ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 36 คุกเข่าลง และขอโทษถึงจะได้

บทที่ 36 คุกเข่าลง และขอโทษถึงจะได้

บทที่ 36 คุกเข่าลง และขอโทษถึงจะได้

“จางเถียนไห่ คุณช่วยพูดเสียงดังขึ้นอีกหน่อยได้ไหม? ฉันได้ยินไม่ชัดเลยว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่” หลินอิ่งนั่งอยู่บนโซฟา และพูดขึ้นอย่างสงบ

“คุณ!” จางเถียนไห่จ้องมองหลินอิ่งอย่างดุร้าย ความโกรธเต็มท้องแต่ไม่สามารถระบายออกมาได้

จางหงซวนเองก็เหลือบมองไปที่หลินอิ่งด้วยสายตาที่เย็นชา และมืดมน หากเป็นเวลาปกติคงจะตะโกนด่าทอไปนานแล้ว เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ จึงทำได้แค่ทนเท่านั้น

“พูดเสียงดังหน่อย!” จางหงซวนกล่าวดุจางเถียนไห่

จางเถียนไห่ไม่เต็มใจ กำหมัดแน่นแล้วกัดฟันพูดขึ้น “ลุงห้า!ป้าห้า!ฉีโม่!ขอโทษครับ ครั้งนี้ผมผิดไปแล้ว! หวังว่าพวกคุณจะให้อภัยผม!”

ลู่หย่าฮุ่ยและจางซิ่วเฟิงหันไปมองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไร

เมื่อจางหงซวนเห็นว่าครอบครัวของจางซิ่วเฟิงไม่มีท่าทีที่จะให้รับผิดชอบ บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาและพูดขึ้น “น้องห้า น้องสะใภ้ ฉันบอกแล้วใช่ไหมหละ เถียนไห่เด็กคนนี้นะถูกคนข้างนอกหมายหัวเข้าแล้วหละ ถึงได้ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้ออกมาได้ เพราะต่อหน้าพวกคุณ ก็ดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยดี”

“นานมากแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้มาเที่ยวบ้านของนายน้องห้า มีของฝากเล็กๆน้อยๆมาด้วยสองชิ้น” จางหงซวนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม หยิบหยกขาวที่ถูกแกะสลักเป็นรูปสิงโตสองตัวออกมาจากกล่องของฝาก แล้ววางไว้บนโต๊ะ

สิงโตหยกขาวคู่นี้ ถูกแกะสลักอย่างประณีต เนื้อหยกคุณภาพดีมาก แค่ดูก็รู้ได้เลยว่าเป็นสินค้าที่มีราคาสูง

เดิมทีครอบครัวของจางซิ่วเฟิงก็เกิดในตระกูลหยกและอัญมณี แค่แวบเดียวก็มองออกแล้วว่า สิงโตหยกคู่นี้ มูลค่าอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 500,000

“พี่สาม นับเป็นเรื่องใหญ่แล้ว มาเที่ยวบ้านผม ทำไมต้องเอาของขวัญราคาแพงแบบนี้มาด้วย อันนี้ผมคงจะรับไว้ไม่ได้หรอก” จางซิ่วเฟิงพูดขึ้นอย่างเกรงใจ

“ไอ นี่มันน้ำใจเล็กๆน้อยๆเท่านั้น” จางหงซวนพูดขึ้น “ครั้งนี้เถียนไห่เด็กคนนี้ทำเรื่องที่ผิด เกือบจะส่งผลกระทบต่องานใหญ่ของฉีโม่ นี่ก็แทนคำขอโทษจากฉัน นายสมควรรับมันไว้”

“นี่……” จางซิ่วเฟิงสีหน้าท่าทางกังวล เหลือบไปมองลู่หย่าฮุ่ย

ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในใจก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรจะรับมือกับจางหงซวนยังไง

“รองประธานจาง คุณคิดจะเอาของเล่นสองชิ้นนี้มา เพื่อไถ่โทษให้จางเถียนไห่ เหรอ?” หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ “ตอนนี้ฉีโม่เป็นถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในอุตสาหกรรมอัญมณีของตุงไห่แล้ว ผลงานที่ออกแบบก็มีมูลค่ากว่าร้อยล้าน จะเหลียวแล่ของพวกนี้เหรอ?

จางหงซวนสีหน้าซีดเซียว อดไม่ได้อยากจะตบหลินอิ่งซักฝ่ามือ

เด็กคนนี้เรื่องเยอะจริงๆ! ก็แค่ลูกเขยที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น กล้าดียังไงมาสั่งสอนกันต่อหน้าเขา

“นี่ก็แค่การเพิ่มสีสันเท่านั้น” จางหงซวนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเคือง “ครั้งนี้ฉีโม่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อำนวยการบริษัท ฉันที่เป็นลุง ก็ควรจะแสดงความยินดีสักหน่อยเหมือนกัน”

“เงินหนึ่งล้านนี้ ก็ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับที่ฉีโม่ได้เลื่อนขั้นก็แล้วกัน! หวังว่าฉีโม่จะใจกว้าง อย่าได้เอาผิดกับเถียนไห่เด็กคนนี้เลย” จางหงซวนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม และว่างกล่องกระเป๋าที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะ

เขาเปิดกล่องออก ข้างในเต็มไปด้วยธนบัตรสีแดง ประมาณหลายปึก

“เถียนไห่ โชคดีที่นายยังเป็นพี่คนหนึ่ง นายดูสิว่าฉีโม่เก่งขนาดไหน อีกหน่อยนายควรจะเรียนรู้ไว้บ้าง อย่าเอาแต่ดื่มและสนุกไปวันๆ” จางหงซวนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ฉากนั้นหมดคำพูดแล้ว

คู่สามีภรรยาลู่หย่าฮุ่ย มองดูกองธนบัตรบนโต๊ะ ดวงตาสว่างวาบ หวั่นไหวเล็กน้อย

“ฉีโม่ เรื่องนี้ลุงสามไว้หน้ากันมากแล้ว ความจริงใจก็มากพอ ลูกจะว่ายังไง……” ลู่หย่าฮุ่ยเองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ จึงถามความคิดเห็นของลูกสาว

จางฉีโม่สีหน้าเป็นกังวล และตัดสินใจไม่ได้เหมือนกัน และก็ไม่ได้หวั่นไหวกับเงินหนึ่งล้านนี้ แต่เพราะเธอไม่เข้าใจกับคนเหล่านี้เลย เดิมทีอยากจะให้บทเรียนที่รุนแรงกับจางเถียนไห่ แต่ก็รู้สึกกลัวครอบครัวของจางเถียนไห่จะแก้แค้นเล็กน้อย คิดบัญชีทีหลัง

จางหงซวนแบบหัวเราในใจ และถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เมื่อเห็นท่าทางว่าครอบครัวของ จางซิ่วเฟิงกำลังวางแผนที่จะประนีประนอม ตามที่ตัวเองได้คาดการณ์ไว้ บ้านเจ้าห้าชินกับความจนแล้ว แค่เอาเงินหนึ่งร้อยล้านมาวางไว้บนโต๊ะ ก็สามารถทำให้พวกเขาตาลายจนหาทิศเหนือไม่เจอแล้ว

ตราบใดที่วิกฤตนี้คลี่คลายลง อีกหน่อยก็ยังมีโอกาสให้เอาหน้าคืนมาได้

“รองประธานจาง คุณคิดว่าฉีโม่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อนหรือไง? แค่เงินหนึ่งร้อยล้านก็คิดจะยุติเหตุการณ์นี้? คุณรู้หรือไม่ว่าเครื่องประดับที่ถูกสลับชิ้นนั้นราคาเท่าไหร่?” หลินอิ่งนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าเรียบเฉย และพูดขึ้นอย่างราบเรียบ

“เอาเงินแค่นี้ และสิงโตหยกของพวกคุณกลับไปเถอะ! ยังคงเป็นคำพูดเดิม ตอนนี้ฉีโม่เป็นถึงนักออกแบบเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงในเมืองตุงไห่แล้ว ไม่เหลียวแลของเล็กๆน้อยๆแค่นี้ของพวกคุณหรอก!”

“หลินอิ่ง!นาย!”

จางหงซวนโกรธมาก ลุกขึ้นยืนและจ้องไปที่หลินอิ่งอย่างรุนแรง พยายามครอบงำคนขี้ประจบคนนี้ด้วยออร่า แต่ว่าหลินอิ่งกลับไม่มีอาการหวาดกลัวเลยสักนิดอย่างผิดคาด

เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้ใกล้จะจบลงแล้ว คนขี้ประจบคนนี้ก็ออกมาสร้างความเดือดร้อนอีก ไม่ช้าก็เร็วต้องหาโอกาสกำจัดเขา!

ก็แค่ลูกเขยขี้ประจบคนหนึ่งของตระกูลจางเท่านั้น กลับกล้าที่จะทะนงตนต่อหน้าตัวเองที่เป็นผู้อาวุโสของตระกูลจาง มันช่างโง่เขาจนไร้ทางรักษาแล้วจริงๆ

“น้องห้า น้องสะใภ้คำพูดของหลินอิ่งนี้ ใช่ความหมายของพวกคุณไหม?” จางหงซวนพูดขึ้นเสียงทุ้ม ที่ถูกหลินอิ่งทำให้โกรธ และรู้สึกไม่สามารถควบคุมได้เล็กน้อย “เมื่อไหร่กันที่ผู้อาวุโสคุยกัน แต่เขากลับพูดแทรกขึ้นมาได้?”

“นี่?” ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปสบตากับจางซิ่วเฟิง

หากเป็นเวลาปกติ ถ้าหลินอิ่งกล้าพูดแทรกขึ้นมาแบบนี้ เธอคงจะไม่เลือกปฏิบัติอย่างแน่นอน และด่าทอใส่หัวและใส่หน้าของหลินอิ่งโครมๆ ไปนานแล้ว

ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ สิ่งที่หลินอิ่งพูดก็ไม่ได้ผิดอะไรนิ ทำเอาเจ้าสามระเบิดความโกรธออกมาเลย

ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้น “พี่สาม เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บริษัท ฉันกับซิ่วเฟิงเองก็ไม่รู้สถานการณ์ที่ชัดเจน คงจะต้องให้ฉีโม่เป็นคนตัดสินใจ หลินอิ่งเองก็เป็นผู้ช่วยของฉีโม่ สิ่งที่เขาพูด ก็จะต้องเป็นความหมายของฉีโม่แน่นอนอยู่แล้ว”

“ฉีโม่ ตอนเด็กๆ ลุงสามก็เคยอุ้มเธอนะ ดูสิพอเธอโตขึ้นมาแล้ว หรือว่าเธอไม่คิดจะไว้หน้าลุงสามสักหน่อยเลยเหรอ?” จางหงซวนพูดขึ้นอย่างเคร่งเครียดพร้อมกับเล่นไพ่ความสัมพันธ์

“เรื่องงานก็ต้องจัดการในส่วนของงานรองประธานจาง จางเถียนไห่พยายามที่จะละเมิดทรัพย์สินของบริษัท ผมคิดว่า พรุ่งนี้ผมจะส่งหลักฐานคลิปบันทึกเสียงนี้ให้กับคณะกรรมการ ให้ผู้ถือหุ้นและคณะกรรมการทุกคนได้ฟัง จากนั้นก็ให้คณะกรรมการตัดสินใจว่าจะจัดการกันอย่างไรต่อ” หลินอิ่งกล่าวอย่างลวก ๆ

ดวงตาทั้งสองข้างของจางหงซวนลุกเป็นไฟ มีกระทั้งจิตสังหารแล้ว อดกลั้นความโกรธไว้ไม่ให้ลุกขึ้นไปตบหลินอิ่ง

คำพูดของหลินอิ่งเป็นเหมือนมีดเล่มหนึ่งแทงเข้าไปในหัวใจของเขา นี่เป็นเหตุการณ์ที่เขากลัวว่าจะเกิดขึ้นมากที่สุด

จางหงซวนจ้องมองหลินอิ่งอย่างเยือกเย็น พูดขึ้นด้วยความโกรธ “แล้วตกลงนายต้องการอะไร?”

“ผมก็แค่รู้สึกว่าพวกคุณจริงใจไม่พอ” หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างราบเรียบ “เอาความจริงใจออกมาให้มากขึ้นอีกหน่อย ให้จางเถียนไห่คุกเข่าลง และขอโทษ”

“ให้ฉันคุกเข่าหาแม่แกสิ! ไอ่ขี้ประจบ ครั้งหน้าฉันจะจ้างคนไปกระทืบแก!” จางเถียนไห่ก่นด่า เส้นเลือดสีน้ำเงินปรากฏขึ้นบนหน้าผาก

“จิ๊ฉีโม่ พ่อแม่ พวกคุณเห็นหรือยัง จางเถียนไห่ก็เป็นซะอย่างนี้ พวกคุณคิดว่าควรจะให้อภัยเขาอยู่อีกไหม?” หลินอิ่งกล่าวอย่างเรียบเฉย

“หลินอิ่ง แกมันคางคกขึ้นวอ!” จางเถียนไห่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “แกไอ่ขี้ประจบยังจะกล้ามาท้าทายฉันอีก! คราวหน้าอย่าให้ฉันเจอนายได้อีกนะ!”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว?” หลินอิ่งกล่าวอย่างง่ายดายและราบเรียบ หยิบแตงโมบนโต๊ะขึ้นมากินหนึ่งคำ

จางหงซวนถูกหลินอิ่งทำให้โกรธจนตัวสั่น หันไปก่นด่าจางเถียนไห่ “ไอลูกโง่ยังไม่รีบหุบปากอีก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท