ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 9 ไอเดียร่วมกัน

บทที่ 9 ไอเดียร่วมกัน

บทที่ 9 ไอเดียร่วมกัน

“หลินอิ่ง ไม่ยักรู้เลยว่านายจะรูมากถึงขนาดนี้” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับสบตา หลินอิ่ง

หลินอิ่ง ยิ้มแย้ม โดยไม่พูดอะไร

“อันที่จริงฉันมีแบบร่างที่ออกแบบค่อนข้างพอใจมากอันหนึ่ง แต่น่าเสียดายไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ ทำให้มันสามารถสร้างขึ้นมาได้” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“สร้อยคอเส้นนี้ต้องการเพชรที่ราคาแพงมากมาสร้างขึ้นมา ฉันไม่สามารถ และก่อนหน้านี้บริษัทก็ไม่เห็นด้วย….” จางฉีโม่ ค่อยๆพูดขึ้น พร้อมแสดงสีหน้าเสียดาย

เธอหยิบกล่องไม้ที่ประณีตกล่องหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก จากนั้นก็เปิดกล่องออก แล้วหยิบแบบร่างที่หนาม้วนหนึ่งออกมา

“นี่เป็นแบบร่างออกแบบที่ฉันพึงพอใจมากที่สุด แต่ฉันยังคิดตั้งชื่อสวยๆไม่ออก” จางฉีโม่ ยื่นแบบร่างให้กับ หลินอิ่ง

หลินอิ่ง ยื่นมือรับ แล้วเปิดดูด้วยความจริงจัง

ยิ่งเขาดูก็ยิ่งตกใจ

ต้องยอมรับว่า จางฉีโม่ มีพรสวรรค์ในด้านการออกแบบอัญมณีที่ไม่ธรรมดาจริงๆ

แต่เพราะไม่ถูกให้ความสำคัญในบริษัท และเงื่อนไขของครอบครัวเลยจำกัดความสามารถของเธอ

นี่เป็นแบบร่างออกแบบสร้อยคอที่วิจิตรงดงาม มีความเป็นเอกลักษณ์ ถ้าหากสามารถแสดงคงสร้างความตื่นเต้นแก่วงการอัญมณีโลกแน่

“อันที่จริง ในเรื่องของโครงสร้าง ผมคิดว่าสามารถเพิ่มการออกแบบเป็นเส้นโค้งรอบวงกลม รวมถึงการแกะสลักดอกไม้ขนาดเล็กอย่างละเอียดด้วย ในด้านวัตถุดิบ ต้องใช้เพรชระดับสูงที่สุดในการสรรสร้าง อีกอย่างต้องเป็นชิ้นส่วนขนาดใหญ่ ไม่สามารถผสมปนเปด้วย” หลินอิ่ง พูดแสดงความคิดเห็นของตัวเองด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“แต่มันจะฟุ้งเฟ้อเกินไปหรือเปล่า? หากราคาสูงเกิน อาจจะสร้างขึ้นมายากแน่เลย” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงลังเลขึ้น

“ไม่หรอก” หลินอิ่ง พูดขึ้น “คุณต้องมีความมั่นใจตัวเองว่าต้องเป็นเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงและเป็นเครื่องประดับระดับสูงที่สุดในโลก”

“รายละเอียดบนสร้อยสามารถใช้ช่างฝีมือดีเลี่ยมด้วยเทคนิคมือ แบบนี้ไม่เพียงแฝงกลิ่นอายความเป็นโบราณ แล้วยังทันสมัยด้วย” หลินอิ่ง ค่อยๆชี้แนะถึงปัญหารายละเอียดขึ้น

เมื่อ จางฉีโม่ ได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งเผยสายตาเป็นประกายขึ้น พร้อมจ้องมอง หลินอิ่ง

ทั้งสองคนพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันเกือบครึ่งชั่วโมง….

สุดท้ายก็ได้แบบร่างตายตัว

จางฉีโม่ มีท่าทางพอใจมาก พร้อมจ้องมองแบบร่างออกแบบด้วยความปลาบปลื้ม

“ช่างดีเลิศจริงๆ หลินอิ่ง ความสามารถของนายไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” จางฉีโม่ พูดชื่นชมขึ้น

“เปล่าสักหน่อย แค่ให้คำแนะนำเท่านั้นเอง” หลินอิ่ง ยิ้มแย้ม “ทุกอย่างล้วนมาจากไอเดียของเธอ ผมแค่แนะนำรายละเอียดเท่านั้น”

“ไม่ นี่เป็นไอเดียร่วมกันของเราสองคน” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“ครับ ตามคุณเลยครับ” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

“ฉันตัดสินใจแล้วว่า จะใช้แบบร่างออกแบบชิ้นนี้ไปสมัครงานกับประธานอู” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“แต่จะตั้งชื่ออะไรดีล่ะ?” จางฉีโม่ บ่นพึมพำขึ้น พร้อมครุ่นคิดอย่างจริงจัง

หลินอิ่ง ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนพูดว่า “ราชาแห่งโลก”

“ราชาแห่งโลกหรอ?” จางฉีโม่ ซักถามขึ้น

“ใช่ ราชาแห่งโลก” หลินอิ่ง ยิ้มและพูดว่า “คุณเคยดูหนังไททานิคไหม? พระเอก Leonardo DiCaprio มักจะโอบกอดมหาสมุทรตรงหัวเรือบ่อยๆ นั้นถือเป็นมุมกล้องที่คลาสสิกมาก”

“ผมชอบประโยคคลาสสิกนี้มาก นั้นคือผมเป็นราชาแห่งโลก!”

“แน่นอนว่าฉันเคยดูหนังเรื่องไททานิค มุมกล้องและประโยคที่คุณพูดนั้นถือว่าไม่เลวเลย!” จางฉีโม่ เผยสายตาเป็นประกาย ในหัวสมองของเธอนึกถึงภาพฉากนั้น ชั่วพริบตาก็รับรู้ถึงอารมณ์นั้นขึ้น

ความคิดเห็นของ หลินอิ่ง นับว่าดีเยี่ยมมาก!

“ราชาแห่งโลก!” จางฉีโม่ พูดด้วยความตื่นเต้นขึ้น “งั้นก็ตั้งเป็นชื่อราชาแห่งโลกนี่แหละ!”

ขณะที่พูด จางฉีโม่ ก็เขียนชื่อเครื่องประดับที่ออกแบบชิ้นนี้ขึ้น

หลังจากที่ จางฉีโม่ จัดแบบร่างออกแบบเสร็จเรียบร้อย ก็ส่งแบบร่างออกแบบให้กับประธานอู ทางอีเมลล์

ในวันนี้ หลังจากที่ครอบครัวกินข้าวเย็นกันเสร็จ ก็ได้รับการตอบกลับ

ประธานอู ตอบว่า ถือเป็นไอเดียออกแบบที่เยี่ยมยอดมาก! พรุ่งนี้เธอมาเจอฉันที่ห้องทำงานของประธานหน่อย

เมื่อผลงานของตัวเองได้รับการยอมรับก็ทำให้ จางฉีโม่ รู้สึกดีใจมาก

……

วันต่อมา รุ่งเช้า

เพื่อทำตามความต้องการของ จางฉีโม่ หลินอิ่ง เลยไปบริษัทเป็นเพื่อน จางฉีโม่

ทั้งสองคนโบกนั่งแท็กซี่ไปตึกอาคารเป่าติ่ง

จางฉีโม่ มีท่าทางตื่นเต้นมาก นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เครื่องประดับอัญมณีที่ตัวเองออกแบบได้รับการยอมรับ อีกอย่างประธานบริษัทยังเป็นคนตอบกลับด้วยตัวเองด้วย!

“ตื่นเต้นจัง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่จะพบปะกับบุคคลประเภทประธาน” เบาะหลังรถ จางฉีโม่ พูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “ไม่รู้ว่าเขาจะถามอะไรบ้าง ฉันกลัวตัวเองพูดผิด และไม่เอาแบบร่างของฉัน…..”

“ไม่ต้องตื่นเต้น เอาความคิดเห็นของตัวเองบอกเขาก็พอแล้ว” หลินอิ่ง พูดขึ้น

“ถ้าหากมีวันหนึ่งเครื่องประดับที่ฉันออกแบบด้วยมือของตัวเองสามารถโชว์ผ่านสายตาโลก และได้รับการชื่นชมจากคนจำนวนมากในนิทรรศการคงจะดีมากๆแน่เลย!” จางฉีโม่ เผยสายตาพึงพอใจขึ้น นี่เป็นความปรารถนาของเธอ

หลินอิ่ง พูดขึ้นว่า “วางใจเถอะ ไอเดียออกแบบของเธอต้องโชว์ผ่านสายตาโลกอย่างแน่นอน”

“จริงหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะดีมากเลย!” จางฉีโม่ มีท่าทางตื่นเต้น พร้อมเผยสีหน้าเฝ้ารอ

“หากการเจรจาครั้งนี้ผ่าน ต่อไปคุณก็จะกลายเป็นนักออกแบบอัญมณีจริงๆแล้ว สู้ๆ” หลินอิ่ง พูดขึ้น

“อืม ต้องสู้!” จางฉีโม่ พยักหน้าเล็กน้อย

ในใจของเธอแล้ว ความฝันของเธอคือการเป็นนักออกแบบอัญมณีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง

ไม่นาน รถแท็กซี่ก็ขับมาถึงตึกอาคารเป่าติ่ง

หลังจากที่ทั้งสองคนลงจากรถ แล้วขึ้นลิฟท์ ไม่นานก็มาถึงภายในบริษัท

ชั้นยี่สิบแปด

ที่นี้เป็นชั้นห้องทำงานของประธานอู

ชั้นนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก มีการตั้งตกแต่งด้วยกระจก และยังมีการจัดแต่งโต๊ะเก้าอี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย

ในเวลานี้ พนักงานก็เดินสัญจรอย่างเร่งรีบ ซึ่งมีพนักงานสวมชุดสูทจำนวนมากมาทำงานด้วย

ตอนที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาในตึก ก็มีหลายสายตาแปลกประหลาดจ้องมองเข้ามา

“จางฉีโม่? คุณไม่ได้เป็นพนักงานแผนกการตลาดหรอ? ใครให้คุณมาที่นี้ ที่นี้เป็นสถานที่ห้องทำงานระดับผู้บริหารของบริษัท คุณไม่รู้หรอว่าตัวเองมีฐานะอะไรหรอ?” พนักงานหญิงระดับสูงคนหนึ่งที่เดินผ่านหยุดฝีเท้าลง เมื่อเห็น จางฉีโม่ ก็เผยสีหน้าไม่พึงพอใจขึ้น

“อ๋อ? จางฉีโม่เองหรอ? นายท่านด้านข้างของคุณไม่ใช่คือคนที่สร้างความอับอายให้กับตระกูลจาง ของเราหรอกหรอ ลูกเขยไร้ประโยชน์คนนั้นใช่ไหม สามีของเธอชื่อว่า หลินอิ่ง ใช่ไหม?” พนักงานระดับสูงที่นั่งที่โต๊ะทำงานคนหนึ่งหันหน้ามองด้วยสายตาหยอกเล่นขึ้น

“ฉันจำได้ว่า พี่หนิง เคยบอกว่าอย่าให้เขาปรากฏตัวต่อหน้าพี่หนิง อีก แล้วคุณยังกล้าพาเขามาบริษัทอีกหรอ?”

“อืม! แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกคุณด้วย?” จางฉีโม่ ขี้เกียจต่อปากต่อคำกับคนเหล่านี้

ขณะที่พูดก็เดินตรงไปที่ห้องทำงานของประธานอย่างไม่สนใจ

“เดียวก่อน”

ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

เธอสวมชุดเดรสสีม่วงอ่อน และสวมเครื่องประดับราคาแพงเต็มไม้เต็มมือเดินเข้ามา

เมื่อ จางฉีโม่ เห็นคนที่เดินเข้ามาก็ขมวดคิ้วขึ้น และรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

คนที่มาคือคนรู้จัก จางจี้หนิง พี่สาวคนโตของตระกูลจาง

จางจี้หนิง รับผิดชอบตำแหน่งรองหัวหน้าออกแบบบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ขณะเดียวกันก็เป็นนักออกแบบอัญมณีของบริษัทด้วย

อีกอย่างเธอเป็นลูกสาวของคณะกรรมการบริหาร จางหงจูน ด้วย ดังนั้นเลยมีตำแหน่งในบริษัทค่อนข้างสูง

“พี่หนิง….” จางฉีโม่ กล่าวทักทายด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ

“หุบปาก!” จางจี้หนิง พูดแทรกขึ้น พร้อมหันหน้าจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเย็นชา “แกยังกล้ามาเสนอหน้าต่อหน้าฉันอีกนะ? ห่ะ?”

“พี่หนิง ขออภัยด้วย วันนี้ฉันกับ หลินอิ่ง มาทำธุระ เดียวพวกเราจะรีบไปเลย” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงกังวล พร้อมเผยสีหน้าเคร่งเครียด ในตอนนี้เธอทั้งรู้สึกหวาดกลัว และน้อยเนื้อต่ำใจตัวเอง ซึ่งเป็นเพราะถูกกดขี่ข่มเหงมาหลายปี

“ฉีโม่ คุณไม่ต้องกลัวเธอหรอก คุณไม่ได้ติดค้างอะไรเธอสักหน่อย” หลินอิ่ง พูดขึ้น

“ไอ้คนไร้ประโยชน์ กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าฉันได้ยังไง?” จางจี้หนิง เชิ่ดหน้าขึ้น พร้อมเหลือบมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเหยียดหยาม “ครั้งก่อนฉันยังไม่คิดบัญชีกับเธอเลย ครั้งนี้กล้าอวดดีต่อหน้าฉันอีกหรอ?”

“ครั้งก่อนผมได้กล่าวขอโทษในงานแต่งงานของคุณแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนั้นผมไม่ได้ผิด” หลินอิ่ง พูดขึ้น

“เห่อเห่อ ปากดีนักนะ! หลินอิ่ง แกลืมแล้วหรอว่าแกเคยพูดอะไรไว้?” ทันใดนั้นก็มีเสียงเข้มหนึ่งดังขึ้น

ซูนเหิง เดินเข้ามา พร้อมจ้องมอง หลินอิ่ง กับ จางฉีโม่ ด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็เผยท่าทางสูงส่งขึ้น และพูดว่า “แค่ขอโทษจะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้อย่างนั้นหรอ? ครอบครัวของพวกเธอเพิ่งกินข้าวอิ่มไม่กี่วันก็ลืมแล้วหรอว่า ตัวเองมีแซ่ว่าอะไร? เชื่อไหมว่า ฉันสามารถทำให้โรงงานอัญมณีของพวกเธอล้มละลายอีกครั้ง?”

ซูนเหิง ควักเงินก้อนใหญ่ลงทุนในบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ เลยใช้ฐานะกรรมการบริหารรับผิดชอบตำแหน่งรองประธานการบริหาร

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลซูน ที่เป็นตระกูลสูงศักดิ์อันดับหนึ่งของเมืองชิงหยูนด้วย ด้วยความสามารถของเขาแล้ว เพียงแค่ขยับนิ้วก็สามารถโค่นล้มครอบครัวของ จางฉีโม่ ได้เลย

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัว

“อ๋อ?” ทันใดนั้น จางจี้หนิง ก็แอบสังเกตเห็นแฟ้มเอกสารในมือของ จางฉีโม่ ขึ้น เลยเผยสีหน้าดูถูกพูดขึ้นว่า “เธอคงไม่พุ่งตัวหาประธานอู เพื่อสมัครงานหรอกนะ? และหวังให้เขาลงทุนกับไอเดียของเธอหรอกใช่ไหม?”

“ช่างน่าขันนัก เธอยากจนแบบนี้ยังกล้าเพ้อฝันกลายเป็นนักออกแบบอัญมณีอีกหรอ? หลายปีมานี้เธอพยายามเสนองานออกแบบตั้งหลายครั้ง ฉันดูมาหมดแล้วล้วนเป็นขยะทั้งนั้น ด้วยความสามารถอันต่อยต่ำของเธอชั่วชีวิตก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จหรอก!” จางจี้หนิง พูดประชดประชันขึ้น

“จางฉีโม่ ฉันขอใช้ตำแหน่งรองหัวหน้าแผนกออกแบบของบริษัท และฐานะนักออกแบบอัญมณีหลักประกาศอย่างเป็นทางการต่อเธอว่า ตอนนี้เธอสามารถไสหัวออกไปได้แล้ว!” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวดขึ้น “งานออกแบบของเธอ ฉันปฏิเสธ!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท