ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 4 นิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่

บทที่ 4 นิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่

บทที่ 4 นิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่

เมืองชิงหยูนเขตตะวันออก อาคานิ่งซื่อ

ตึกอาคารมีทั้งหมดเจ็ดสิบกว่าชั้น ซึ่งเป็นตึกอาคารที่สูงใหญ่ตระหง่าน และตั้งอยู่ใจกลางเมืองด้วย

ที่นี้เป็นแปลงที่ดินที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในใจกลางเมืองชิงหยูนอีกทั้งอาคานิ่งซื่อ ยังเป็นสถาปัตยกรรมเป็นแบบทันสมัยของเมืองชิงหยูนด้วย

เมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนที่นิ่งซื่อกรุ๊ปมาตั้งบริษัทที่เมืองชิงหยูนชั่วคราวนั้น สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งเมืองตุงไห่

เพราะนี้เป็นอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล ตระกุลนิ่งของตี้จิง ซึ่งเป็นตระกูลที่สูงส่งที่สุดของประเทศหลุง

ก่อนที่จะมาถึงตึกอาคาร หลินอิ่ง เดินเข้าห้องโถงต้อนรับแขกก่อน

“ไม่ทราบว่าคุณมาติดต่อใครค่ะ?” พนักงานต้อนรับผู้หญิงซักถามแขกขึ้น

“ผมมาหา นิ่งซวน ประธานของพวกคุณครับ” หลินอิ่ง พูดขึ้น

“คุณมาหาประธานนิ่ง หรอครับ? ไม่ทราบว่าคุณนัดหมายล่วงหน้าหรือยังค่ะ?” พนักงานบริการหญิงซักถามด้วยความสงสัยขึ้น

ชายหนุ่มคนนี้สวมชุดขายของ ซึ่งแทบไม่เหมือนคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสามารถพบกับท่านประธานนิ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นคนคนใหญ่คนโตแบบนี้

ประธาน นิ่งซวน เป็นถึงตัวแทนของตระกูล ตระกุลนิ่งของตี้จิง ที่อยู่เมืองตุงไห่ซึ่งเป็นถึงบุคคลที่มีอำนาจคับฟ้า จนแทบไม่มีใครมีคุณสมบัติเพียงพอพบกับเขาเลยทั่วทั้งเมืองชิงหยูน

หลินอิ่ง พูดขึ้นว่า “ช่วยฝากบอกเขาหน่อยว่า ผมเป็นเพื่อนของ นิ่งไท่จี๋”

“ค่ะ เชิญคุณรอสักครู่นะค่ะ” พนักงานบริการหญิงเผยสายตาลังเลเล็กน้อย พร้อมเตรียมโทรศัพท์ ตั้งแต่มาทำงานนิ่งซื่อกรุ๊ปมา เธอไม่เคยได้ยินชื่อบุคคลนี้มาก่อนเลย

อีกด้าน ห้องทำงานของประธานตึกอาคารใหญ่สูงตระหง่าน มีชายหนุ่มหน้าตาไม่ธรรมดาคนหนึ่งกำลังจัดการเอกสารอยู่

ก็อก! ก็อก!

“เชิญเข้ามา”

เลขาชายหนุ่มเคาะประตูเดินเข้ามา และพูดอย่างสุภาพว่า “ประธานครับ ที่เคาน์เตอร์มีคนมาหาคุณครับ”

“เคาน์เตอร์หรอ? เวลานี้ของวันนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีนัดหมายล่วงหน้าหรอกหรอ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว และพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “หากมีหมาแมวที่ไหนมา ไม่ต้องมาบอกฉันอีก เข้าใจไหม?”

“เออว่า…..” เลขาชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าลังเลว่า “ประธานครับ คนๆนั้นฝากบอกว่า เขาเป็นเพื่อนของ นิ่งไท่จี๋ ครับ”

“ผมเกรงว่า มีคนจากตระกูลของคุณมาหา….เลยมารายงาน”

นิ่งไท่จี๋!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งอยู่สักพัก แล้วขมวดคิ้ว

นิ่งไท่จี๋ เป็นหัวหน้าตระกูลของ ตระกุลนิ่งของตี้จิง ซึ่งเป็นชื่อของคุณปู่ของเขา

ใน ตี้จิง แล้ว มีเพียงญาติมิตรที่มีสายเลือดโดยตรงเท่านั้นที่จะทราบชื่อผู้อาวุโสที่เคารพของคุณปู่ และคงไม่มีใครกล้าเรียกชื่อเต็มของคุณปู่ด้วย ในเมืองชิงหยูนและมณฑลนี้มีใครบ้างที่รู้จักกับคุณท่านของตระกูลนิ่ง แถมยังกล้ามาหาตัวเองด้วย?

“คนนั้นเป็นคนยังไงหรอ?” นิ่งซวน ซักถามขึ้น

เลขาชายตอบว่า “ชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆครับ”

“งั้นเรียกให้คนนั้นมาที่ห้องทำงานของฉัน” นิ่งซวน พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกับเผยสีหน้าสงสัยเล็กน้อย “ชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆหรอ?”

ห้านาทีต่อมา หลินอิ่ง ก็เดินตามเลขาหนุ่มมาที่ห้องทำงานของประธานชั้นที่หกสิบหก

หลินอิ่ง นั่งลงอย่างตามสบาย

จากนั้นก็เห็นชายหนุ่มสง่าผึ้งผ่ายกำลังจ้องมองตัวเองด้วยสายตาเคร่งขรึมอยู่

ไม่ทราบว่าคุณคือ?” นิ่งซวนถามขึ้น พร้อมกับจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าอย่างมึนงง

“นายจำสิ่งนี้ไม่ได้แล้วหรอ?” หลินอิ่ง หยิบป้ายหยกสีเขียวขึ้นมา

บนป้ายหยกสลักตัวอักษรที่สับซ้อนอยู่ โดยตรงกลางมีตัวอักษรนิ่ง อยู่อย่างเห็นได้ชัดเจน

“นี้คือ?” นิ่งซวนจ้องมองป้ายหยกชิ้นนี้ด้วยสายตาตกตะลึง ขณะเดียวกันก็รู้สึกเวียนหัวด้วย

นี่คือป้ายหยกแสดงสัญลักษณ์ตำแหน่งของตระกูล ตระกุลนิ่งของตี้จิง มีทั้งหมดไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ซึ่งแม้แต่เขาที่เป็นตัวแทนของมณฑลแห่งนี้ของตระกูลนิ่ง ยังไม่มีติดตัวเลย…..

ตอนที่เขายังเด็กเคยเห็นในมือของพ่อเขามีป้ายหยกตระกูลนิ่ง ชิ้นหนึ่ง ซึ่งหากยึดตามลำดับขั้นแล้ว พ่อของเขามีลำดับขั้นต่ำกว่าชายหนุ่มคนนี้อยู่ขั้นหนึ่ง…..

“เดียวรบกวนคุณรอสักครู่นะครับ เดียวผมจะไปตาม พ่อบ้านกู่ มาหานะครับ” นิ่งซวนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่แฝงความอ่อนโยนขึ้น และไม่กล้าทำเสียมารยาทต่อหน้าชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าด้วย

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เขาไม่เคยสงสัยในคำพูดของท่านอาจารย์เลย เพราะตอนที่ยังเด็ก เขาเคยพบกับ นิ่งไท่จี๋ หัวหน้าตระกูลนิ่ง กับท่านอาจารย์มาก่อน แม้แต่ นิ่งไท่จี๋ ที่เป็นบุคคลใหญ่โตยังปฏิบัติตัวสุภาพกับท่านอาจารย์เขาเลย แล้วหลานของเขาล่ะ?

ก่อนมาเขาทำความเข้าใจมาแล้วว่า นิ่งซวน เป็นสายเลือดรุ่นที่สามของตระกูลนิ่ง ซึ่งไม่นับว่าเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากในรุ่นนี้ แต่ก็เป็นคนไม่ธรรมดา เพราะเป็นคนดูแลควบคุมนิ่งซื่อกรุ๊ปในเมืองตุงไห่

ธุรกิจของนิ่งซื่อกรุ๊ปที่อยู่ในเมืองตุงไห่ครอบคลุมทั้งการประมูลวัตถุโบราณ ไข่มุกอัญมณี ยารักษาโรค รวมทั้งอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนทางการเงิน ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่มาก

ไม่นาน นิ่งซวน เชิญผู้อาวุโสผมงอกมีหนวดสวมชุดสูทสีแดงคนหนึ่งเข้ามา

จากนั้น นิ่งซวน ก็เดินไปนั่งอีกด้าน

เขารับผิดชอบเพียงกิจการค้า ส่วนเรื่องกิจการค้าลับพ่อของเขาเป็นคนรับผิดชอบ นั้นคือคุณกู่…..

ผู้อาวุโสดูแล้วเหมือนอายุราวๆห้าสิบหกสิบปี แต่ยังคงเดินอย่างคล่องแคล่ว และมีสายตาที่เฉียบแหลมมาก

ผู้อาวุโสถึงกับสะดุ้ง เมื่อเห็นป้ายหยกในมือของ หลินอิ่ง จากนั้นเขาก็สูบลมหายใจหนึ่งที และพูดว่า “ฉันกู่ชางไห่ ไม่ทราบว่านายท่านมีนามว่าอะไรครับ?”

“หลินอิ่ง”

“สหายหลิน ขอเสียมารยาททดสอบตำแหน่งของนายท่านสักหน่อยจะได้ไหมครับ?” กู่ชางไห่ พูดขึ้น พร้อมเผยสีหน้าจริงจัง

“ได้” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เขาเองก็มองออกว่า กู่ชางไห่ เป็นคนไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือโบราณที่หายาก

กู่ชางไห่ พยักหน้าเล็กน้อย แล้วฝ่ามือก็ขยับเล็กน้อย จู่ๆวงแหวนหยกหนึ่งก็ผุดโผล่ขึ้นกลางอากาศ จนเกิดเสียงสั่นสะเทือน พร้อมพุ่งตัวตรงที่ หลินอิ่ง

หลินอิ่ง นั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับตัว จากนั้นมือข้างหนึ่งก็กุมวงแหวนหยกอย่างรวดเร็ว

ต่อมาเขาก็คลายมือออก ปรากฏเป็นละอองหินหยกออกมา….

เมื่อเห็นฉากนี้ นิ่งซวน ก็คิ้วกระตุก พร้อมเผยสายตาตกใจช็อกออกมา

บนใบหน้าของ กู่ชางไห่ ก็เต็มไปด้วยสีหน้าตกใจเหมือนกัน จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “ยอดฝีมือกำลังภายใน….แถมยังอายุน้อยด้วย ไม่ทราบว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของใครหรอ….”

ในฐานะผู้บริหารของตระกูลนิ่ง เขาประสบแต่เรื่องลี้ลับโบราณเกี่ยวกับตระกูลหลิน เลยสามารถคาดเดาตำแหน่งของ หลินอิ่ง ได้อยู่

กู่ชางไห่ ก้มโค้งคำนับ และพูดว่า “ผู้บริหารรุ่นที่สามของตระกูลนิ่ง กู่ชางไห่ ขอคารวะนายท่าน”

“นิ่งซวน ขอคารวะนายท่าน” นิ่งซวน เองก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นเหมือนกัน

ตระกูลนิ่ง ซึ่งตระกูลนิ่ง เคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบมาก จนแทบไม่มีใครกล้าละเมิดเลย

เมื่อได้รับการยอมรับตำแหน่ง หลินอิ่ง ก็พยักหน้าเล็กน้อย

“ไม่ทราบว่านายท่านมาบริษัทสาขาตุงไห่ มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?” กู่ชางไห่ ก็พูดจริงจังขึ้น

ตรึงตรึง…..

ทันใดนั้น จู่ๆโทรศัพท์ของ หลินอิ่ง ก็ดังขึ้น

“หลินอิ่ง ไอ้คนไร้ประโยชน์ แกอยู่ไหน? รีบมาโรงพยาบาลเมืองเลย! ใบหย่าฉันให้คนเตรียมการแล้ว แกรีบมาเซ็นเลย” ในสายมีเสียงของ ลู่หย่าฮุ่ย ดังขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นครับ?” หลินอิ่ง ซักถามขึ้น

“วันนี้ตอนที่พ่อของ ฉีโม่ อยู่โรงงานเจอกับ จางเถียนไห่ ที่มาซื้อโรงงาน แต่ถูกทำร้ายจนต้องเข้าโรงพยาบาล ส่วน ฉีโม่ ที่โต้เถียงก็ถูก จางเถียนไห่ ที่โมโหทำร้ายจนหมดสติเหมือนกัน ตอนนี้ จางเถียนไห่ ยังคงบีบบังคับเรื่องนี้อยู่อีก แถมบ้านที่พวกเราอยู่ยังต้องถูกยึดชดใช้หนี้ด้วย เขาบอกว่าหากแกกับ ฉีโม่ หย่ากัน เขาจะยอมปล่อยพวกฉัน ทุกอย่างเป็นเพราะแกคนเดียวเลย! ฉันขอร้องล่ะ แกหย่ากับลูกสาวของฉันเถอะ! ถ้าแกพอมีเมตตาอยู่! ครอบครัวของฉันคงไม่ทรมานแบบนี้หรอก!”

ในสายนั้น ลู่หย่าฮุ่ย พูดด้วยน้ำเสียงสะเอื้อน พร้อมกับท่าทางรีบร้อนใจ

“ผมทราบแล้วครับ เดียวผมไป” หลินอิ่ง วางสายลง แล้วค่อยๆสงบสติอารมณ์ลง

ฉีโม่ สลบหมดสติหรอ?

หลินอิ่ง เผยสายตาแหลมคมออกมา แล้วหันหน้ามอง กู่ชางไห่ กับ นิ่งซวน

“ภายในหนึ่งวัน ฉันต้องการเห็นบริษัทเครื่องประดับจางซื่อล้มละลาย” หลินอิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น

“ครับ! นายท่าน เราจะทำตามคำสั่งครับ” นิ่งซวน พูดขึ้น

นิ่งซวน ถอนหายใจในใจเงียบๆ เขานึกว่านายท่านที่หล่นจากฟ้าจะออกคำสั่งให้เขาทำเรื่องลำบากใจซะอีก

ทำให้บริษัทขนาดเล็กอย่างบริษัทเครื่องประดับจางซื่อล้มละลาย นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท