ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 50 ของขวัญ

บทที่ 50 ของขวัญ

บทที่ 50 ของขวัญ

ฉินเฟยรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าถือสวยๆหลายใบ มาวางไว้บนโต๊ะกระจก

กระเป๋าถือสวยๆและบนของกล่องพวกนี้ ล้วนแต่เป็นโลโก้แบรนด์เนมมูลค่าสูงของโลกทั้งสิ้น

นี่มันจะต้องเป็นของที่ดึงดูดความคลั่งไคล้ของเหล่าบรรดาพวกผู้หญิงแน่นอน

หวางจื่อเหวินยิ้มๆ พร้อมกับมองไปที่จางฉีโม่ก่อนจะพูดขึ้น“ฉีโม่นี่เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆของผม ผมจะแนะนำให้คุณทีละชิ้นแล้วกันนะครับ”

หวางจื่อเหวินมองจางฉีโม่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ขยับแขนเสื้อ แล้วเริ่มหยิบกล่องของขวัญที่สวยงามบนโต๊ะกระจกขึ้นมา

เขาก็ตั้งใจโชว์นาฬิกาข้อมือที่ดูสวยหรูของตัวเอง มันเป็นนาฬิกาVacheron Constantin รุ่นTraditionnelle มูลค่าสามล้านกว่าๆ

“ฉีโม่นี่เป็นกระเป๋าผู้หญิงที่ผมค่อนข้างตั้งใจเลือกเลยนะ ตอนที่ซื้อมา ก็หวังว่าสักวันจะเจอกับสุภาพสตรีที่งดงามสักคนหนึ่ง เพื่อให้ผมได้มอบมันให้กับเธอ”หวางจื่อเหวินท่าทางดูดีมีสไตล์ ค่อยๆแกะกล่องของขวัญออกอย่างช้าๆ

ภายในกล่องของขวัญที่สวยงามคือกระเป๋าLVสำหรับผู้หญิงหนึ่งใบ ดูแล้วคลาสสิก แต่ดูไม่เชย รายละเอียดการตัดเย็บดูก็รู้ว่ามันประณีตและสวยงามขนาดไหน

หวางจื่อเหวินยิ้มเล็กน้อย ชำเลืองตาไปมองหลินอิ่งอย่างสะใจ

“ฉีโม่ผมชอบกระเป๋าหลุยส์วิคตองใบนี้มาก เพราะว่าเรื่องราวของมัน”หวางจื่อเหวินค่อยๆผ่อนน้ำเสียงลง แล้วแสร้งทำเป็นพูดขึ้นต่อ“เมื่อศตวรรษที่แล้ว ขณะที่กำลังกอบกู้ซากปรักหักพังของเรือไททานิคอยู่นั้น ก็ไปเจอเข้ากับกระเป๋าหนังใบหนึ่ง มันจมดิ่งอยู่ใต้มหาสมุทรอยู่เป็นเวลาร้อยกว่าปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีจุดชำรุดเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว”

“แบรนด์ของกระเป๋าหนังใบนี้ ก็คือหลุยส์วิคตอง”หวางจื่อเหวินค่อยๆพูด พร้อมกับมองมายังจางฉีโม่“ผมให้มันกับคุณ หวังว่าในอนาคต มิตรภาพของพวกเราก็จะอยู่มั่นคงตลอดไปเช่นเดียวกับกระเป๋าใบนี้ ร้อยกว่าปีไม่มีเปลี่ยนแปลง”

พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ของหวางจื่อเหวิน สีหน้าของจางฉีโม่ก็ดูอึดอัดสุดๆ ก่อนจะพูดขึ้น“ของขวัญชิ้นนี้มันแพงเกินไป ฉันรับไม่……”

“ไม่ๆๆ……”หวางจื่อเหวินโบกมือพร้อมกับพูดขึ้น ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความจริงใจสุดๆ“ผมบอกแล้วว่า ผมสะสมของขวัญพวกนี้ อยากจะให้มันกับสุภาพสตรีที่งดงามสักคน แล้วก็ต้องเป็นคนที่ผมยอมรับด้วย ซึ่งนั่นก็คือคุณ”

“สำหรับผมแล้ว ความหมายของพวกมันไม่สามารถวัดด้วยตัวเงิน ถ้าพูดถึงเรื่องมูลค่าแล้ว สำหรับผมแล้วมันไม่แพงเลยสักนิด”

หวางจื่อเหวินค่อยๆพูดขึ้น“ความหมายของพวกมัน ก็ขึ้นอยู่กับ คนที่ผมจะมอบให้”

พูดพลาง หวางจื่อเหวินก็เปิดกล่องของขวัญออกทีละกล่อง มีน้ำหอมของแชแนล กลิ่นต่างๆประมาณสิบกว่ากลิ่น เข็มขัดรัดเอวLVรุ่นเดียวกันแต่มีทุกสี แล้วก็ผ้าพันคอของแอร์เมสแต่ละรุ่น……

ประมาณว่าแทบจะครบหมดทุกอย่าง ของแบรนด์หรูที่ผู้หญิงจะสามารถใช้ได้

“ฉีโม่ ถ้าเกิดรู้สึกชอบใจล่ะก็ ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้ไปด้วยกันกับคุณ จะได้ช่วยเลือกเครื่องแต่งกายที่คุณชอบยังไงล่ะ”หวางจื่อเหวินพูดขึ้นอย่างยิ้มๆ“ฉีโม่คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิวเวลรี่ ดังนั้น ในส่วนของเครื่องประดับ ผมก็ไม่กล้าจะไปทำเรื่องขายหน้าต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญอยู่แล้วล่ะ……”

พูดจบ หวางจื่อเหวินก็มองจางฉีโม่พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย รอฉีโม่รับของขวัญของเขา

สายตาที่เขาหันไปมองหลินอิ่งดูสะใจสุดๆ เผยเห็นถึงความรู้สึกเหนือกว่าอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองแสดงออกไปมันไร้ที่ติที่สุดแล้ว ดูถ่อมเนื้อถ่อมตัวแต่ก็สง่างาม มีเงินแต่ก็วางตัวเป็น

ทางด้านของการแสดง สามารถเอาชนะไอ้เศษสวะอย่างหลินอิ่งได้อย่างแน่นอน

แถมตอนแรกที่รวบรวมพวกของขวัญเหล่านี้ก็คิดแล้วคิดอีก ใช้ทักษะพิเศษเท่าที่มี โดยทั่วไปแล้วก็ล้วนแต่เป็นสิ่งของที่ผู้หญิงรักใคร่ที่สุด

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง จางฉีโม่ที่ตระกูลธรรมดาทั่วไป ก็แค่จู่ๆก็มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาในวงการจิวเวลรี่ บวกกับสามีของจางฉีโม่ หลินอิ่งก็ช่างน่าสมเพชขนาดนี้ ไม่มีปัญญาแม้แต่จะให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แล้วจะปฏิเสธคุณชายชั้นสูงที่เจ้าเล่ห์เจ้าแผนการแห่งของเมืองชิงหยูน

แบบเขาหวางจื่อเหวินคนนี้ไปได้ยังไงกันล่ะ?

“พี่หวาง นี่คุณทุ่มเทเกินไปแล้ว!ฉันเริ่มชักจะอิจฉาตาร้อนแล้วสิ!”อูฉู่เวินก็เริ่มรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ของเสื้อผ้าเครื่องประดับที่หวางจื่อเหวินจะมอบให้กับจางฉีโม่ เกรดดีกว่าของที่อยู่บนตัวเธอเสียอีก

“ทั้งเซตนี้ หลายล้านอยู่นะ”เสิ่นห้าวก็กอดอกพูดขึ้น“แค่ของขวัญสำหรับตอนที่เจอกันครั้งแรกของพี่หวางเท่านั้น มากมายมหาศาลขนาดนี้เชียว!”

“เอ่อ……คือฉันรับของขวัญจากคุณไม่ได้จริงๆค่ะคุณชายหวางทุกคนก็เพิ่งจะมาเจอหน้ากันครั้งแรกเอง”จางฉีโม่รู้สึกทำอะไรไม่ถูก เธอก็พอจะดูออกว่าของขวัญพวกนี้มันราคาแพงขนาดไหน

ของขวัญตอนเจอกันก็แพงเกินไปจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ผลของการละโมบเอาของของคนอื่น เธอรู้ดี……

“ฉีโม่คุณไม่ต้องรู้สึกว่าพวกมันราคาแพงหรอก แค่คุณชอบก็พอแล้ว”หวางจื่อเหวินพูดยิ้มๆ“สำหรับวงการนี้ของพวกเราแล้ว ของขวัญเล็กๆน้อยๆพวกนี้มันไม่ได้แพงอะไรเลย ฉีโม่คุณมาพบหน้ากับทุกๆคนครั้งแรก แน่นอนว่าผมก็ต้องต้อนรับคุณอย่างยิ่งใหญ่ จะให้น้อยหน้าในวงการนี้ไม่ได้”

“ฉีโม่ ดูจากรูปร่างหน้าตาและความสามารถของคุณแล้ว ของพวกนี้ คุณสมควรจะมีไว้นะ”หวางจื่อเหวินไม่หยุดที่จะชมว่าเธอสวย

จางฉีโม่กัดริมฝีปากเบาๆ งานเลี้ยงประเภทนี้เธอรู้สึกไม่คุ้นชินกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว จะปฏิเสธก็ไม่ได้ รับของขวัญไว้ก็ไม่ได้อีก สีหน้าอับจนหนทาง หันไปมองหลินอิ่ง

หลินอิ่งสีหน้าปกติ ดันของขวัญราคาแพงพวกนั้นไปอีกฝั่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“ขออภัยครับ ฉีโม่ไม่ต้องการของขวัญของคุณ คุณเก็บกลับไปเถอะครับ”

“อะไร? เศษสวะเกาะผู้หญิงกินแบบแก กล้าดียังไงมาตัดสินใจแทนฉีโม่?”สุนัขรับใช้ฉินเฟยถามขึ้นมาก่อน

“แล้ว แกรู้ได้ยังไงว่าฉีโม่ไม่ชอบของขวัญพวกนี้? ฉันดูแล้วเป็นเพราะว่าแกอยู่ที่นี่ด้วยต่างหากล่ะ ถึงทำให้ฉีโม่รู้สึกอึดอัดในใจ!”เสิ่นห้าวพูดขึ้นด้วยความโมโหฉุนเฉียว“แกก้มไปดูกระเป๋าโทรมๆของตัวเองก่อนเถอะ ยังกล้าแบกหน้าเข้ามาในหมิงเป่าซวนอีก หัดตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองซะบ้างนะ!แกไร้ความสามารถเอง หรือว่ายังคิดจะพาให้ฉีโม่ต้องอับอายขายขี้หน้าไปด้วยอีกคน?”

“เหอะๆหลินอิ่งแกนี่มันแปลกจริงๆ”อูฉู่เวินสบถออกมา สีหน้าดูแคลนสุดๆ“แกรู้สึกตาร้อนแล้ว? อิจฉาพี่หวาง? เป็นผู้ชายแท้ๆ ยังให้อะไรกับเมียตัวเองยังไม่ได้ แถมยังไม่ยอมรับของที่คนอื่นมอบให้อีก? น่าเวทนาจริงๆ”

“เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่ไร้น้ำยาถึงขนาดที่ต้องเกาะเมียกิน ยังไม่ยอมรับของขวัญที่คนอื่นให้กับเมียตัวเองอีก น่าสลดเสียจริง”อูฉู่เวินพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน“ฉันว่าแกกลัวจะรู้สึกผิดมากกว่านะ กลัวว่าจะถูกเปรียบเทียบกับผู้ชายคนอื่นต่อหน้าเมียของตัวเอง? ก็เลยจงใจมาหมิงเป่าซวนกับฉีโม่ มาสร้างความวุ่นวายให้กับเธอ?”

“จื่อเหวิน ฉีโม่ทางนี้ของพวกหลานเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ในขณะนี้ ก็มีน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เล็กน้อยดังขึ้นมา

จางหงอี้เดินมาจากห้องอีกด้านหนึ่ง ข้างๆมีหวางโจงเดินมาด้วย

“ลุงสาม ป้า”หวางจื่อเหวินกล่าวทักทาย พูดขึ้นด้วยท่าทางเล่นๆ“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมก็แค่เอาของขวัญมอบให้กับฉีโม่ แต่หลินอิ่งกลับตัดสินใจแทนฉีโม่ บอกว่าฉีโม่ไม่อยากรับไว้ก็เท่านั้นเองครับ”

“อะไร?”หันไปมองสิ่งของราคาแพงที่อยู่บนโต๊ะกระจก แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย

เธอหันไปมองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา สีหน้าโกรธอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะพูดขึ้น“หลินอิ่ง แกคิดว่าแกเป็นใคร? ถึงบอกว่าฉีโม่ไม่อยากรับไว้? แกรู้ไหมว่าสินน้ำใจนี้ของจื่อเหวินมันมีมูลค่ามากมายขนาดไหน? นี่แกคิดจะฉีกหน้าของตระกูลหวางอย่างนั้นเหรอ?”

“ช่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดีจริงๆ!”จางหงอี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“ฉันจะบอกแกให้นะหลินอิ่ง แกหยุดคิดที่จะเกาะตระกูลจางกินได้แล้ว ในอนาคตฉีโม่ก็จะเข้าสู่วงการชั้นสูงของเมืองชิงหยูน แล้วแกก็อย่าคิดจะมาก่อเรื่องวุ่นวายให้กับฉีโม่ถ่วงความเจริญของเธอด้วย”

“เหอะ!”หวางโจงสีหน้าบึ้งตึง มองหลินอิ่งอย่างเย็นชา“คนบางประเภทนี่มันก็คิดไม่ได้เลยจริงๆ หลังจากที่มาเห็นที่นี่กับตาแล้ว ก็ยังไม่สำเหนียกว่าตัวเองอยู่ระดับไหน?”

จางหงอี้พูดขึ้นด้วยสีหน้าเข้มงวดจริงจัง“ฉีโม่ ป้าตัดสินใจแทนหลานเอง!รับของขวัญของจื่อเหวินไว้ซะ แล้วก็ขอบคุณจื่อเหวินด้วย”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท