ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 34 เข้ามาขอโทษ

บทที่ 34 เข้ามาขอโทษ

บทที่ 34 เข้ามาขอโทษ

“ท่านควนเขตตะวันออก?” จางหงซวนหรี่ตาแล้วพูด “แกมีความสามารถระดับไหน กล้าไปเจรจาธุรกิจกับคนอย่างเซควน? สมองโง่ๆอย่างแก จะตามทันคนอย่างเซควนเหรอ? เขาเอาแกไปขาย แกยังนั่งช่วยเขานับตังค์อยู่เลย!

“พ่อครับ! ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้วนี่ครับ วันนี้พ่อไม่ได้ดูข่าวเหรอครับ? เครื่องประดับอัญมณีนั้น จางฉีโม่ได้คืนไปแล้ว และได้ประมูลไปแล้วด้วย เป็นไปได้เหรอที่เธอยังคงจะเอะอะเรื่องนี้ขึ้นมาอีก?” จางเถียนไห่พูดอย่างไม่พอใจ “อีกอย่าง ฐานะจนๆอย่างบ้านเขา จะมาต่อสู้กับครอบครัวของเรา ไม่ใช่มารนหาที่ตายเหรอครับ?”

เพี้ยะ!

จางหงซวนสะบัดมือตบเข้าที่หน้า ด้วยความโกรธ

“ไอ้โง่! คิดไม่ถึงว่าแกจะพูดคำพูดโง่ๆออกมาได้! อนาคตถ้าฉันไม่อยู่บ้านหลังนี้แล้ว ไม่ช้าก็เร็วทรัพย์สินของครอบครัวจะหมดไปเพราะความสุรุ่ยสุร่ายของแก!” จางหงซวนพูดด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้

“แกรู้อะไร? แกยุยงให้คนขโมยเพชรพลอยมูลค่าหลายสิบล้าน และแกยังทำการทุจริตภายในบริษัทอีก แกรู้ไหมว่านี่คือคุณสมบัติของอะไร?” จางหงซวนพูดอย่างโกรธ ๆ “แม้ว่าของจะได้คืนกลับไปแล้ว แต่หลักฐานบันทึกเสียงยังอยู่ที่นี่ใช่มั้ย?”

“แกรู้รึเปล่าว่าตอนนี้บริษัทเครื่องประดับจางซื่อใครเป็นเจ้าของ? ไม่ใช่พ่อของแก และไม่ใช่ลุงแก!” จางหงซวนพูดด้วยสีหน้าเขียวซีด “คืออูหยางจากนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่!”

“ตอนนี้ครอบครัวของเรากำลังลำบาก และอุตสาหกรรมต่างๆก็เลิกกิจการไปหมดแล้ว เพราะใครล่ะ? แกน่าจะรู้ดีนะ? ”

“สั่งให้บุคคลภายนอกขโมยเครื่องประดับของแบรนด์หลักในครั้งนี้เป็นการขุดรากเหง้าของบริษัท! ถ้าเครื่องบันทึกเสียงนี้ไปอยู่ในมือของอูหยาง แกรู้ผลที่จะตามมาคืออะไรไหม?”

“อูหยางจะคิดว่าฉันเป็นคนทำ ฉันต้องการมีปัญหากับเขา! มาทำจุดอ่อนของเขา ถ้าครอบครัวเราถูกนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่เล่นงาน มันคงต้องถึงจุดจบของจริงๆแล้วล่ะ!”

หน้าผากของจางหงซวนมีเส้นเลือดสีเขียวปูดออกมาเล็กน้อย เขานั่งลงบนโซฟาด้วยความโกรธ และหายใจเข้าออกอย่างฟึดฟัด

“ช่างมันเถอะค่ะ หงซวน อย่าว่าลูกอีกเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนี่ค่ะ ก็แค่ผู้หญิงนั้นจางฉีโม่เอง พ่อของเธอก็ถูกไล่ออกจากตำแหน่งคณะกรรมการในตอนนั้นก็เพราะพวกเรานี่ เราต้องกลัวเธอด้วยเหรอ?” โจเฟิ่งฉินภรรยาของจางหงซวนพูดโน้มน้าวเธอแสดงออกอย่างไม่สนใจ

ใบหน้าของจางหงซวนเป็นสีเขียวและพูดอย่างโกรธ ๆ ว่า “ความคิดเห็นของผู้หญิง! คุณคิดว่าครอบครัวของเจ้าห้ายังคงเหมือนเมื่อก่อนเหรอ? ไม่ว่าครอบครัวของเราจะทำอะไรก็ได้เหรอครับ? คุณไม่เห็นข่าววันนี้ไง? อุตสาหกรรมเครื่องประดับในเมืองชิงหยูนทั้งหมดรายงานเกี่ยวกับการออกแบบของจางฉีโม่ผลงานที่ขายได้ราคาสูงเสียดฟ้าถึง 100 ล้าน! ”

“ตอนนี้ลูกสาวของเจ้าห้าเป็นคนดังของบริษัท คณะกรรมการของบริษัทได้ตั้งให้เธอเป็นแหล่งที่มาของเงินไปแล้ว!” จางหงซวนพูดช้าๆ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดของครอบครัวเราที่มีต่อนิ่งซื่อกรุ๊ปกำลังประสบปัญหา และไม่สามารถจะเคลื่อนไหวโดยพละการ ”

“ ที่สำคัญ ครอบครัวของเจ้าห้าได้รู้จุดอ่อนนี้ ครั้งนี้เราคงต้องก้มหัวให้เขาแล้ว”

“นี่!” จางเถียนไห่ฟังสิ่งที่จางหงซวนพูดออกมาเป็นชุด เขาค่อยๆเข้าใจประเด็นสำคัญของเรื่อง

“พ่อครับ? ถ้างั้นตอนนี้เราจะทำยังไงดีครับ? จางฉีโม่ส่งเครื่องอัดเสียงมาที่บ้านอย่างโจ่งแจ้งแล้ว” จางเถียนไห่ถาม “เธอไม่เอาเครื่องอัดเสียงให้กับคณะกรรมการ แต่กลับเอามาให้เรา นี่เธอกำลังขู่พวกเรานะ!”

“ในที่สุดแกก็พูดคำพูดที่ฉลาดออกมาแล้ว! เธอกำลังขู่ครอบครัวของเรา !” จางหงซวนพูดเสียงเข้มขรึม “ถึงแม้ว่าช่วงนี้ครอบครัวของเรากำลังเจอวิกฤต แต่ไม่ใช่สิ่งที่จางฉีโม่ และครอบครัวของเขาจะโต้แย้งได้”

“ดังนั้น ครอบครัวของเจ้าห้าไม่ได้วางแผนที่จะเปิดโปง เพื่อทำให้เรื่องแย่ลง” จางหงซวนพูดอย่าใจเย็น “ครอบครัวของพวกเขาต้องการแก้แค้น คนที่ส่งเสียงบันทึกมาได้พูดไว้แล้ว ให้ฉันพาแกไปด้วยตัวเอง ไปที่บ้านของเจ้าห้าเพื่อขอโทษ”

“อะไรนะ! ไปขอโทษที่บ้านพวกเขา!” จางเถียนไห่ประหลาดใจและโกรธมาก “ทำไม? ครอบครัวของพวกเขาถือว่าอยู่ในฐานะอะไร ให้พ่อและผมไปที่บ้านเพื่อขอโทษ? ครอบครัวของพวกเขามีเกียรตินี้เหรอด้วยครับ?”

“วันนี้แตกต่างจากอดีตที่ผ่านมาแล้ว …” จางหงซวนถอนหายใจ “จุดอ่อนตกอยู่ในกำมือมือของครอบครัวเจ้าห้าถ้าไม่ไปเพื่อขอโทษ หรือจะให้ฉันดูแกถูกจับเข้าคุก? ดูครอบครัวของเราถูกไล่ออกจากจางซื่อกรุ๊ปล่ะ?”

“ไปเถอะ พกเงินสดไปหนึ่งล้าน และของฝากที่มีค่าอีกหลายๆชิ้น” จางหงซวนพูดอย่างหมดหนทาง

“ไม่! พ่อครับ ผมไม่ไป! ผมจะไม่ไปขอโทษครอบครัวของจางฉีโม่!” จางเถียนไห่โวยวาย ยังไงก็จะไม่ยอมไป

“หงซวน คุณถูกอูหยางทำให้ไม่กล้าใช่ไหม? “โจเฟิ่งฉินกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ” ฉันไม่เชื่อเลยว่าครอบครัวของจางฉีโม่จะสามารถเหยียบย่ำบ้านของเราให้ตายได้ด้วยเสียงบันทึกนี้! ” ยังไงฉันก็จะไม่ไป! ”

“คุณก็อย่าคิดที่จะให้ลูกไป ถ้าไปขอโทษถึงที่บ้านแล้ว ครอบครัวของเราในองค์กรตระกูลใหญ่ในเมืองชิงหยูน

จะอยู่ต่อไปยังไง?” โจเฟิ่งฉินถาม “ฉันแต่งงานกับคุณมาจากบ้านของตระกูลโจ ไม่ใช่มาทนรับความน่าสมเพชแบบนี้กับคุณนะ”

ภรรยาของจางหงซวน โจเฟิ่งฉินเกิดในชนชั้นสูงของเมืองชิงหยูนเป็นลูกสาวของผู้อาวุโสในตระกูลโจสามตระกูลที่มีตำแหน่งสูงสุดในเมืองชิงหยูน

มีสามตระกูลยืนหนึ่งใน เมืองชิงหยูน คือตระกูลโจ ตระกูลซูน และตระกูลหวาง ทั้งสามตระกูลนี้คือผู้ดีเก่าแก่ในเมืองชิงหยูนและมีความแข็งแกร่งที่ไม่มีใครเทียบได้ ห่างไกลจากการเทียบเคียงกับตระกูลจาง

จางหงซวนกล่าวอย่างเคร่งเครียด ” เฟิ่งฉินคุณไม่คิดดูล่ะครับ เรื่องนี้มันง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ? เพียงแค่อาศัยครอบครัวของจางฉีโม่จะมีความสามารถขนาดนี้เหรอ? ผมสงสัยว่าที่เถียนไห่ร่วมมือกับเซควนนั้น คือแผนที่ถูกวางไว้แล้ว เมื่อติดกับดัก จึงถูกเอามาเป็นจุดอ่อน ”

“ถ้าไม่ใช่กับดัก เซควนแห่งเขตตะวันออกเป็นคนยังไง? สิ่งที่เข้าปากของเขาแล้วเขายังจะคายออกมาเหรอ?” จางหงซวนคาดเดาอย่างใจเย็น “ใช้สมองคิดกันหน่อย! มีความสามารถมากขนาดนี้ และยังยินดีช่วยครอบครัวของจางฉีโม่ จะมีใครอีกล่ะ?

“คุณหมายถึง? อาจจะเป็นอูหยาง?” โจเฟิ่งฉินขมวดคิ้ว “มีเหตุผล สิ่งที่เถียนไห่ทำลงไปนั่นเป็นถึงทรัพย์สินของบริษัท เป็นไปไม่ได้ที่อูหยางจะไม่สนใจเรื่องนี้…..”

“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเถียนไห่จะถูกหลอกโดยใครบางคน หรือคำสารภาพจากเซควนของ เขตตะวันออกหรือจะเป็นใครที่ช่วยครอบครัวของเจ้าห้าอยู่เบื้องหลัง ในเรื่องนี้ ผู้ที่ต่อต้านครอบครัวของเราอยู่เบื้องหลัง มีอำนาจมาก ! ยังไงซะ สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานในตอนนี้ ไปขอโทษถึงที่ก็ถูกแล้ว อดทนกับความแค้นนี้ไว้!” ” จางหงซวนกล่าวอย่างหนักแน่น

เมื่อพูดจบ จางหงซวนดึงจางเถียนไห่เดินออกจากประตู เมื่อขึ้นรถก็โทรหาจางซิ่วเฟิง

……

ชุมชนเจียงฉือ บ้านของจางฉีโม่

หลินอิ่งนั่งสมาธิอยู่ในห้อง

จางฉีโม่และลู่หย่าฮุ่ยนั่งดูทีวีที่ห้องรับแขก

ความสุขที่หาได้ยากบนใบหน้าของลู่หย่าฮุ่ย เพราะรู้ว่าครั้งนี้ลูกสาวของเขาได้สร้างชื่อเสียงอย่างมากในวงการจิวเวลรี่ และได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของบริษัท

ขณะนั้น จางซิ่วเฟิงซื้อผักกลับมา เมื่อเปิดประตูก็รีบพูดว่า “ฉีโม่ นี่มันเรื่องอะไรกัน? เจ้าสามบอกว่าจะพาลูกชายมาบ้านของเราเพื่อขอโทษ บอกว่าจางเถียนไห่ทำผิดต่อลูก ขอให้ลูกอย่าถือสาเขา”

“อะไรนะ? เจ้าสามจะมาขอโทษเราถึงบ้าน นี่ไม่ใช่เป็นเหมือนพังพอนที่มามอบของขวัญปีใหม่ให้กับไก่เหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยรู้สึกสับสน ไม่อยากเชื่อ

จางฉีโม่ประหลาดใจ เธอคิดไม่ถึงว่า จะเป็นอย่างที่หลินอิ่งได้พูดไว้!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท