ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 29 ใช้อำนาจกดดัน

บทที่ 29 ใช้อำนาจกดดัน

บทที่ 29 ใช้อำนาจกดดัน

เวลานี้ จางจี้หนิงตั้งใจลุกขึ้นมาจากที่นั่ง

“จางฉีโม่ ไม่รู้ว่าขยะที่คุณออกแบบจะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ฉันจะบอกคุณไว้นะ แสงนิรันดร์ที่ฉันทำไร้ที่ติ สามารถเทียบกับขยะที่คุณออกแบบได้อย่างแน่นอน”ท่าทีจางจี้หนิงหยิ่งยโส กล่าวด้วยความรู้สึกเย่อหยิ่งว่า “อย่าไปคิดเลย อัญมณีล้ำค่าที่ฉันทำ มันเทียบไม่ได้กับที่คุณเคยเจอมา! แม้แต่เครื่องประดับอัญมณีบนตัวคุณเองก็ไม่มีสักชิ้น เครื่องประดับหนึ่งหมื่นหยวนก็ใส่ไม่ขึ้น ยังจะมาเทียบระดับกับฉันอีกหรอ?”

“คุณรอให้คนหัวเราะเยาะเถอะ! ยังหวังลมๆแล้งๆว่าจะกลายเป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบอย่างเป็นทางการ น่าตลกจริงๆ!”

พูดจบ จางจี้หนิงหันกลับเดินออกไป ก็คือตั้งใจมาแสดงความรู้สึกที่เหนือชั้นกว่า

“ทุกท่าน โปรดดูที่หน้าจอ” เจียงซวงพูดด้วยรอยยิ้ม

ตัดไปที่ภาพหน้าจอ ภาพถ่ายสามมิติแสดงจี้เพชรสองชิ้น มีข้อความแนะนำอย่างละเอียดด้านบน

แสงนิรันดร์ เป็นหนึ่งชิ้นที่ใช้เพชรสีน้ำเงินทำออกมาเป็นจี้รูปหยดน้ำ ทั้งชิ้นเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาอย่างมีเสน่ห์ มองดูหรูหราล้ำค่า

จี้King of the world เมื่อหมุนรอบๆจะเกิดแสงสะท้อนที่เปล่งประกายออกมา มีสีเจ็ดสีคือแดงส้มเหลืองเขียวครามน้ำเงินม่วง เหมือนกับปกคลุมด้วยสายรุ้ง แบบของมันเป็นเอกลักษณ์ ให้ความรู้สึกสามมิติงดงามเฉพาะตัว ให้ประสบการณ์ภาพหลายแง่มุมเมื่อหมุน ปรากฎเป็นรูปหัวใจ รูปคลื่น ทรงปิรามิด ทรงจันทร์ครึ่งเสี้ยว……ดูเหมือนราวกับสิ่งมีชีวิต ทำให้จิตใจคนโหยหาใฝ่ฝัน อย่างช่างน่ามหัศจรรย์!

เปรียบเทียบทั้งสอง เหนือกว่าหรือด้อยกว่าก็ให้คะแนนตัดสิน ทำให้แขกผู้มีเกียรติรู้สึกว่ากล้าตัดสินใจ……

ทั้งหมดนี้เป็นความแตกต่างที่แข็งแกร่งของนักออกแบบอัญมณี!

“นี่!”

“King of the worldชิ้นนี้ทำออกมาได้อย่างไร? กรรมวิธีเทคนิคแบบนี้? วิธีคิดสร้างสรรค์แบบนี้ ช่างอัจฉริยะจริงๆเลย!”

“ฝีมือประณีตเหนือธรรมชาติ นี่แทบจะใช้กรรมวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุด และด้วยเอกลักษณ์ที่สร้างสรรค์ออกมาไม่เหมือนใคร คู่ควรกับที่เรียกว่าKing of the world!”

“นี่ก็งดงามเหลือเกินแล้ว! หากว่าสามารถเป็นเจ้าของเครื่องประดับชิ้นนี้ได้ จะดูดีขนาดไหน?” แขกผู้มีเกียรติท่านหนึ่งกล่าวด้วยแววตาเปล่งประกาย

ทำให้เกิดความตื่นตาตื่นใจในนั้น ผู้เชี่ยวชาญและแขกทุกท่านต่างอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงเต้น ต่างวิจารณ์แสดงออกอย่างพร้อมเพรียงกันอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติหรือนักวิชาการ ล้วนต่างชื่นชมในกรรมวิธีของจี้King of the world ชื่นชมกันอย่างไม่หยุด!

“แต่แสงนิรันดร์ชิ้นนั้น ถึงแม้จะมีราคาการสร้างหลักสิบล้าน แต่ทั้งหมดใช้วัตถุดิบที่ทำมาจากเพชรสีน้ำเงิน มันช่างสิ้นเปลืองวัตถุดิบเสียจริง! ไม่ว่าจะเป็นความคิดสร้างสรรค์หรือการทำก็ธรรมดามาก”ผู้เชี่ยวชาญญอาวุโสที่สวมแว่นพูดพลางถอนหายใจ “เหมือนกับจี้เพชรรูปหยดน้ำแบบนี้ เคยเห็นมาบ่อยแล้ว ในฐานะแบรนด์หลักของกลุ่มอัญมณีที่เก่าแก่ ต่ำกว่ามาตรฐานเกินไป!”

“แท้ที่จริง ชิ้นนี้ที่เรียกว่าแสงนิรันดร์ ช่างน่าผิดหวังจริงๆ เพียงแต่ว่า King of the worldอีกชิ้นหนึ่ง ช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน!”

“ไม่ผิด ผลงานทั้งสองนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย จะสามารถนำมาจัดแสดงในเวลาเดียวกันได้อย่างไร?”

“ช่างไร้ความสามารถจริงๆเลย เพชรสีน้ำเงินราคาแพงระดับไฮเอนด์ขนาดนี้ ธรรมดาเหลือเกิน! เครื่องประดับอัญมณีหลายสิบร้านยังใช้ฝีมือแบบนี้”

หลังจาก ผู้เชี่ยวชาญญหันมาวิพากษ์วิจารณ์แสงนิรันดร์ ทั้งหมดล้วนถอนหายใจแล้วส่ายหัว

สำหรับผลงานชิ้นนี้ รู้สึกเสียดายอย่างมาก รู้สึกถึงความสิ้นเปลืองของวัตถุดิบ

“เป็นอย่างนี้ได้ยังไง?” จางจี้หนิงหน้าแดงขึ้นมา ได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์ในที่เกิดเหตุ ไม่ว่าจะหน้าหนาแค่ไหนก็ต้องอับอายอยู่เล็กน้อย

“ระดับขยะอย่างจางฉีโม่จะออกแบบเครื่องประดับอัญมณีแบบนี้ได้อย่างไร?” จางจี้หนิงกล่าวด้วยความโกรธอย่างมาก “นี่ไม่ใช่ผลงานของเธอเองอย่างแน่นอน!”

ในฐานะนักออกแบบเครื่องประดับ จางจี้หนิงก็แยกแยะออก พูดจากมุมมองของผลงาน King of the worldยังห่างชั้นกับแสงนิรันดร์นัก

แต่เธอจะไม่สามารถยอมรับระดับขยะแบบจางฉีโม่นี้ได้!

“เอาล่ะ ทุกท่าน ใช้เครื่องลงคะแนนลงคะแนนได้เลย เพื่อตัดสินผลงานเครื่องประดับอัญมณีที่เข้าร่วมนิทรรศการ” เจียงซวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

สีหน้าของซูนเหิงไม่ค่อยดีเล็กน้อย เขายืนขึ้น ไอแห้งๆสองครั้ง

“อะแฮ่ม ทุกท่าน!”

“ฉันคือซูนเหิงของตระกูลซูน!แสงนิรันดร์ออกแบบโดยภรรยาของฉันจางจี้หนิง! แขกผู้มีเกียรติและผู้เชี่ยวชาญญทุกท่าน โปรดพิจารณาใหม่อีกครั้ง แสงนิรันดร์ชิ้นนี้ไม่ใช่จะพบเจอกันได้ง่ายๆขนาดนั้น ฉันหวังว่าทุกคน จะลงคะแนนกันอย่างรอบคอบ”

พูดจบ ซูนเหิงก็ใช้สายตามองคนที่อยู่รอบๆ สีหน้าท่าทางไม่ต้องพูดก็เห็นได้ชัด……

“นี่……คุณชายใหญ่ของตระกูลซูน”

แขกผู้มีเกียรติและนักวิชาการอัญมณีทั้งหมดก็ไม่ใช่คนโง่ ที่จะฟังไม่ออกว่าที่ซูนเหิงพูดหมายความว่าอย่างไร

“ที่คุณซูนพูดก็ไม่ผิด! แสงนิรันดร์นี้แรกๆมองดูก็ไม่ได้รู้สึกมหัศจรรย์ แต่พอมองอย่างละเอียด ทว่ามีความหมายที่ลึกซึ้ง!”ผู้เชี่ยวชาญญด้านเครื่องประดับท่านหนึ่งเปลี่ยนคำพูด “กลับกันKing of the worldชิ้นนั้น ยิ่งดูแพรวพราว เต็มไปด้วยความไม่มีรสนิยม เพียงแต่มองในเวลาต่อมา ก็รู้สึกธรรมดาๆ”

“มีเหตุผล แสงนิรันดร์นี้ดูดีหรูหรา งดงามสมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยความหมายแฝงของสมัยนิยม สมแล้วที่จางจี้หนิงทำเองกับมือ จางจี้หนิงเป็นตระกูลที่ร่ำรวยอัญมณี ยิ่งเป็นนักออกแบบอัญมณีที่มีชื่อเสียงของเมืองชิงหยูนด้วย เก่งจริงๆ!” อีกทั้งแขกผู้มีเกียรติหญิงท่านหนึ่งพูดประจบว่า “บัตรนี้จำเป็นต้องยกให้แสงนิรันดร์”

“ใช่! ฉันก็ให้แสงนิรันดร์!”

แขกและผู้เชี่ยวชาญญที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ส่วนใหญ่แสดงเจตนาที่เปลี่ยนไป ผู้เชี่ยวชาญญอาวุโสที่ซื่อสัตย์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เงียบไม่พูดอะไร

อย่างไรเสีย ตระกูลซูนเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจที่หนึ่งในเมืองชิงหยูน ซูนเหิงคุณชายใหญ่ท่านี้ได้เอ่ยปากไปแล้ว ใครจะกล้าทำให้ไม่พอใจต่อหน้าล่ะ?

“เอาล่ะ คะแนนได้นับเสร็จเรียบร้อย แขกทั้งสามร้อยท่านในที่นี้ แสงนิรันดร์ได้รับคะแนนไปสองร้อยสามสิบห้าคะแนน ได้รับเลือกเป็นเครื่องประดับอัญมณีที่ดีที่สุดในงานนิทรรศการครั้งนี้!” เจียงซวงยิ้มแย้มอย่างเป็นมืออาชีพ ในการประกาศผล

“นี่ไม่ยุติธรรมกันเกินไปแล้วนะ!” จางฉีโม่พูดเสียงเบา แสดงออกอย่างกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม “นี่ไร้ยางอายเหลือเกิน!”

เธอไม่คาดคิด จางจี้หนิงจะใช้วิธีการสกปรกนี้เพื่อคว้ารางวัลเครื่องประดับยอดนิยมในนิทรรศการ

“ไม่เป็นไร ฉีโม่ นี่แค่เป็นชื่อเสียงที่จอมปลอมก็แค่นั้น” หลินอิ่งพูดปลอบใจ “กลุ่มนี้เป็นที่แรกที่ตัดสินในงานแสดงนิทรรศการเครื่องประดับนี้ กำหนดชี้ขาดตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ เป็นของช่วงประมูลอัญมณีต่อไป”

หลินอิ่งพูดเรียบๆ : “แขกและผู้เชี่ยวชาญญเหล่านี้จะสามารถขายศักดิ์ศรีของตระกูลซูนเพื่อโหวตให้จางจี้หนิง แต่ต้องใช้เงินทองจริงๆในการประมูล น่าจะไม่โง่ขนาดนั้น”

“อืม ก็ถูก” จางฉีโม่พยักหน้า ก็คือนึกถึงหัวใจสำคัญ

เมื่อทั้งสองกำลังคุยกัน จางจี้หนิงทำท่าทีหยิ่งยโส เต็มไปด้วยความหยิ่งทนงในตนเอง เดินเข้ามาอย่างช้าๆ สีหน้าเหยียดหยามมองไปทางจางฉีโม่

“เป็นอย่างไรล่ะ ฉันพูดไม่ผิดใช่ป๊ะ? ระดับขยะอย่างคุณนี่ แม้แต่ครึ่งหนึ่งของคะแนนโหวตของฉันก็ยังไม่ถึง!”

“ยังคิดจะมาเทียบระดับกับฉันอีหรอ? ดูผู้เชี่ยวชาญญทั้งหมดประเมินค่าผลงานคุณว่าอย่างไร รสนิยมต่ำ!” จางจี้หนิงกล่าวอย่างสีหน้าพึงพอใจ “คนต่ำต้อยก็คือคนต่ำต้อย ยังคิดจะอาศัยการออกแบบที่เหนือกว่า คุณเลิกคิดไปได้เลย!”

“คุณอย่าภูมิใจเร็วเกินไปหน่อยเลย รอก่อนยังมีการประมูลอัญมณีอย่างเป็นทางการอีก!”จางฉีโม่กล่าวอย่างโกรธนิดๆ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท