ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 27 กลั่นแกล้ง

บทที่ 27 กลั่นแกล้ง

บทที่ 27 กลั่นแกล้ง

“ร ป ภ จับสองคนนี้ไว้”

จางจี้หนิงกล่าวอย่างท่าทีมั่นใจ ทำไม้ทำมือ เรียกผู้รักษาความปลอดภัยทันที

“สองคนนี้ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมจัดงาน ทว่าอยากจะเข้าไปนั่ง นี่เห็นได้ชัดว่าคิดจะก่อความวุ่นวายให้งานนิทรรศการ ไล่พวกเขาทั้งสองคนออกไป!” จางจี้หนิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย

“สองท่าน กรุณาหยุดด้วย” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสี่คนกล่าวอย่างจริงจัง ยื่นมือออกไปปิดกั้นทางที่จางฉีโม่จะไป

“คุณหมายความว่ายังไง? แต่ว่าฉันเป็นผู้อำนวยการการออกแบบของคณะ ฉันเข้าร่วมไม่ได้หรอ?” จางฉีโม่กล่าวอย่างโมโห

“หึหึ” จางจี้หนิงหัวเราะเยาะด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “จางฉีโม่ คุณอย่าลืมสิ คุณทำโครงการKing of the worldที่สำคัญมากผิดพลาด ทำโครงการล้มเหลว เร็วๆนี้ก็จะถูกไล่ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการ ดังนั้น ที่นั่งเดิมของคุณฉันได้จัดให้คนอื่นไปแล้ว ไม่มีที่นั่งให้คุณในงานนิทรรศการแล้ว”

“แน่นอนว่า พวกคุณทั้งสองคนต้องการไปเยี่ยมชมอัญมณีเพื่อเปิดหูเปิดตา สามารถยืนดูอยู่ที่นี่ได้ คิดอยากจะเข้าไปนั่งที่นั่งVIP ฝันไปเถอะ!” จางจี้หนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเมินเฉย

“คุณมีสิทธิ์อะไรมาจัดการเอาที่นั่งของเราให้คนอื่น!” จางฉีโม่ถามด้วยน้ำเสียงติเตียน

“ผู้อำนวยการหลิว คุณเป็นคนรับผิดชอบวางแผนการจัดงานนิทรรศการ มาอธิบายให้กับพวกเขาหน่อยเถอะ”จางจี้หนิงเรียกผู้ช่วย ชายวัยกลางคนในชุดสูทเป็นทางการ เดินเข้ามาอย่างช้าๆ

“ผู้อำนวยการจาง เอ๊ะ ไม่ใช่สิ จางฉีโม่ ฉันในฐานะคนวางแผนการจัดงานนิทรรศการ แจ้งให้คุณทราบอย่างเป็นทางการ ที่นั่งVIPของคุณกับหลินอิ่งในงานนิทรรศการเครื่องประดับอัญมณีนี้ ถูกฉันยกเลิกไปแล้ว ดังนั้น คุณทั้งสองคนไม่มีสิทธิ์เข้าไปในงาน” ผู้อำนวยการหลิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่แววตาที่ถากถางทว่าไม่สามารถปิดบังได้เลยแม้แต่น้อย

“พวกคุณจะมากเกินไปแล้วนะ!” จางฉีโม่พูดอย่างโกรธๆ กำหมัดแน่น

เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ตนเองยังไม่ได้ถูกบริษัทประกาศปลดออกจากตำแหน่ง จางจี้หนิงก็เริ่มทำงานเกินอำนาจไปซะแล้ว แม้กระทั่งยกเลิกที่นั่งของตน!

จางฉีโม่รู้ดีว่า ผู้อำนวยการหลิวคนนี้ แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนที่ถูกอุปถัมภ์โดยกรรมการบริหารจางหงจูน ซึ่งเป็นของสมาชิกที่เป็นพี่ใหญ่สุดภายในกลุ่มตระกูลจาง

เดิมทีเขาก็เป็นผู้อำนวยการแผนกวางแผนของกลุ่ม ประจวบกับครั้งนี้รับผิดชอบวางแผนการจัดงานกิจกรรม และจัดการที่นั่งVIP เขาก็มีอำนาจรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

“พวกคุณสองคนออกไปได้แล้ว ที่นี่ไม่มีที่นั่งของพวกคุณ กลับบ้านไปรอประกาศออกจากตำแหน่งของกลุ่มก็ได้นะ” จางจี้หนิงพูดอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย แสดงออกอย่างโอหังมาก

“พวกคุณไร้สาระจริงๆ” เวลานี้ ในที่สุดหลินอิ่งก็ยืนขึ้นมา พูดกับผู้อำนวยการหลิวว่า : “ตอนนี้ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ ช่วงเวลาการจัดงานนิทรรศการครั้งนี้ไม่สามารถแยกเธอออกไปได้ คุณยกเลิกที่นั่งของผู้อำนวยการจาง หากว่าทำให้เสียเวลาการจัดงานนิทรรศการ จะสามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ไหม?”

“คุณล้อเล่นอยู่หรือไง?” ผู้อำนวยการหลิวแสดงสีหน้าเหยียดหยาม พูดจาถากถางว่า “คุณสองคนยังมีส่วนร่วมในการจัดงานนิทรรศการอยู่หรอ? แม้แต่โครงการที่พวกคุณรับผิดชอบ ผลงานการออกแบบก็ทำสูญหาย ยังให้ฉันพูดว่าไม่สามารถแยกพวกคุณออกจากงานนิทรรศการ หึหึ น่าตลกจริงๆเลย”

“ไม่เห็นต้องใส่ใจ! นี่คุณจริงจังกับตนเองเกินไปหรือเปล่า? จางฉีโม่ไม่ได้เข้าร่วมงานนิทรรศการเครื่องประดับอัญมณี ก็ไม่สามารถเริ่มได้งั้นหรอ?”ผู้อำนวยการหลิวถามด้วยความอวดดี ไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย

หลินอิ่งหัวเราะเยาะ : “King of the worldตามหากลับมาได้แล้ว คุณแน่ใจนะว่าต้องการจะขัดขวางพวกเรา?”

“ผลงานชิ้นนี้เป็นสิ่งสำคัญของงานนิทรรศการนี้ หากว่าเกิดความล่าช้า คุณเป็นผู้อำนวยการแผนกวางแผนตัวเล็กๆคนหนึ่ง จะรับผิดชอบไหวหรอ?

“คำพูดของคนขี้ขลาดตาขาวอย่างคุณ! ว่าฉันเป็นผู้อำนวยการตัวเล็กๆหรอ? ผู้อำนวยการหลิวกระหืดกระหอบ มองหลินอิ่งอย่างเยือกเย็น “ร ป ภ ฉันบอกให้ไล่คนคนนี้ออกไป!”

หลินอิ่งหยิบกล่องคริสตัลวาววับออกมาต่อหน้าทุกคน แต่ทว่ายังไม่ได้เปิดกล่อง

“King of the worldก็อยู่ในนี้” หลินอิ่งพูดแล้วหันไปทางผู้อำนวยการหลิว “ผู้อำนวยการหลิว คุณเลื่อนระยะเวลาโฆษณาเครื่องประดับอัญมณีที่สูงสุดถึง 10 ล้านออกไป จะสามารถรับผิดชอบได้หรอ?”

“ฉันไม่รู้จริงๆ คุณเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนคนหนึ่ง ทำไมถึงกล้ายกเลิกที่นั่งของผู้รับผิดชอบการออกแบบเครื่องประดับอัญมณีของกลุ่มได้! คุณคิดว่าตนเองเป็นประธานกรรมการบริหารหรอ?”

คำพูดของหลินอิ่ง เหมือนราวกับฟ้าผ่าอยู่ในหัวของจางจี้หนิง ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความไม่น่าเชื่อถือ

จางจี้หนิงคู่สามีภรรยาหดรูม่านตาลง มองหน้าซึ่งกันและกัน

ผู้อำนวยการหลิวสีหน้าท่าทางตกใจ มองไปที่กล่องคริสตัลในมือของหลินอิ่งด้วยแววตาที่สงสัย

“นี่……” ผู้อำนวยการหลิวพูดไม่ออก เขาคิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งคนที่ขี้ขลาดตาขาวคนนี้ คาเไม่ถึงว่าจะถือไพ่เหนือกว่าตน

“หลีกไป!” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชาว่า “ผู้อำนวยการหลิว วันนี้เรื่องที่คุณพลการกระทำเกินอำนาจยกเลิกที่นั่งประชุมของฉันกับผู้อำนวยการจาง ฉันจะรายงานต่อกรรมการบริหารตามความเป็นจริง

ผู้อำนวยการหลิวเหงื่อออกที่หน้าผาก หากว่าเป็นเมื่อก่อนจะมีจางหงจูนคอยปิดบังให้ ตนก็ไม่จำเป็นต้องกลัว แต่ฝ่ายกรรมการบริหารอูหยางพูดไว้แล้ว หากที่หลินอิ่งพูดทั้งหมดเป็นความจริง หาKing of the worldกลับมาได้จริงๆ นั่นคือตนเองก็จะเดือดร้อน!

อูหยางกำลังสับไพ่อยู่ภายในกลุ่ม เพียงแต่ผู้บริหารระดับสูงมีความผิดเพียงเล็กน้อยก็จะถูกเขาจัดการ นี่ตนเองไม่ชนกับปากกระบอกปืนเลยหรอ?

“หลินอิ่ง คุณหยิบเอากล่องเน่าๆออกมาอย่างไรก็ได้ กล้าพูดไหมล่ะว่าคือKing of the world?” จางจี้หนิงพูดเยาะเย้ย “ใครจะรู้ของของคุณชิ้นนี้เป็นของปลอมหรือเปล่า? คิดอยากจะหนีความรับผิดชอบหรือเปล่า?

“เปิดออกมาให้ฉันดู หากว่าเป็นของจริง ฉันจะได้พิจารณาคืนที่นั่งให้คุณทั้งสอง” จางจี้หนิงกล่าวด้วยท่าทีเหนือกว่า

หลินอิ่งยกมุมปากยิ้มเยาะ สายตามองไปทางจางจี้หนิง

“คุณคิดว่าคุณเป็นใคร? มีสิทธิ์อะไรมาขอดูKing of the world?”

“คุณเป็นแค่รองผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ หัวหน้าผู้บังคับบัญชาอยู่ตรงหน้าของคุณ จะมาเรียกร้องอะไร? ไม่มากไปหน่อยหรอ?”

“คุณ!” จางจี้หนิงโกรธจนหน้าแดงไปหมด จ้องมองหลินอิ่งอย่างแรง โกรธจนอยากจะระเบิดออกมาเลย

“คนขี้ขลาดตาขาวอย่างคุณมีสิทธิ์อะไรมาอวดดีต่อหน้าฉัน?” จางจี้หนิงพูดด้วยความโกรธสุดขีด ยิ่งคิดยิ่งโมโห หลินอิ่งลูกเขยไร้ประโยชน์ของตระกูลจาง คาดไม่ถึงว่าจะกล้ารุนแรงกับพี่สาวคนโตคนนี้ของตระกูลจางของเธอเชียวหรอ? รนหาที่ตายจริงๆเลย!

หลินอิ่งพูดเรียบๆว่า : “ต้องทำตามหน้าที่ ฉันในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการจาง ต้องทำหน้าที่เตือนสติคุณแทนเธอ ว่าใครคือหัวหน้า”

“หึ หลินอิ่ง คุณแม่งคิดว่าครอบครัวพวกคุณมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ ก็จะให้ท้ายหรอ!” ซูนเหิงด่าออกไปอย่างโมโห ความโกรธยากที่จะสงบ “สองสามวันที่ผ่านมาเป็นวันที่สบายจริงๆ ในใจก็ไม่ทุกข์เลยสักนิด”

“กูจะบอกมึงไว้เลย ไม่นานหรอก กูจะให้มึงมาคุกเข่าต่อหน้ากู!”

เผชิญหน้าการใช้อำนาจของซูนเหิง หลินอิ่งยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

“พวกเราไปกันเถอะ”

หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็หันกลับเข้าไปในงานนิทรรศการ ผู้อำนวยการหลิวกับร ป ภ ก็ไม่กล้ากลั่นแกล้งอีก

คู่สามีภรรยาจางจี้หนิงมองเห็นคู่ของหลินอิ่งเดินจากไป แววตาก็เปลี่ยนเป็นมืดมนลงอย่างมาก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท