ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 7 ทำดีม

บทที่ 7 ทำดีม

บทที่ 7 ทำดีมาก

“เลียและกลืนกลับไปให้สะอาดหรอ?”

จางหงจูน เผยสีหน้าถอดสีทันที คิดไม่ถึงว่าตัวแทนประธานนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่ที่สูงศักดิ์จะมีความคิดน่ารังเกียจแบบนี้!

“ประธานอู ครับ จางเถียนไห่ ไม่ค่อยรู้เรื่อง ได้โปรดเห็นแก่หน้าของผม….” จางหงจูน พูดขอร้องขึ้น

“Stop!” อูหยาง พ่นภาษาอังกฤษหนึ่งคำ พร้อมยกมือให้ จางหงจูน หุบปาก

“สิบวินาที” อูหยาง ยิ้มและจ้องมอง จางหงจูน แวบหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเย็นชาทันที “หากทำไม่ได้ล่ะก็ จางหงจูน คุณสามารถลาจากตำแหน่งได้เลย พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานที่อาคารเป่าติ่ง อีก”

“ร้านอัญมณีภายใต้การรับผิดชอบของคุณทั้งหมด แผนการดำเนินการค้าอัญมณีทุกอย่าง รวมทั้งโรงงานแปรรูป ผมสามารถส่งทีมงานของผมจัดการได้ ด้วยนิสัยของทีมงานนิ่งซื่อกรุ๊ปของพวกเราแล้ว หากดำเนินการขอเวลาเพียงยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่านั้น”

ในฐานะผู้ที่อยู่วงการธุรกิจมาเนิ่นนาน ประสบการณ์ทางด้านธุรกิจแบบไหน เขาล้วนประสบมาหมดแล้ว

วินาทีต่อมาจู่ๆสถานการณ์ก็ยิ่งกดดัน จนทำให้คนของตระกูลจาง เงยหน้าไม่ขึ้น

จางหงจูน มีสีหน้าขาวซีด และตัวสั่นเทา จนหายใจลำบาก

คำพูดของ อูหยาง เหมือนกับลูกต้นอันหนักอึ้งลูกหนึ่งทุบบนหน้าอกของเขา จนทำให้เขาหายใจลำบาก

จางหงจูน เชื่อว่า อูหยาง มีความสามารถจัดการได้ ถ้าหากไม่ทำตามคำพูดของ อูหยาง เขาคงต้องออกจากอาคารเป่าติ่ง แน่ และยังต้องสูญเสียทุกอย่างด้วย ทั้งเงินทอง ฐานะทางสังคม หุ้นส่วนโรงงาน…..

หากต้องสูญเสียอำนาจทั้งหมด คนที่เขาเคยโอ้อวดและดูถูกคงต้องมาเหยียดหยามเขาแน่…..

เพียงแค่คิดผลลัพธ์ จางหงจูน ก็หวาดกลัวจนตัวสั่น

“ไอ้ลูกเนรคุณ!” จางหงจูน โกรธจนหน้าแดงหน้าดำ แล้วหันหน้ามอง จางเถียนไห่ ด้วยสายตาเย็นชา “ไอ้เด็กโง่ ยังไม่รีบทำตามในสิ่งที่ประธานอู บอกอีก!”

ปัง! ปัง!

จางหงจูน ตบใส่หน้าของ จางเถียนไห่ อย่างหนักสองที จนเห็นเป็นรอยฝ่ามือห้านิ้วแดงก่ำ

“พ่อ! ผม!” จางเถียนไห่ มีสีหน้าขาวซีด และรู้สึกน้อยใจจนน้ำตาเกือบไหลออกมา

เขาไม่รู้ว่าไปมีปัญหากับใครจริงๆ! ถึงต้องมาประสบเหตุการณ์น่าขายหน้าแบบนี้!

ที่ต้องเลียเศษอาหารบนโต๊ะให้สะอาดต่อหน้าคนตระกูลจาง นับสองร้อยกว่าคน……

แล้วแบบนี้ ต่อไปเขาจะเอาหน้าอยู่จางซื่อกรุ๊ป และอยู่เมืองชิงหยูนได้ยังไงกัน?

ปัง!

จางหงจูน ตบใส่หน้า จางเถียนไห่ อีกครั้ง จนเขาฟุบลงบนโต๊ะ

“ไอ้ลูกเนรคุณ อยากให้พ่อคนนี้อกแตกตายหรอ?” จางหงจูน กัดริมฝีปากอย่างแรง พร้อมจับกดหัวของ จางเถียนไห่ ไว้

จางเถียนไห่ ร้องไห้ออกมาเหมือนสุนัขเลย ขณะเดียวกันก็เลียเศษอาหารให้สะอาด พร้อมกลืนกลับไป

คนของตระกูลจาง ในงานเห็นฉากนี้ทั้งหมด ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าแปลกใจ

พวกเขาได้เห็นถึงอำนาจอิทธิพลอันน่าเกรงขามของตัวแทนประธานอู ท่านนี้แล้ว

ขณะเดียวกัน ในใจก็ถอนหายใจเงียบๆ

เห็นได้ชัดเจนว่า จางเถียนไห่ เจ้าคนโง่เขลาคนนี้ไม่รู้ไปมีปัญหากับนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่ยังไง จนทำให้ตัวเองต้องตกระกำลำบากแบบนี้ แถมพวกเขายังต้องโดนด้วย

ดังนั้นคนของตระกูลจาง ที่อยู่ในห้องประชุมไม่เพียงไม่รู้สึก จางเถียนไห่ แต่กลับแอบรู้สึกสมน้ำหน้าในใจเงียบๆ

อูหยาง เริ่มเปลี่ยนสีหน้าเหมือนเดิม และไม่เหลือบมองพ่อลูกคู่นี้แล้ว

“ทุกท่านครับ เวลาห้านาที ผมเชื่อว่าพวกคุณคงอ่านแผนรับซื้อเสร็จแล้ว” อูหยาง พูดขึ้น

“ที่ทางนิ่งซื่อกรุ๊ปรับซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ เพราะเห็นถึงศักยภาพของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อที่มีความสามารถเติบโตได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นหุ้นส่วนทุกท่านไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะเสียผลประโยชน์เลยครับ”

“วิสัยทัศน์ของทีมงานนิ่งซื่อกรุ๊ปของเราคือ จะทำให้บริษัทก้าวไกลมากยิ่งขึ้น หุ้นส่วนทุกท่านครับ ขอเพียงปฏิบัติตามกฏระเบียบที่ผมแก้ไขไว้อย่างเคร่งครัด อนาคตของธุรกิจต้องเจริญรุ่งเรืองแน่นอน”

หุ้นส่วนยี่สิบกว่าคนที่อยู่ในงานต่างพยักหน้าตอบรับ และต่างยอมรับ

แผนรับซื้อของนิ่งซื่อกรุ๊ป พวกเขาต่างอ่านอย่างละเอียดแล้ว

และพบว่า นิ่งซื่อกรุ๊ปไม่ได้วางแผนกำจัดบริษัทเครื่องประดับจางซื่ออย่างสิ้นซาก

สำหรับหุ้นส่วนตัวเล็กๆอย่างพวกเขาแล้ว ข้อสัญญาทั้งหมดนี้ไม่ได้มีผลกระทบด้านลบกับพวกเขาเลย ซึ่งขณะเดียวกันยังมีสวัสดิการปันผลกำไรด้วย

พวกเขาเองก็พอมองออกว่า ปัญหาธุรกิจครั้งนี้ต้องการเล่นงาน จางหงจูน และ จางหงจูน อย่างเห็นได้ชัดเจน

คณะกรรมการบริหารสองคนนี้ได้รับความเสียหายมากที่สุด ไม่เพียงสูญเสียหุ้นส่วนใหญ่และอำนาจของบริษัทแล้ว อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในการดูแลก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักด้วย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก

โดยเฉพาะ จางหงจูน น้องสามของตระกูลจาง ที่ถูกโค่นล้มอำนาจ ไม่เพียงสูญเสียอำนาจการควบคุมบริษัทแล้ว แถมยังเสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย เรื่องของวันนี้คงถูกแพร่งพรายทั่วเมืองชิงหยูนแน่ ซึ่งคงอยากที่จะกอบโกยหน้ากลับมาแล้ว

“สิ่งที่ประธานอู พูดมาถูกต้องทุกอย่าง ผมเห็นด้วยกับประธานอู เป็นอย่างมากครับ!” หุ้นส่วนตระกูลจาง คนหนึ่งลุกขึ้นชื่นชมและปรบมือ

ตึงตึงตึงตึง!

เหล่าพนักงานและหุ้นส่วนเล็กๆต่างพากันยิ้มแย้ม และลุกขึ้นปรบมือ จนภายในห้องประชุมมีเสียงปรบมือดังสนั่น

พวกเขารู้อยู่แก่ใจแล้วว่า สถานการณ์ของบริษัทในตอนนี้พลิกผันแล้ว มีเพียงคล้อยตามประธานอู ถึงจะสามารถได้รับผลประโยชน์จากบริษัทต่อไป

จางหงจูน และ จางหงจูน ต่างมีสีหน้าหดหู่ แต่ยังคงฝืนยิ้ม และปรบมือยินดี

ทั้งสองคนต่างรู้สึกไม่พอใจ แต่แค่สามารถยืนมั่นคงในบริษัทต่อไปก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แล้วจะกล้าต่อต้านได้ยังไงกัน

……

หกชั่วโมงต่อมา ช่วงพลบค่ำ

โรงแรมสวยหรูแห่งหนึ่ง ในห้องที่หรูหรา

อูหยาง ก้มโค้งเคารพแล้วยืนอยู่ข้างหน้าโต๊ะ เหมือนรอคำสั่ง ส่วนบนโซฟามีชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคนหนึ่งนั่งอยู่

ในตอนนี้ชายหนุ่มกำลังถือโน๊ตบุ๊คที่กำลังถ่ายทอดเหตุการณ์ภายในห้องประชุมทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับจางซื่อกรุ๊ปวันนี้อยู่…..

“ทำดีมาก” หลินอิ่ง มองดูภาพเหตุการณ์ภายในห้องประชุมพลาง และชื่นชมในความสามารถของ อูหยาง พลาง

“ขอบคุณประธานหลิน มากครับ เพื่อความต้องการของคุณ ผมทำได้ทุกอย่างครับ” อูหยาง พูดขึ้น

อูหยาง ติดตามเคียงข้าง นิ่งซวน มาหลายปี เลยมีความรู้กว้างขวาง เขาเห็นมากับตาว่า ตอนที่ประธาน นิ่งซวน อยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้มีท่าทางระมัดระวัง และเกรงกลัว เลยปฏิบัติตนอย่างไม่ประมาท

อีกอย่าง นิ่งซวน เอ่ยปากด้วยตัวเองด้วยว่า หาก หลินอิ่ง ต้องการอะไรให้ทำอย่างเต็มที่ ไม่มีข้อยกเว้น ถ้าหากทำไม่ได้ให้รายงานต่อเขาเลย แต่ถ้าทำให้ หลินอิ่ง ไม่พอใจให้ตัวเองไม่ให้กลับมานิ่งซื่อกรุ๊ปอีก

ดังนั้น สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว รู้สึกชื่นชอบ อูหยาง มากกว่า นิ่งซวน อีก

“ประธานหลิน ครับ แผนการรับซื้อครั้งนี้ล้วนจัดการตามที่คุณต้องการครับ ทุกอย่างราบรื่นดีครับ ในตอนนี้ จางหงจูน สูญเสียอำนาจแล้ว และยังมีศัตรูทางธุรกิจรอสมน้ำหน้าด้วยครับ” อูหยาง รายงานด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้าหากความสัมพันธ์ของ จางหงจูน กับตระกูลซูน แน่นแฟ้นกัน แล้วทางตระกูลซูน ออกหน้าช่วยเหลือ ฐานะทางการเงินของพวกเขาอาจมีการพลิกผัน และทำให้ธุรกิจของพวกเขามั่นคงด้วย ไม่ทราบว่าคุณต้องการโค่นล้มตระกูลของพวกเขาไหมครับ?”

“ไม่ต้องหรอก” หลินอิ่ง พูดขึ้น

พี่ใหญ่ของตระกูลจาง ทำธุรกิจมาหลายปี และมีประสบการณ์โชกโชน จนสร้างธุรกิจอย่างมั่นคง ดังนั้นสามารถผ่านพ้นปัญหาครั้งนี้ได้ก็ถือว่าอยู่ในการคาดการณ์ของตัวเอง

“จริงสิ เรื่องของโรงงาน โรงงานเครื่องประดับซิ่วเฟิง นายช่วยจัดการด้วย” หลินอิ่ง นึกบางอย่างออก เลยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จัดการทุกอย่างตามปกติ มอบผลประโยชน์หุ้นส่วนเล็กๆให้กับ จางซิ่วเฟิง หัวหน้าโรงงานด้วย”

ก่อนหน้านี้เขาได้วางแผนรับซื้อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดภายใต้การดูแลของสองพ่อลูก จางหงจูน ด้วย ซึ่งในจำนวนนั้นสิทธิเจ้าหนี้ของโรงงานอัญมณีของพ่อตาด้วย

ขณะเดียวกันก็วางแผนให้ อูหยาง จัดการมอบสวัสดิการแบ่งปันกำไรของโรงงานอัญมณีทั้งหมดอย่างเท่าเทียมกันด้วย

แบบนี้โรงงานอัญมณีของพ่อตาก็จะกลับมาฟื้นฟูอีกครั้ง โดยไม่โจ่งแจ้งจนน่าสงสัยเกินไป

“ครับ ผมจะปฏิบัติตามคำสั่งของคุณครับ” อูหยาง พูดต่อว่า “ประธานหลิน ครับ ไม่ทราบว่าต้องการจัดตั้งตำแหน่งสูงในบริษัทให้กับ จางซิ่วเฟิง ไหมครับ?”

“นายไม่ต้องอวดฉลาดกับฉันหรอก” หลินอิ่ง พูดต่อว่า “ทำตามที่ฉันสั่งก็พอแล้ว”

“ขออภัยครับ ประธานหลิน รับทราบครับ” อูหยาง รีบกล่าวขอโทษทันที

เขารู้ฐานะทางสังคมของ หลินอิ่ง เลยคิดอยากประจบสอพลอ แต่ หลินอิ่ง มีแผนการของตัวเองแล้ว ดังนั้นต่อไปเขาคงต้องทำตามอย่างเดียวก็พอแล้ว

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย อูหยาง เป็นคนฉลาด เลยไม่ต้องพูดอะไรมาก

“หลังจากนายกลับบริษัท ใช้อำนาจตำแหน่งกรรมการประกาศรับสมัครผู้จัดการออกแบบ หัวหน้าออกแบบ และนักออกแบบอัญมณีด้วย” หลินอิ่ง พูดขึ้น

“รับทราบครับ” อูหยาง ตอบขึ้น

“อืม กลับไปเถอะ เดียวค่อยมารายงานกับผม” อูหยาง พูดขึ้น

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท