ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1897 ความลับที่เต็มไปด้วยฝุ่น

บทที่ 1897 ความลับที่เต็มไปด้วยฝุ่น

คำตอบได้ปรากฏออกมาแล้ว จากนั้นวาฬหัวทุยชรกาก็ถามต่อว่า “นายเป็นพี่ชายใช่ไหม?”

ฉินสือโอวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วถามกลับว่า “พี่ชายอะไร นายเป็นใคร?”

วาฬหัวทุยชราตอบกลับว่า “พี่ชายก็คือพี่ชาย ฉันชื่อทา นายไม่ใช่ทาทา ก็ไม่ใช่พี่ชาย งั้นนายเป็นใคร?”

ฉินสือโอวอยากจะยกมือขึ้ตบปากตัวเองสักสองสามี เขาอยากจะตื่นจากฝัน เขาอยากรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่รึเปล่า ทุกอย่างดูเหมือนฝันไปหมด มันเกินจริงเกินไป วาฬหัวทุยชราตัวนี้ยังมีพี่ชายอยู่งั้นเหรอ? แล้วยังมีจิตสำนึกชัดเจนขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? แล้วยังรู้จักถูกผิดอีก? มันจะเป็นไปได้อย่างไร!

ในเมื่อการสื่อสารได้เริ่มขึ้นแล้ว ส่วนที่เหลือก็ง่ายขึ้นมาทันที ฉินสือโอวพูดว่า “ฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย ฉันเป็นเจ้าของฟาร์มปลาในน่านน้ำแห่งนี้ เมื่อก่อนฉันไม่เคยเจอคน…ไม่ใช่สิ ไม่เคยมีปลาที่สามารถพูดได้ ทำไมนายถึงพูดได้ล่ะ?”

วาฬหัวทุยชราเงียบไปอีกครั้ง จากนั้นมันก็มองมายังฉินสือโอวตรงๆ

ฉินสือโอวไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาลังเลว่าจะขู่มันด้วยคำพูดเพื่อให้มันกลัวต่อไปดีหรือไม่ เพราะว่าวาฬหัวทุยชราตัวนี้ดูท่าจะขี้กลัวซะด้วย

แต่ไม่นาน วาฬหัวทุยชราก็พูดขึ้นว่า “นายเป็นเจ้าของฟาร์มปลางั้นเหรอ? งั้นนายก็คือพี่ชาย พี่ชายก็เป็นเจ้าของฟาร์มปลา”

ฉินสือโอวยิ้มออกมา แม่งเอ๊ย ที่แท้พี่ชายของนายก็เคยควบคุมน่านน้ำนี้ เลยคิดว่าน่านน้ำแห่งนี้เป็นของตัวเองหรืออย่างไร? ในขณะที่เขากำลังคิดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ วาฬหัวทุยชราเรีกยน่านน้ำว่าฟาร์มปลา และไม่ได้พูดอะไรอีก นั่นก็หมายความว่า มันรู้ว่าที่นี่เป็นฟาร์มปลา!

มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เรียกน่านน้ำทะเลว่าฟาร์มปลา!

งั้นพี่ชายของวาฬหัวทุยชราก็คือ…คุณปู่รองของเขา! ทันใดนั้นฉินสือโอวก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดขึ้นมาทันที!

เป็นเรื่องยากที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ตื่นเต้น เขาถามออกมาว่า “พี่ชายของนาย ชื่อว่าฉินหงเต๋อใช่ไหม?”

ปากใหญ่วาฬหัวทุยชราอ้าขึ้นลงช้าๆ “ไม่ใช่ พี่ชาย เขาอยู่ทุกที่ เขาให้ฉันเรียกเขาว่าพี่ชาย แต่เขาไม่ได้ปรากฏตัวมานานแล้ว”

“พวกนายเจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อไร? ใช่ประมาณห้าสิบปีที่แล้วหรือเปล่า?” ตอนนี้ฉินสือโอวได้คาดการณ์พี่ชายของวาฬหัวทุยชราไว้คร่าวๆ แล้ว

วาฬหัวทุยถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “ห้าสิบปีเหรอ? ไม่รู้สิ นานมากแล้วที่ไม่เจอพี่ชาย ครั้งที่แล้วพี่ชายบอกว่า เขาใกล้ตายแล้ว เขาไม่ให็ฉันมาที่ฟาร์มปลาอีก เขาบอกว่าฟาร์มปลาอันตรายเป็นอย่างมาก เขาตายไปแล้ว จะมีคนไม่ดีมากมายเข้ามาที่ฟาร์มปลา”

ฉินสือโอวแน่ใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก พี่ชายของวาฬหัวทุยชรานี้ก็คือคุณปู่รองของเขา!

ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินเออร์บักพูดว่า ครั้งหนึ่งจากฝีมือของคุณปู่รอง ฟาร์มปลาต้าฉินนั้นร่ำรวยและยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่ง มีคนมาขโมยปลาที่นี่มากมาย แต่ก็ถูกเขาไล่ไปจนหมด

ต่อมา เมื่อคุณปู่รองจากโลกนี้ไป ฟาร์มปลาก็ไม่มีคนคอยดูแล ในช่วงปีแรกๆ มีเรือประมงหาปลาเข้ามาที่นี่เป็นจำนวนมาก ทำให้ฟาร์มปลาที่อุดมสมบูรณ์กลายเป็นน่านน้ำที่ไร้ชีวิตอย่างรวดเร็ว

เพระาเหตุนี้ ภาพเหตุการณ์อันน่าประทับใจจึงปรากฏขึ้นในหัวของเขา สิบกว่าปีก่อน ชายวันกลางคนคนหนึ่งได้พบกับลูกวาฬหัวทุยตัวเล็กที่มีจิตสำนึกอิสระตัวหนึ่งเข้า หลังจากนั้นเขาก็ให้วาฬหัวทุยเรียกตัวเองว่าพี่ชาย และพามันกลับมายังฟาร์มปลา

วันเวลาผ่านไป ชายวันกลางคนได้เปลี่นเป็นชายชรา ลูกวาฬหัวทุยก็ได้กลายเป็นวาฬหัวทุยโตเต็มวัย วันหนึ่งในวันที่ชายชราใกล้จะจากโลกนี้ เขาไปหาวาฬหัวทุยและบอกกับมันว่า ตัวเขาจะตายแล้ว ให้มันออกจากฟาร์มปลาเพื่อป้องกันตัวจากเรือประมงที่แอบเข้ามาด้วยความโลภ

หลังจากนั้น เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปสิบกว่าปี วาฬหัวทุยโตเต็มวัยก็เปลี่ยนเป็นวาฬชรา มันกลับมาที่ฟาร์มปลาอีกครั้ง มันกลับมายังสถานที่ที่ครั้งหนึ่งมันเคยอยู่กับพี่ชาย…

เมื่อลองนึกดภาพตามเหตุการณ์เหล่านี้ ฉินสือโอวก็ปั้นหิมะให้เป็นรูปร่างของวาฬหัวทุยชรา และเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคุณปู่รอง ทันใดนั้น น้ำตาของเขาก็ไหลออกมา!

วาฬหัวทุยชราไม่เข้าไปรบกวนฉินสือโอว มันอายุมากแล้ว คุ้นชินกับความเงียบสงบ ในตอนที่ฉินสือโอวนึกภาพเหตุการณ์ทั้งหมด มันก็มองไปยังเขาด้วยความแปลกใจ

เขาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งในใจ จากนั้นฉินสือโอวก็ดึงสติของตัวเองกลับมาแล้วพูดว่า “พี่ชายของนาย คือคุณปู่ของฉัน…”

เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่จะต้องพูดแบบนี้ นี่คงไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเรียกวาฬหัวทุยตัวนี้ว่าปู่หรอกนะ?

ยังดีที่วาฬหัวทุยชราไม่รู้เรื่องนี้ มันยังคงมองเขาด้วยความแปลกใจ แล้วรอให้เขาพูด ฉินสือโอวจึงพูดออกมาว่า “ทุกอย่างนี้พี่ชายของนาย สอนนายใช่ไหม? พวกนายอยู่ด้วยกันนานมากเลยสินะ?”

วาฬหัวทุยชราตบอกลับช้าๆ ว่า ​”ใช่ พี่ชายสอนฉัน พวกเราอาศัยอยู่ด้วยกันนานมาก ฉันแก่ลง พี่ชายเลยให้ฉันทานแมลงอายุยืน เมื่อฉันทานแมลงอายุยืน ฉันจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้ หลังจากนั้นฉันก็จะคายสิ่งที่ย่อยไม่ได้ แล้วพี่ชายก็จะทานได้”

สมองของฉินสือโอวทำงานอย่างหนัก เขากำลังวิเคราะห์คำพูดของมัน

โดยที่ไม่ต้องสงสัย แมลงอายุยืนก็คือแมลงประหวาดที่เขาตั้งชื่อมันว่าแมลงยักษ์สีดำ วาฬหัวทุยชรามีอายุยืนยาวขึ้นเมื่อทานแมลงนี้เข้าไป คราวนี้มันคงอยู่มาจนถึงช่วงเวลาหมดอายุขัยอีกครั้ง มันจึงกลับมาเพื่อหาแมลงอายุยืน

ครั้งที่แล้วที่เขาเห็นวาฬหัวทุยชราก็เป็นตอนที่เขาพาทีมไปจับแมลงอายุยืน แสดงให้เห็นว่าวาฬหัวทุยนี้กินมันจริงๆ หรือพูดได้ว่า หน้าที่นี้ได้รับวาฬหัวทุยเข้ามาดูแลจัดการ!

แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล นั่นก็คือในเมื่อวาฬหัวทุยทานแมลงอายุเพื่อที่จะเพิ่มอายุขัยได้ แล้วทำไมปู่ของเขาไม่ทำแบบนั้นบ้างล่ะ? ฉินสือโอวอยากจะเข้าใจเรื่องนี้ เขาจะรอให้เขาและครอบครัวแก่ก่อน แล้วมาทานแมลงยักษ์สีดำเพื่อเพิ่มอายุของตัวเอง

นอกจากนี้ คำพูดสุดท้ายของวาฬหัวทุยชรานั้นทำให้เขาประหลาดใจ มันกินแมลงอายุยืนเข้าไปแล้วไม่สามารถย่อยแมลงได้หมด มีของบางอย่างที่ย่อยไม่ได้และต้องคายออกมา แล้วให้คุณปู่รองของเขากิน หรือว่า คุณปู่รองของเขาดูดซับของสิ่งนั้น

เช่นนั้น แล้วมันคายอะไรออกมาล่ะ? เห็นได้ชัดว่า คนบางที่จะต้องเรียกมันว่า ‘อาหารโพไซดอน’ และคนอีกพื้นที่หนึ่งจะเรียกมันว่า ‘อำพันทะเล’ แน่นอน!

มิน่าเขาถึงสามารถถึงสามารถแยกอัตลักษณ์ของอำพันทะเลได้ และไม่น่าแปลกใจเลยที่ของสิ่งนี้จะถูกเรียกว่าอาหารโพไซดอน

อาจจะมีใครบางคนเจอเข้ากับวาฬหัวทุยที่มีจิตสำนึกอิสระแบบนี้ และในตอนนั้นวาฬเหล่านี้ก็คายกระดองแมลงที่ไม่สามารย่อยในท้องได้ออกมา เนื่องว่าเมื่อมนุษย์เห็นว่าพวกมันทานของพวกนั้น นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘อาหารโพไซดอน’!

เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงมาก อันดับแรกในสมัยโบราณ วาฬหัวทุยมีขนาดใหญ่ถึงยี่สิบเมตรถือว่าเป็นสิ่งชีวิตที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก พวกมันสามารถคว่ำเรือไม้ได้ และสร้างความเสียหายให้กับหมู่บ้านริมทะเลได้ด้วยพายุคลื่น เมื่อรู้อย่างนี้แล้วพวกมันก็เหมือนกับปีศาจแห่งท้องทะเล

แต่ว่า พวกมันก็ยังสามารถช่วยเรืออับปางและช่วยเหลือเรือที่เกยตื้นด้วยร่างกายอันใหญ่โตของมันได้ เมื่อมองดูจากมุมนี้ มันเป็นเหมือนกับเทพโพไซดอน

ประกายที่สอง ถ้าหากว่าวาฬหัวทุยนั้นมีจิตสำนึกที่เป็นอิสระ และมีสติสัมปัญญาเหมือนกับมนุษย์ แบบนั้นมันก็สามารถทำอะไรได้มากมาย หากพวกมันโชคดีเหมือนกับวาฬหัวทุยชราตัวนี้เสียหน่อย เช่นว่าวาฬหัวทุยชราตัวนี้ได้รับการฝึกฝนและการชี้แนะ แบบนั้นมันก็จะยิ่งกลายเป็นเทพโพไซดอนที่สง่างาม

แต่เรื่องที่คิดไม่ตกก็คือ ทำไมคุณปู่รองของเขาไม่ยอมทานกระดองแมลงอายุยืนกันนะ? หากดูตามสถารการณ์ของต้าป๋าย แมลงยักษ์สีดำนั้นก็สมควรได้รับชื่อว่าแมลงอายุยืนจริงๆ มันได้ผลอย่างมากสำหรับการยืดอายุ

เนื่องจากเขาไม่ออก เขาจึงถามออกมา และวาฬหัวทุยชรานั้นก็ตอบเขากลับว่า “พี่ชายบอกว่า เขาเป็นสัตว์ประหลาด เขามักจะทำตัวแปลกๆ เขาไม่อยากให้คนมองเขาประหลาดไปมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงยอมตายตามธรรมชาติ”

…………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท