ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 17 คุกเข่า

บทที่ 17 คุกเข่า

บทที่17 คุกเข่า

ภายในห้องก็เงียบขึ้นมาชั่วขณะ

ผู้ชายตัวผอมที่ถูกต่อยจนจมูกบวมหน้าบวมเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่มาร่วมปาร์ตี้ด้วยกัน

ก่อนหน้านี้เขายังช่วยหลี่ฮุยเยาะเย้ยหลินอิ่งอยู่เลย

หลี่ฮุยไออย่างแห้ง ๆ และพูดว่า “ปล่อยเขาไปเถอะ”

“นายบอกให้ปล่อยก็ปล่อยเหรอ นายเป็นตัวอะไร” ชายหน้าดุที่มีแขนสักดอกไม้ถามหลี่ฮุย

“ฉันเป็นตัวอะไรเหรอ? ฉันเป็นพ่อของนาย!” หลี่ฮุยรีบวิ่งขึ้นไป ตบหน้าชายแขนลายคนนั้น

“ฉันชื่อ หลี่ฮุย และฉันเปิด บริษัทก่อสร้างซู่หยาง ที่อยู่ใกล้ ๆ บริษัท ของเรา จื่อจินKTV ได้รับการตกแต่งโดยบริษัทของเราเจ้านายและฉันเป็นเพื่อนเก่าคุณลูกครึ่งส่งชุดให้ฉันที่นี่” หลี่ฮุยเต็มไปด้วยใบหน้า กล่าวอย่างเย่อหยิ่ง.

“หลี่ฮุย? บริษัทก่อสร้างซู่หยางชายแขนลายกำลังจะต่อสู้กลับ เขาลังเลอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็อดทนต่อความโกรธไว้ แล้วเดินออกจากห้องไป “นายรอตรงนี้นะ”

“ พี่ฮุยขอบคุณมากๆครับ”

“ พี่ฮุยสุดยอดมากนะครับเนี่ย ได้หน้าจริงๆเลย! ทันทีที่แจ้งชื่อไปไอ้ตัวเล็กก็ตกตะลึง”

“ใช่สิ พวกผู้ชายอย่างเราก็ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มเหมือนพี่ฮุยสิ”

คนกลุ่มหนึ่งในห้องเริ่มประจบขึ้นมา

หลี่ฮุยนั่งเอนหลังบนโซฟาอย่างคนได้ชัยชนะมาและเขาก็สูบซิการ์ของเขาไป1คำ

เขาใช้เวลาและดื่มในสถานที่ต่างๆทุกวัน ก็รู้จักคนในแวดวงไม่กี่คน นักเลงแบบนี้เขาไม่รู้ว่าจัดการไปกี่ครั้งแล้ว ไม่เคยมีเรื่องตามหลังมา ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร

คนเมื่อกี้นี่หาเรื่องจริงๆเลยนะ เป็นกระสอบทรายที่ดีสำหรับเขาที่จะแสดงความแข็งแกร่งของเขาต่อหน้าจางฉีโม่

“ พวกนักเลงแบบนี้ แสร้งทำได้แค่ต่อหน้าคนอื่น ต่อหน้าฉันเขาต้องเชื่อฟังกันหมด”หลี่ฮุยพูดด้วยสีหน้าได้ใจ แล้วคิดว่าตัวเองเจ๋งมากๆ

“อย่างพี่ฮุยของเราก็เป็นที่รู้จักกันดีในถนนสายนี้ ไม่เหมือนคนบางคน นอกจากจะอิจฉาและใส่ร้ายคนอื่นแล้ว เขาไม่มีอะไรทำเลย พูดในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อกี้มีคนพุ่งเข้ามา แต่ตดยังไม่กล้าเลยด้วยซ้ำ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาด สายตาของเขาจ้องมองไปที่หลินอิ่ง

หลี่ฮุยหัวเราะและพูดว่า “อย่าพูดเลยว่าใครบางคน นั่นหลินอิ่งรึเปล่า ฉีโม่ เธอเห็นรึยังคนไม่เอาไหนอย่าง หลินอิ่ง ถ้าคุณเจอเรื่องแบบนี้เข้า เขาจะช่วยเธอได้ไหม? คุณไม่รู้สึกปลอดภัยเลยด้วยซ้ำ”

“ ใครคือหลี่ฮุย?”

ทันใดนั้น เสียงตะโกนที่โกรธเกรี้ยวดังมาจากนอกห้อง

ชายที่มีรอยแผลเป็นรูปยาวบนใบหน้า พุ่งเข้ามาพร้อมกับชายร่างท้วมเจ็ดแปดคนที่ถือแท่งเหล็กมาด้วย ข้างๆชายที่มีแผลเป็นตามมาด้วยชายที่มีแขนลายดอกไม้ที่ถูกตบเมื่อกี้

“ ช่างกล้าดีจริงๆ มาตีลูกพี่ลูกน้องของผม ในถิ่นของงูดำ?” ผู้ชายที่มีรอยแผลเป็นพูดด้วยสีหน้าเย็นชาพร้อมกับคีบบุหรี่ไว้ในปาก

เมื่อมองไปที่ท่าทีนี้ ทุกคนในกล่องก็กลัวจนหดตัวลงหมด และสีหน้าของทุกคนดูตื่นเต้นมาก

“นี่! งูดำ?” หลี่ฮุยเองยังแสดงความกลัวบนใบหน้าเช่นกัน

งูดำเป็นรุ่นใหญ่ในย่านถนนของกินนี้ เขาถือหุ้นของจื่อจินKTVไว้ด้วย

“ไม่ใช่ครับ พี่งู นี่เป็นแต่การเข้าใจผิดครับ ผมไม่ทราบจริงๆครับว่านั่นเป็นลูกพี่ลูกน้องของท่าน ” หลี่ฮุยพูดด้วยสีหน้าที่วิตกกังวล “ผมชื่อหลี่ฮุย พ่อของผมคือหลี่ชิงซาน บริษัทก่อสร้างซู่หยางเป็นของตระกูลผมเองครับ”

หลี่ฮุยกล้าลงมือสั่งสอนนักเลงกระจอกๆ แต่ไม่กล้าหาเรื่องหัวโจ๊กที่มีทั้งเงินและอำนาจอย่างงูดำหรอกนะ เขาเอาชื่อของพ่อเขามาพูด

“หลี่ชิงซาน?” งูดำขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามลูกน้องที่อยู่ข้างว่า “เหมือนจะเคยได้ยินชื่อนี้นะ ไอ้แปด ใช่เฒ่าแก่คนที่กินข้าวเย็นกับเราเมื่อวานรึเปล่า?”

“ใช่ครับ พี่งู หลี่ชิงซานคนนั้นแหละครับ”

“พี่งู ท่านเห็นแก่หน้าของพ่อผมด้วยเถอะเรื่องนี้ก็ให้มันจบแบบนี้ได้ไหมครับ แล้วเดี๋ยวผมจะเลี้ยงเหล้าในวันหลัง” หลี่ฮุยรู้เขาว่ารู้จักกับพ่อของตัวเอง ก็เลยถือโอกาสพูดไปเลย

“หึ ไว้หน้านายงั้นเหรอ?” งูดำทำสีหน้าไม่แยแส

“นายรู้ไหมว่าขนาดพ่อนายยังทำตัวเหมือนหมาเลียเท้าตอนอยู่หน้ากูเลย ”

“ฉันก็นึกว่าเป็นคุณชายที่ไหนซะอีก ที่แท้ก็ไอ้คนไม่เอาไหนอย่างนายนี่เอง ยังมาทำตัวเป็นคนใหญ่คนโตต่อหน้าฉันเหรอ?” งูดำหัวเราะเยาะเย้ยขึ้นมา

เพี๊ยะ!เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

งูดำเดินมาตบหน้าหลี่ฮุยอย่าแรงไปสามที ตบจนใบหน้าเขาเป็นรอยฝ่ามือสีแดงชัด

“กดมันไว้ น้อง นายจัดการต่อเลย จัดการมันเสร็จก็เอาตัวมันไปที่แม่น้ำ โยนลงไปให้เขาตื่นสักหน่อย ” งูดำสูบบุหรี่ แล้วพูดอย่างใจเย็น

ชายร่างแกร่งกดหลี่ฮุยไว้บนโต๊ะอย่างแรง สีหน้าของชายที่แขนเต็มไปด้วยรอยสักลายดอกโกรธมาก เข้ามาก็ตบหน้าเขาอย่างแรงเลย ตบไปที่หน้าเขาอย่างไม่หยุดยั้ง

“พี่งู ผมขอร้องล่ะ ปล่อยผมไปเถอะ! ในห้องนี้มีลูกสาวของตระกูลจางอยู่ด้วย เห็นแก่หน้าของตระกูลจาง ปล่อยผมไปเถอะนะครับ” ใบหน้าของหลี่ฮุยบวมมาก พูดพร้อมขอร้อง แต่เขากลับเอาจางฉีโม่เข้ามาเกี่ยวด้วย

“คุณหนูตระกูลจางเหรอ? ” งูดำขมวดคิ้ว หรี่ตากวาดมองคนอื่นๆในห้อง

ฉีโม่ตอนนี้เธอเป็นผู้อำนวยการของจางซื่อกรุ๊ป แน่นอนว่าต้องมีอำนาจในตระกูลจางอยู่บ้าง ช่วยพี่ฮุยพูดอะไรคำสองคำสิ” เพื่อนหลายๆคนพูดกล่อมเธอ

“คุณจางฉีโม่คนนี้เหรอที่เป็นคนของตระกูลจาง ผู้อำนวยการแผนกของจางซื่อกรุ๊ป พี่งู คนคุณก็จัดการไปแล้ว ก็ไว้หน้าตระกูลจางหน่อย เรื่องนี้ก็จบแค่นี้เถอะนะ” หลี่เสวี่ยนเอ๋อออกมาพูด

“ตระกูลจาง? หึ ”งูดำหัวเราะออกมา “ตระกูลจางเป็นใครที่ไหนกัน? ระแวกเมืองหนานเฉิงนี้มีที่ให้ตระกูลจางมาพูดออกเสียงด้วยหรือ?”

พูดจบ งูดำ ก็เหลือบไปเห็นจางฉีโม่ เขาตาสว่างขึ้นมาทันทีทันใด ในสายตามีความเจ้าเล่ห์เผยออกมาเล็กน้อย

อย่าบอกนะว่าเป็นคนสวยที่ดังมากๆในเมืองชิงหยูนเมื่อสองปีก่อนเหรอ?” งูดำพูดพร้อมมองด้วยสายตาที่หื่นกระหาย “ได้ยินมาว่าตระกูลจางหาสามีให้เธอเหรอ? ชิชะ น่าเสียดายความสวยนี้จังเลย ”

วันนี้จางฉีโม่ใส่เสื้อสูททางการ บุคลิกดูดีมาก บวมกับเธอสวยอยู่แล้ว หุ่นก็ดีไม่มีที่ติ

ไม่ว่าผู้ชายคนไหนถ้ามาเห็นเข้า ก็ต้องหวั่นไหวแน่ๆ

“เอาหน่า จางฉีโม่ วันนี้เธอดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อย มาพูดคุยกันเรื่องชีวิตของเรา เรื่องนี้ก็จะให้มันผ่านไป ฉันก็จะปล่อยตัวหลี่ฮุย” งูดำพูดด้วยสีหน้าที่ร้ายลึก

สีหน้าของจางฉีโม่แย่มาก คนอย่างงูดำไม่กลัวแม้กระทั่งตระกูลจาง เธอจะรับมือไหวได้ยังไง

“นายอยากจะหาเรื่องหลี่ฮุย นายก็ทำตามสบายได้เลย มันเกี่ยวกับอะไรภรรยาของผมไม่ทราบ?”หลินอิ่งยืนออดมาทันที แล้วมาขวางหน้าของจางฉีโม่ไว้

“หื้อ? ”งูดำเหลือบมองหลินอิ่ง ด้วยสีหน้าที่ติดเล่น “ที่แท้นายก็คือหลินอิ่ง ลูกเขยชื่อดังย่านเมืองชิงหยูนที่ไม่เอาไหนนี่เอง ขอโทษด้วยนะครับ ไม่คิดว่าจะมีคนกล้ามาเถียงฉันอีก แต่ก็กล้าหาญกว่าไอคนกระจอกคนนี้”

“แต่นายอย่าลืมนะ ว่าที่นี่กูเป็นใหญ่ ” งูดำดีดนิ้วไป1ที “พาคุณหนูจางขึ้นไปที่ห้องชั้นบน ฉันจะดื่มกับเธอสักหน่อย”

งูดำเลียๆตรงริมฝีปาก คนสวยระดับจางฉีโม่ หุ่นก็ดี หน้าตาก็สวย นี่มันของอร่อยที่ส่งมาถึงที่เลยนี่นา

พูดจบ ลูกน้องของงูดำก็เริ่มจะลงมือแล้ว

“นายอยากตายรึไง!”

ปั้ง

ก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตัวของหลินอิ่งพุ่งเข้าไปหาเขาแล้ว เข่าของเขากระแทกเข้าท้องของงูดำอย่างแรง เขายกมือล็อคคอของงูดำไว้ บีบจนหน้าของเขาเขียนไปหมด แทบจะหายใจไม่ออกเลยทีเดียว

“แฮะๆ ” งูดำไม่อยากจะเชื่อ ไม่คิดว่าหลินอิ่งจะลงมือกับเขาก่อน

“คุกเข่าลง!”

ในสายตาของหลินอิ่งมีแต่ความเย็นชา ฝาดขาดไปที่เข่าของงูดำอย่างแรง

ตุ้ม!

งูดำรับแรงสะท้านไม่ไหว คุกเข่าลงไปทันที บนใบหน้ามีแต่ความโกรธ

“นายกล้าลงมือกับฉันงั้นเหรอ? นายรู้ไหมว่าใครอยู่เบื้องหลังฉัน? ทั้งตระกูลจางก็ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องเขาหรอกนะ!” งูดำมองจ้องไปที่หลินอิ่งด้วยสายตาที่เยือกเย็น พูดด้วยความโกรธแค้น “นี่ฉันดูแลกิจการทั้งหมดในระแวกนี้ให้กับท่านเสิ่นซานของเมืองหนานเฉิงนะเนี่ย ”

#### บทที่18 ท่านหลิน

บทที่ 18 ท่านหลิน

“ อะไรนะ? หลินอิ่งกล้าลงมือกับงูดำ เขาบ้าไปแล้วรึเปล่า?”

“จบแล้ว เราจะโดนกันหมดเพราะไอคนไม่เอาถ่านนี่แหละ ชื่องูดำนี่ฟังดูก็โหดเหี้ยมแล้ว คราวนี้เราเจอปัญหาใหญ่แล้ว”

คนที่อยู่ในห้องต่างก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา

ขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกตื่นตระหนกด้วยเล็กน้อย กลัวว่างูดำจะพาลเรื่องนี้ใส่พวกเขา

หลินอิ่งมองหน้างูดำอย่าไม่แสดงสีหน้าใดๆ ถามต่อว่า “นายเป็นลูกน้องของเสิ่นซานเหรอ?”

“ใช่ ฉันเป็นคนของท่านเสิ่นซานของเมืองหนานเฉิง! คนที่อยู่ในแวดวงเมืองชิงหยูนต้องเคยได้ยินชื่อของท่านเสิ่นซานกันทั้งนั้น” งูดำพูดด้วยสีหน้าที่โกรธแค้น แล้วพูดขู่ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ถ้าตอนนี้นายคุกเข่าขอโทษกู ฉันก็อาจจะปล่อยนายไปได้ ไม่อย่างงั้นก็รอมาเก็บศพนายได้เลย!”

เพี๊ยะ!

หลินอิ่งตบไปที่หน้าของงูดำ ตบจนเขารู้สึกร้อนไปทั้งหน้า แถมยังมีเลือดซิบออกมาที่มุมปาก

“นาย! นายอยากตายเหรอ?” สีหน้าของงูดำเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาไม่คาดคิดว่า หลังจากที่พูดชื่อของท่านเสิ่นซานออกมา หลินอิ่งยังกล้าที่จะตบหน้าเขาอีก

“แม่งเอ้ย ไอคนไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ! ปล่อยพี่งูเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างงั้นวันนี้ก็อย่าคิดที่จะเดินออกจากจื่อจินKTVไป!”

ลูกพี่ลูกน้องและลูกน้องของงูดำเริ่มตะโกนขึ้นมา แล้วหยิบแท่งเหล็กชี้ไปที่หลินอิ่ง เกือบจะพุ่งเข้ามาปะทะกับหลินอิ่งอยู่แล้ว

“พวกนายลองขยับดูสิ ”หลินอิ่งพูดอย่าเย็นชา แล้วล็อคคอของงูดำไว้ด้วยมือแค่ข้างเดียว

“อย่า…….พวกนายอย่าขยับ…”

หน้าของงูดำแดงและบวมไปหมด แทบจะโดนหลินอิ่งบีบจนหายใจไม่ออกแล้ว เขาสั่นไปทั้งตัว ตอนนี้สีหน้าของเขาเหมือนพร้อมจะตายในทันที

ไม่รู้ว่าหลินอิ่งเอาแรงมาจากไหนเยอะแยะ แค่มือข้างเดียวก็กดเขาไว้ได้แน่นๆ

เขาอยู่ในวงการนี้มาตั้งหลายปี ถือว่าเป็นมือโหดด้านการต่อสู้ แต่พอมาเจอหลินอิ่งแล้ว เขากลับสู้อะไรไม่ได้เลย

“หลินอิ่ง นายรู้ไหมว่านายกำลังทำอะไร? นายคิดว่านายเก่งมากเหรอ? ตอนนี้ฉันโทรหาท่านเสิ่นซานแล้ว พอท่านสามมาถึง ฉันจะบอกให้ แม้กระทั่งจางหงซวนหัวหน้าของตระกูลจางมาก็ช่วยนายไม่ได้อยู่ดี!” ลูกพี่ลูกน้องของงูดำพูดขู่เขา “พวกนายทุกคน หนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”

“หะ! พวกเขาเรียกท่านเสิ่นซานมาแล้วเหรอ? แล้วจะให้พวกเราทุกคนอยู่รอที่นี่เหรอ?”

“หลินอิ่ง นายอยากตายเอง แต่อย่าเอาพวกเราไปเกี่ยวด้วยสิ!”

พอได้ยินชื่อเสียงของท่านเสิ่นซาน เพื่อนของจางฉีโม่ที่อยู่ในห้องต่างก็แสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมา พวกเขารู้สึกเกร็งกลัวเป็นอย่างมาก ต่างก็เริ่มโทษหลินอิ่ง รู้สึกว่าหลินอิ่งทำให้พวกเขาซวยไปด้วย

ท่านเสิ่นซานของเมืองหนานเฉิง มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เป็นคนที่มีอำนาจล้นฟ้า มีคำล่ำลืออยู่ประโยคหนึ่งมนเมืองชิงหยูน ในเขตเมืองหนานเฉิง ไม่มีเรื่องที่ท่านเสิ่นซานจัดการไม่ได้ คนใหญ่คนโตระดับนี้ พวกเขาจะกล้ามีเรื่องด้วยได้ยังไง!

หลินอิ่งส่ายหัว ถามพร้อมหัวเราะว่า “เสิ่นซานเก่งมากเลยเหรอ?”

“ขนาดท่านเสิ่นซานนายยังไม่รู้จักเลยเหรอ? ยังจะกล้าหาเรื่องคนไปทั่วอีก ช่างโง่จริงๆ”

“จริงด้วยที่ หลินอิ่งนายแยกไม่ออกแม้กระทั่งใครเป็นใคร ก็กล้าลงไม้ลงมือกับลูกน้องของท่านเสิ่นซาน ตอนนี้นายจบแล้ว!”

ทันทีที่หลินอิ่งพูดประโยคนี้ออกมา เพื่อนในห้องต่างก็แสดงสีหน้าตกใจและสงสัยออกมา สีหน้าเยาะเย้ย ตอนแรกคิดว่าหลินอิ่งเก่งสะอีกที่กล้าลงมือกับงูดำ ที่แท้ก็เป็นแค่เป็นคนโง่ที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเท่านั้นเอง

“หึ ไม่กลัวตายจริงๆ หลินอิ่ง นายอาศัยที่ตัวเองต่อสู้เก่ง แล้วกล้ามาลงมือกับพี่งู นายรู้ไหมว่าในเมืองหนานเฉิง ท่านเสิ่นซานเป็นคนอะไร” หลี่ฮุยพูดอย่างเย็นชา ช่วยพูดหาเรื่องขึ้นมานี่เร็วกว่าลูกพี่ลูกน้องของงูดำอีก

คนพวกนี้ต่างก็กลัวท่านเสิ่นซานมาหาเรื่อง พอท่านเสิ่นซานมาถึง คืนนี้คงอดไม่ได้ที่จะมีเลือดสาดกันบ้าง ต่างคนต่างก็พยายามเอาตัวเองออกจากตรงนี้ไปให้ได้

“นายนี่มันต่ำตมสิ้นดี”

เพี๊ยะ!

หลินอิ่งตบไปที่ใบหน้าของหลี่ฮุย ตบจนตัวเขาหมุนอยู่กับที่ไปสองรอบ จนกลิ้งออกไปอยู่นอกห้อง

“หลินอิ่ง พอได้แล้วมั้ง เรารีบไปกันเถอะ ” สีหน้าของจางฉีโม่กังวลเล็กน้อย

เท่าที่เธอดูมา การกระทำนี้ของหลินอิ่งมันก็ใจร้อนเกินไป นี่มันเป็นการกระทำของผู้ชายที่มีแต่กำลังไม่มีสมองชัดๆ ไม่สนว่าตัวเองจะเก็บงานทีหลังได้ไหม มาก็ลงไม้ลงมือจนงูดำคุกเข่าลง จนทำให้กลายเป็นศัตรูกันในที่สุด เรื่องนี้กลายมาเป็นแบบนี้จนได้ เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรรับมือกับมันยังไงดี

แต่ว่า เธอเองก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อยเพราะถึงไงยังแล้วหลินอิ่งทำแบบนี้เพราะเธอ

“พวกนายยังจะอยากไปหรอ? ฉันจะบอกให้นะ วันนี้ไม่ว่าใคร อย่าคิดจะหนีเด็ดขาด “ลูกพี่ลูกน้องของงูดำที่สักลายดอกไม้เต็มแขนพูดอย่างมั่นใจ

ปั้ง!

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไร แล้วแตะไปที่ชายลายสัก แตะจนเขากระเด็นไปอยู่นอกห้อง

หลังจากนั้น  เขากันไปมองจางฉีโม่ สีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อมยิ้มพร้อมพูดว่า “ฉีโม่ ไม่เป็นไรหรอก เป็นแค่ปัญหาเล็กๆเท่านั้นเอง เธอรอฉันสักสองสามนาที ฉันไปจัดการเรื่องนี้หน่อย”พูดจบ หลินอิ่งก็ลากงูดำออกไปจากห้อง อย่างกับถือลูกไก่ไว้ในมือ

“หลินอิ่ง…..”จางฉีโม่มองดูแผ่นหลังของหลินอิ่งที่เดินจากไป กำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็หยุดไว้

บนทางเดินนอกห้องที่ประดับมาอย่างหรู่หรา

งูดำและหลี่ฮุยคุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างเชื่อฟัง สีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่อยากยืนก็ยืนขึ้นไม่ได้ เส้นประสาทที่เข่าของพวกเขาโดนหลินอิ่งเตะจนชาไปหมด ไม่มีเรี่ยวเอง

หลินอิ่งยืนเอามือไขว้หลังไว้ ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา

ลูกน้องของงูดำที่อยู่ไกลๆไม่กล้าเข้ามาใกล้ ทำได้แค่มองดูพวกเขาอย่างดุร้าย

พวกเขากำลังรอ รอท่านเสิ่นซานพาลูกน้องมาด้วยตัวเอง อย่าพูดเลยว่าหลินอิ่งเก่งแค่ไหน ถึงแม้ว่าหลินอิ่งจะเป็นมังกร ก็ยังต้องนอนนิ่งๆเฉยๆเลย!

พวกเขาอยู่กันแบบนั้นมาประมาณ3นาที

มีชายร่างแกร่งในชุดสูทสิบกว่าคนเดินเข้ามา และในบรรดาบอดิการ์ดนี้ มีผู้ชายวัยกลางคนที่ดูผอม สวมใส่เสื้อสมัยราชวงศ์ถัง ในมือถือกำไลลูกประคำ ดูเด่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านสาม! ท่านมาสักที ท่านต้องเอาคืนให้ผมนะครับ !” งูดำเห็นคนช่วยชีวิตมาแล้ว ก็รีบตะโกนขึ้นมา

แต่ท่านเสิ่นซานดูเหมือนจะเมินงูดำไป แล้วมองไปที่แผ่นหลังของผู้ชายที่ยืนเอามือไขว้หลังไว้ ม่านตาหดขึ้นมาทันที และสีหน้าดูสงสัยเล็กน้อย

“ทะ……ท่านหลิน?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท