ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 44น้ารองตระกูลจาง

บทที่ 44น้ารองตระกูลจาง

บทที่ 44 น้ารองตระกูลจาง

“นี่หรือว่าลูกรู้สึกซาบซึ้งในตัวเขาแล้ว?”พูดขึ้นอย่างไม่แยแส “เขามาเกาะพวกเรากินอยู่ตั้งสองปี ซื้อบ้านให้พวกเราสักหลังมันก็สมควรแล้ว!ลูกไม่ต้องรู้สึกติดหนี้บุญคุณเขาหรอก”

“ไอ้เด็กคนนี้มันช่างคิดจริงๆ รู้ตัวว่าเงินพวกนี้เป็นเงินที่ต้องพึ่งพาลูก ก็เลยเอาของของคนอื่นมาให้เป็นการตอบแทนน้ำใจ ลูกอย่าคิดนะว่าหลินอิ่งใจดีซื้อบ้านให้พวกเราน่ะ”

ลู่หย่าฮุ่ยมองจางฉีโม่พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง“เขาก็แค่ปูทางให้ตัวเองเท่านั้น กลัวว่าตอนที่หาเงินจากบริษัทพอมีปัญหาขึ้นมา ก็จะได้ให้ลูกออกหน้าปกป้องเขายังไงล่ะ”

จางซิ่วเฟิงพูดอย่างคิดวิเคราะห์“หลินอิ่งเด็กคนนี้อยู่เป็นจริงๆ เป็นผู้ช่วยได้ไม่นานก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาได้ขนาดนี้ ถือว่ามีพรสวรรค์คนหนึ่งเลย”

“พรสวรรค์อะไรกัน? ถ้าไม่ได้อยู่กับฉีโม่ของพวกเรา เขาก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ต้องกลับไปขายของปิ้งของย่างข้างถนนตามเดิม”ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างเย้ยหยัน

“ลูก อย่ามัวแต่อุดอู้อยู่กับการออกแบบสินค้า ต้องรู้จักไปพัฒนาความสัมพันธ์กับบุคลากรด้วย”ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างมีหลักเกณฑ์“ลูกดูสิ ขนาดผู้ช่วยของลูกเองก็หาเงินไปด้วย ผูกมิตรไปด้วยเลย ลูกเป็นถึงผู้อำนวยการก็ต้องรู้จักออกหน้าออกตัวบ้าง ไม่เป็นไร ยังไงก็อย่าลืมว่าต้องเด็ดขาดกับหลินอิ่งบ้าง ยับยั้งควบคุมเขาบ้าง อย่างน้อยต้องให้เขาซื่อสัตย์เวลาอยู่ต่อหน้าเรา”

จางฉีโม่รู้สึกหมดคำพูด นี่พูดไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วเนี่ย?

พ่อแม่คงจะยังไม่เข้าใจดีพอ แต่ในใจของเธอรู้ดีว่า หลินอิ่งมีเงินเก็บอยู่ไม่น้อยเลย

“เอาล่ะ ย้ายบ้านใหม่ครั้งนี้เสร็จ จัดข้าวของในบ้านให้เข้าที่เข้าทางแล้ว พวกเราต้องจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่กัน เชิญสหายญาติมิตรมาดื่มฉลองกันสักหน่อย!”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยความปลื้มปริ่มดีใจ

“ไม่เลว นานแล้วที่ตระกูลของพวกเราไม่ได้จัดงานมงคล”จางซิ่วเฟิงพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้น

……

สองสามวันที่ผ่านนี้ สองสามีภรรยาของตระกูลฉีโม่ยุ่งอยู่กับเรื่องการจัดงานขึ้นบ้านใหม่ แถมเชิญสหายญาติมิตรมาด้วย จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นที่ร้านอาหารสุ่ยหยวนในละแวกนั้น

ในวันงานเลี้ยงฉลอง หลินอิ่งอยู่ในงานไม่นาน ดื่มไปแค่สองสามแก้วก็กลับแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นญาติทางฝั่งนั้นของลู่หย่าฮุ่ย หรือว่าเพื่อนสนิทของจางซิ่วเฟิงทางฝั่งนี้ เขาก็ไม่รู้จักสักคน

แถมทั้งสองสามีภรรยานี้ ก็ไม่ได้จะเต็มใจให้ตัวเองเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้สักเท่าไร

หลินอิ่งก็เลยกลับมานั่งสมาธิพัฒนาจิตอยู่ที่บ้านให้รู้แล้วรู้รอดไปดีกว่า

เสิ่นซานโทรศัพท์เข้ามา

“ท่านหลิน งานที่ท่านมอบหมายให้ก่อนหน้านี้ วันนี้ซูนเหิงติดต่อผมมาแล้วครับ”ในสาย พูดขึ้นอย่างเคารพนบนอบ

หลินอิ่งถามขึ้น“ซูนเหิงบอกว่ายังไง?”

“ซูนเหิงถามว่าทำไมผมถึงไม่ส่งคนไปจัดการกับท่านท่านหลิน ผมบอกเขาว่าไม่มีเวลามาทำเรื่องอะไรพวกนี้ เลยตอบปฏิเสธไป” เสิ่นซานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เขาบอกว่าจะเพิ่มเงินให้ผม แถมยังอยากจะให้มาเจรจากันซึ่งๆหน้าด้วย”เสิ่นซานค่อยๆพูดขึ้น “ท่านหลิน จะให้ผมนัดเขาออกมา แล้วสั่งสอนเขาสักหน่อยไหม?”

“ไม่ต้อง”หลินอิ่งพูดขึ้นนิ่งๆ“แบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรซูนเหิงเป็นคนของตระกูลซูน ถ้าเกิดฉันจะจัดการกับเขา ก็จะไปจัดการที่ต้นตอของเขาเลยดีกว่า”

“ท่านหลินท่านหมายความว่าอะไร? ท่านจะทำการกำราบตระกูลซูน?”เสิ่นซานถามขึ้นอย่างระมัดระวัง ในใจยังไม่อยากจะเชื่อ

จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ชัดว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของหลินอิ่งมีอำนาจอิทธิพลอะไร

แต่เขารู้จักตระกูลซูนของเมืองชิงหยูนตระกูลยักษ์ใหญ่และเก่าแก่นี้ดี!

ท่านเสิ่นซานแห่งเมืองหนานเฉิง ผู้นั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุดของเมืองหนานเฉิง แบบเขา จะต้องจัดการกับตระกูลรองแบบตระกูลจางถึงขนาดที่เหยียบให้จมดินก็ยังได้

แต่ถ้าจะต่อกรกับตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองชิงหยูนอย่างตระกูลซูน ลำพังตัวเสิ่นซานคนเดียวคงจะแพ้ราบคาบแบบไม่ต้องสงสัยแน่ๆ

สามตระกูลใหญ่แถมหน้าของเมืองชิงหยูน ตระกูลซูน ตระกูลโจ ตระกูลหวาง มีความสัมพันธ์กันไปทุกหนทุกแห่งของเมืองชิงหยูน มีอิทธิพลอย่างมาก มีอำนาจทางการเงินมากมาย แถมคนของตระกูลที่ออกมาอยู่ตามสายงานต่างๆก็ล้วนแต่อยู่ระดับสูงและโดดเด่นกันทั้งนั้น ครอบครองทรัพยากรและพลังงานแหล่งใหญ่ๆ

ถ้าเกิดหลินอิ่งสามารถสยบตระกูลซูนได้จริงๆล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นตนเองก็จะได้เกาะแข้งเกาะขาเขาพลอยได้ผลประโยชน์ไปด้วยน่ะสิ!

“นายรอแผนการของฉันก่อนแล้วกัน”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“รับทราบท่านหลิน!”เสิ่นซานพูดตอบรับด้วยความเคารพ

หลังจากวางสาย หลินอิ่งนวดๆตรงขมับ

เหอะ ซูนเหิงยังคงไม่ตายใจ ยังจะให้คนมาเล่นงานตนเองอีก?

ครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนที่หลินอิ่งจะโทรศัพท์ไปหาอูหยาง ให้อูหยางจัดเตรียมเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลซูนของเมืองชิงหยูนอย่างละเอียด แล้วส่งกลับมาให้ตนเอง

ติ๊งต่อง

หลินอิ่งเพิ่งจะวางสายลง ตรงประตูก็มีเสียงดังขึ้น จางฉีโม่และสามีภรรยาจางซิ่วเฟิงกลับมาถึงบ้านแล้วเช่นกัน

จางซิ่วเฟิงหน้าแดงเล็กน้อย ดูท่าทางดีอกดีใจ เห็นได้ชัดว่าในงานเลี้ยงคงจะดื่มไปไม่น้อย

“ฮ่าๆ วันนี้ฉันรู้สึกปิติยินดีเหลือเกิน!เจ้าใหญ่ เจ้าสามไม่ได้มา แต่ทั้งตระกูลของพี่รองและพี่สี่ต่างก็มาแสดงความยินดีด้วยตัวเอง นี่มันก็เป็นเพราะว่าฉีโม่มีความก้าวหน้าและพัฒนาขึ้นแล้วยังไงล่ะ!”จางซิ่วเฟิงพูดอย่างยิ้มแย้ม

“ก็ใช่น่ะสิ คนที่คลุกคลีอยู่ในวงการจิวเวลรี่ ตอนนี้มีใครไม่รู้จักฉีโม่ของตระกูลพวกเราอีกอย่างนั้นเหรอ?”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นอย่างทะนงตัว

ขณะที่พูดอยู่ จางซิ่วเฟิงก็เดินโซซัดโซเซ กลับไปนอนพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง

“ฉีโม่เรื่องที่น้ารองของลูกบอกกับลูกในวันนี้ ลูกต้องเตรียมตัวให้ดีๆด้วยล่ะ”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“น้ารองถูกชะตากับลูกมาก เชื่อฟังเธอเถอะ จะได้ดีแน่นอน”

“เข้าใจแล้วค่ะ”จางฉีโม่สีหน้าช่วยไม่ได้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับถามขึ้น“ฉีโม่ น้ารองของคุณบอกคุณเรื่องอะไรเหรอ?”

เขาก็รู้ว่าน้ารองของฉีโม่ มีชื่อว่าจางหงอี้ เป็นคนที่เก่งคนหนึ่งเลย เป็นคนรุ่นเก่าแก่ของตระกูลจางที่ใช้ชีวิตไม่พร่องเลย แต่เพียงแค่ออกไปสร้างเนื้อสร้างตัวเร็วมาก ไม่ได้คลุกคลีอยู่ในบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ก็เลยเจอหน้ากันน้อยครั้ง

สมัยที่คุณท่านจางยังไม่เสียชีวิต จางหงอี้ก็ออกไปจากบริษัทเครื่องประดับจางซื่อก่อนแล้ว ตนเองไปทุ่มเทให้กับกิจการโบราณวัตถุที่ตนรัก หลังจากต่อสู้ดิ้นรนอยู่หลายปี ตอนนี้ในวงการโบราณวัตถุแห่งเมืองชิงหยูนถือว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากเลยทีเดียว

อำนาจทางการเงินเมื่อเทียบกับเจ้าใหญ่ของตระกูลจาง จางหงจูน และเจ้าสาม จางหงซวน แล้วก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย

“หลินอิ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับแกก็ถามให้มันน้อยๆหน่อย”ลู่หย่าฮุ่ยเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้น เหมือนว่าไม่อยากให้หลินอิ่งรู้

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับมองฉีโม่

จางฉีโม่ก็มองหลินอิ่ง อย่างครุ่นคิดก่อนจะถามขึ้น“หลินอิ่งคุณรู้เรื่องการสะสมโบราณวัตถุไหม?”

เขาจำได้ตอนที่คัดเลือกKing of the worldเมื่อครั้งก่อน หลินอิ่งพูดเกี่ยวกับการออกแบบอัญมณีจิวเวลรี่ได้อย่างมีเหตุมีผล มาตรฐานสูงมาก

“เป็นนิดหน่อย”หลินอิ่งพูดขึ้น

ท่านอาจารย์ที่เคยอยู่ด้วยกัน มีสะสมโบราณวัตถุอยู่จำนวนหนึ่ง เลยทำให้พอเข้าใจทั้งหมดอยู่บ้าง

จางฉีโม่ครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“ถ้าอย่างนั้นหลินอิ่งคุณไปร่วมงานสัมมนาของวงการโบราณวัตถุที่จัดขึ้นในอีกสองวันกับฉันสิ”

“หลินอิ่งรู้เรื่องพวกโบราณวัตถุแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ ลูกยังจะพาเขาไปอีก?”ลู่หย่าฮุ่ยสีหน้าสงสัย พร้อมกับพูดโน้มน้าวขึ้น“นี่ลูกกำลังจงใจทำให้น้าเขยต้องขุ่นเคืองใจอยู่นะ น้ารองของลูกยื่นโอกาสที่ดีขนาดนี้มาให้ อย่าพาหลินอิ่งไปทำให้ยุ่งเหยิงจะดีกว่า”

“ก็รู้ๆอยู่ว่า ตระกูลจางของพวกเรา พ่อของลูกมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับน้ารองของลูก อย่าไปทำให้ความสัมพันธ์นี้มันขาดสิ”

“โอกาสอะไรล่ะคะ เห้อ ไม่ใช่ว่าน้ารองอยากจะแนะนำเหล่าคุณชายอะไรนั่นให้รู้จักหรอกเหรอ น่ารำคาญจริงๆ”จางฉีโม่พูดขึ้นอย่างหมดความอดทน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท