเงินมากพออย่าไปลงมุนในอสังหาริมทรพัย์ แต่ให้ลงทุนในฟาร์มปลา แม้ว่าจะเป็นฟาร์มปลาขนาดเล็กก็ตาม เนื่องจากโครงการฟื้นฟูมหาสมุทรมีแผนจะเปิดตัวแล้ว การฟื้นฟูทรัพยากรการประมง จะทำให้ฟาร์มปลามีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น

ฉินสือโอวอยากจะซื้อฟาร์มปลาอีกสองสามแห่ง อย่างไรก็ตามบัตรเครดิตของเขาก็มีเงินอยู่เกือบหนึ่งพันล้านดอลลาร์แคนาดา นอกจากนี้ยังมีซากเรืออับปางมูลค่ากว่าสองพันล้านดอลลาร์ที่รอให้เขาไปกู้มาอยู่

น่าเสียดายที่ไม่มีฟาร์มปลาที่เหมาะสมพอจะให้เขาซื้อ ยุคของการทำประมงพรีเมี่ยมได้เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อก่อนฟาร์มปลาธรรมดาต้องใช้เงินลงทุนเพียงไม่กี่แสนดอลลาร์ แต่ตอนนี้เริ่มต้นขั้นต่ำที่สองล้านดอลลาร์

เช่นฟาร์มปลาคาร์เตอร์ เพื่อกระตุ้นโครงการฟื้นฟูมหาสมุทร อย่าว่าแต่หนึ่งร้อยล้านดอลลาร์เลย สองร้อยล้านดอลลาร์ก็ยังมีคนยินดีที่จะรับช่วงต่อ!

แล้วฟาร์มปลาต้าฉินที่เกาะแฟร์เวลล่ะ? ที่แห่งนั้นกลายเป็นสมบัติที่ประเมิณค่าไม่ได้ไปเสียแล้ว!

………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน