ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 45 แผนการของแม่ฉีโม่

บทที่ 45 แผนการของแม่ฉีโม่

บทที่ 45 แผนการของแม่ฉีโม่

“เห้อ ยัยลูกโง่เอ๋ย ลูกพูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าหลินอิ่งได้ยังไง”ลู่หย่าฮุ่ยกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ลูกบอกเรื่องพวกนี้กับเขาทำไม? เขาจะต้องสร้างเรื่องวุ่นวายให้กับลูกแน่ๆ”

“ในใจของหลินอิ่งจะต้องคิดที่จะเกาะลูกกินไปตลอดชีวิตแน่นอน!ลูกรู้บ้างไหม!”

“มาก่อเรื่องวุ่นวายอะไรกันล่ะคะ แม่ แบบนี้มันไม่ดีเลย แม่เข้าใจใช่ไหม?”จางฉีโม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าหมดความอดทน

“ไม่ดียังไง?”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“หรือว่าลูกคิดอยากจะเอาหลินอิ่งมาเป็นสามีจริงๆ? เขามันไร้ประโยชน์ เป็นแค่เรื่องตลกขำขัน พวกลูกสองคนไม่ได้รักกัน แล้วก็ยังไม่เคยนอนด้วยกันด้วย อีกอย่าง เรื่องนี้ แวดวงตระกูลชั้นสูงของเมืองชิงหยูนไม่มีใครที่ไม่รู้ ว่าหลินอิ่งเป็นไอ้เศษสวะที่เข้ามาเกาะเรากิน ลูกยังเป็นหญิงสาวที่ยังคงบริสุทธิ์อยู่!”

“มีน้ารองและน้าเขยของลูกคอยเป็นคนกลางให้อยู่ แถมบวกกับชื่อเสียงที่โด่งดังในวงการจิวเวลรี่ของลูก ยังมีใครกล้าพูดกล่าวหานินทาลูกลอยๆอีกอย่างนั้นเหรอ?”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร

“เห้อ……”จางฉีโม่ถอนหายใจเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร

ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“ฉีโม่ เรื่องนี้ลูกต้องเชื่อฟังแม่และพ่อของลูกนะ อยู่กับน้ารอง เธอจะช่วยลูกจัดการวางแผนให้ลูกทุกอย่างเอง”

“น้ารองของลูกตั้งใจช่วยฉุดดึงตระกูลของพวกเราแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ลูกจะต้องคว้ามันไว้ให้ได้”ลู่หย่าฮุ่ยพูดเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดี“ฉีโม่ลูกหันมาดูตระกูลตระกูลจางของพวกเราสิ นอกจากพ่อของลูกแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถใช้ชีวิตอย่างเชิดหน้าชูตาในเมืองชิงหยูนได้เลย มันไม่ง่ายเลยที่ลูกจะได้หลุดพ้นออกมาเหมือนกับตอนนี้ น้ารองของลูกตั้งใจจะช่วยเป็นทางเชื่อมให้แล้ว สนับสนุนอีกครั้งเดียว ตระกูลพวกเราไปไหนมาไหนก็จะได้คู่ควรกับชื่อเมืองชิงหยูนตระกูลจางสักที”

“ลูกก็คิดให้ดีๆฉีโม่ ลูกจะได้รับหน้าที่สำคัญในบริษัท คณะกรรมการผู้ถือหุ้นต่างๆจะได้เห็นลูกอยู่ในสายตา สินค้าที่ออกแบบเมื่อครั้งที่แล้วทุบทำลายสถิติ ขายออกในราคาสูงถึงร้อยล้าน กลายเป็นดีไซน์เนอร์ที่มีชื่อเสียงในวงการจิวเวลรี่แห่งเมืองชิงหยูน”ลู่หย่าฮุ่ยค่อยๆพูดขึ้น“แล้วสภาพของหลินอิ่งในตอนนี้? ยังจะคู่ควรกับลูกอยู่อีกเหรอ?”

จางฉีโม่นิ่งขรึมไม่ได้พูดอะไร

ลู่หย่าฮุ่ยก็หันไปมองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“หลินอิ่ง ฉันก็จะขอพูดกับแกแบบตรงๆให้เข้าใจเลยแล้วกัน น้ารองของฉีโม่คอยเป็นคนกลางให้ คนที่เธอแนะนำก็ล้วนมีความสามารถ มีเงิน มีอำนาจ มีภูมิหลังตระกูลที่เหมาะสมกันทั้งนั้น ต่อให้สุ่มหยิบขึ้นมาหนึ่งคน ไม่ว่าคนไหนก็ล้วนดีกว่าแกทุกคน”

“เป็นคนก็ต้องรู้จักสำเหนียกตัวเอง แกก็อย่ามาบอกว่าฉันกลั่นแกล้งก็แล้วกัน แค่พอถึงตอนนั้นฉีโม่สนใจใครขึ้นมาแล้วล่ะก็ แกก็ต้องทำให้มันถูกต้องและเหมาะสม โดยการหย่าซะ”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“หลินอิ่งเอ๋ย แกก็ต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณนะ!ฉีโม่อุส่าให้แกมาเป็นผู้ช่วย จากคนที่ขายของรถเข็นข้างถนน ตอนนี้มาสวมสูทรองเท้าหนัง มีชีวิตที่ดีอยู่ในจางซื่อกรุ๊ปของตระกูลจาง กอบโกยเงินได้ไม่น้อย แถมยังได้รู้จักคนมากมาย พวกมีบุญคุณกับแกขนาดไหน หวังว่าคงจะรู้สำนึกในบุญคุณนะ”

“ถ้าแกมีจิตใจที่ดีพอ ก็จะไม่ไปกีดขวางเส้นทางของฉีโม่เพื่อความสุขของตัวเอง!พวกแกสองคนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันโดยสิ้นเชิง”

“แน่นอนว่า ถ้าแกเชื่อฟังแต่โดยดี หลังจากที่แต่งงานแล้ว ฉันจะยอมให้ฉีโม่เอาแกอยู่ในจางซื่อกรุ๊ปต่อได้ ยกตำแหน่งที่ดีๆให้กับแก แล้วแกก็จะสามารถหาเงินได้อีกเป็นกอบเป็นกำ แบบนี้ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ? วิธีการนี้ของฉัน คงจะไม่ทำให้แกรู้สึกผิดหวังแล้วใช่ไหม?”ลู่หย่าฮุ่ยค่อยๆพูดขึ้น แสดงสีหน้าท่าทางอย่างสมเหตุสมผล

หลินอิ่งส่ายหัวปฏิเสธอยู่ภายในใจ แต่ทำได้แค่ยิ้มไม่พูดอะไร

รู้จักกับแม่ของฉีโม่มาสองปี เขารู้จักเธอดี

เห็นแก่เงิน ไม่สนใคร เทิดทูลเงินทองมากกว่าสิ่งใด แถมยังโหยหาอำนาจอิทธิพล ต่อสู้เอาชนะเพื่อหน้าตา ขอแค่มองเห็นโอกาสในการปีนขึ้นไปสูงๆได้ ไม่มีทางยอมปล่อยโอกาสนั้นไปแน่นอน

ชัดเจนว่า การแสดงเจตนาที่ดีของน้ารองที่มีต่อตระกูลฉีโม่ในครั้งนี้ นั้นมันเท่ากับโอกาสในการเข้าไปในวงการชนชั้นสูงของเมืองชิงหยูน ลู่หย่าฮุ่ยก็ต้องรีบปีนขึ้นไปทันที คิดอยากที่จะกอดรัดโอกาสนี้ไว้ให้แน่น เพื่อให้ตระกูลของพวกเขาเดินตามสายทางนี้ในการไปสู่วงการชนชั้นสูงให้ได้

จริงๆแล้ว ชื่อเสียงของฉีโม่ในตอนนี้มันต่างกัน ทั้งหมดล้วนแต่เป็นหุ้นที่มีศักยภาพ แล้วทำไม น้ารองของฉีโม่ถึงไม่รีบแสดงเจตนาที่ดีออกมาก่อนหน้านี้ล่ะ แต่ดันเพิ่งมาแสดงออกเอาตอนนี้?

“แม่ นี่แม่กำลังพูดอะไรอยู่? เรื่องของหนู หนูรู้ดี แม่กำลังทำเหมือนกับอยู่ในยุคศักดินาสมัยก่อนอย่างนั้นแหละ”จางฉีโม่พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ

ลู่หย่าฮุ่ยพูดตอบ“แม่ก็ไม่ได้บอกว่าจะจัดการเรื่องแต่งงานให้ลูกสักหน่อย ลูกแค่ไปนัดดูตัวก็ได้แล้ว ไปเข้าร่วมงานสัมมนาของวงการนักสะสมกับน้ารองของลูกในครั้งนี้ จริงๆแล้วมันก็คืองานเลี้ยงของวงการชนชั้นสูง ลูกเลือกใคร ก็ให้น้ารองเป็นคนกลางให้”

พูดถึงตรงนี้ ลู่หย่าฮุ่ยก็หันไปมองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกับพูดขึ้น“นี่ฉันก็พูดดักให้แกก่อน ถ้าแกยืนยันที่จะร่วมงานสัมมนาในครั้งนี้กับฉีโม่ก็ได้นะ ไปเปิดหูเปิดตาดูสักหน่อย ในขณะเดียวกัน ตัวเองก็มองดูเหล่าบรรดาคุณชายชั้นสูงดูบ้างนะ จะทำให้แกได้รู้ว่า ตัวเองกับคนเขามันต่างกันมากขนาดไหน!”

หลินอิ่งไม่ไดพูดอะไร กลับไปนั่งสมาธิที่ห้องอย่างเงียบๆ

“หึ!ยังกล้ามาทำหน้าไม่พอใจใส่ฉัน”ลู่หย่าฮุ่ยสบถเหอะออกมาอย่างเย็นชา มองประตูห้องของหลินอิ่ง“ไม่ช้าก็เร็ว ยังไงก็จะต้องถีบแกออกไปจากบ้านนี้ให้ได้!”

“แม่ หยุดว่าเขาสักที หลินอิ่งก็ทำอะไรให้ตระกูลเราไม่น้อยเลยนะ”จางฉีโม่พูดขึ้นอย่างครุ่นคิด“ครั้งที่แล้วหลินอิ่งก็ให้คนมาทำเรื่องช่วยจ่ายเงินให้ แถมออกเงินซื้อรถอีก พอครั้งนี้ตอนซื้อบ้านก็ออกเงินเองอีก หนูรู้สึกว่า ไม่ควรจะเอาของใครมาเปล่าๆ แม่ก็ควรจะให้อะไรเพื่อเป็นหารแสดงความขอบคุณตอบกลับไปบ้าง”

“เงินที่บ้านลุงสามให้มาหนึ่งล้านเพื่อมายุติเรื่องราวนั่นในครั้งที่แล้ว หนูว่า เอาออกมาให้กับหลินอิ่งสักห้าแสนแล้วกัน”

จางฉีโม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“หนูจะเตรียมเงินอีกสักนิด เอาเงินที่เขาซื้อรถแล้วก็ค่าทำเรื่องธุรการ ทำการคืนเขาไปให้หมด ส่วนบ้าน หนูค่อยไปปรึกษากับเขาอีกที”

“นี่ลูกโง่หรือยังไง?”พอพูดถึงเรื่องเงิน สีหน้าของลู่หย่าฮุ่ยก็บึ้งตึงขึ้นทันที“นั่นเป็นสิ่งที่เขาควรจะทำอยู่แล้ว? ลูกคิดว่าเขามีจิตใจดีหรือไง? เคยบอกลูกก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าของพวกนี้ก็ได้มาจากบารมีของลูกทั้งนั้น มันเป็นสัจธรรมอยู่แล้ว กับการที่เขาต้องแสดงความกตัญญูต่อตระกูลของพวกเรา!”

“แถม เงินหนึ่งล้านนี่ มันก็เป็นเงินเลี้ยงดูตอนแก่ของแม่และพ่อ ต้องเก็บไว้”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ“ใครก็อย่าคิดจะเอาไปได้ ส่วนตัวลูกก็อย่าโง่ เอาเงินไปให้เขาอีก เขาเกาะกินไปไม่รู้ตั้งเท่าไรแล้ว!”

จางฉีโม่ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็กลับไปยังห้องเช่นเดียวกัน ดูแล้วตนเองคงจะต้องคิดหาวิธีเอาเงินนั้นให้กับหลินอิ่งเองซะแล้ว

……

เช้าวันต่อมา จางฉีโม่ก็ออกไปข้างนอกกับหลินอิ่ง

อู่เจิ้งได้ขับรถมาจอดอยู่ตรงประตูของชุมชนสุ่ยหยวนเรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองขึ้นรถไป อู่เจิ้งขับรถมุ่งหน้าไปยังเขตตัวเมือง

ที่นั่งข้างหลัง หลินอิ่งหลับตาทำสมาธิ ส่วนจางฉีโม่สีหน้าไม่ค่อยดี

“หลินอิ่งแม่ของฉันก็นิสัยแบบนี้แหละ คำพูดที่เธอพูด คุณอย่าเก็บไปคิดเลยนะ”จางฉีโม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครั้งนี้คุณอุส่าช่วยซื้อบ้าน แต่แม่ของฉันก็เอาแต่ตำหนิคุณอยู่แบบนี้ คุณคงจะต้องรู้สึกไม่พอใจแน่ๆเลยใช่ไหม?”จางฉีโม่พูดขึ้นด้วยความรู้สึกเกรงใจ

“ไม่หรอก”หลินอิ่งค่อยๆลืมตาขึ้น พูดขึ้นอย่างนิ่งๆ เขาไม่ขนาดที่จะไปถือสาอะไรมากมายขนาดนั้นกับแม่ของฉีโม่

จางฉีโม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“เงินที่คุณให้คนมาช่วยจัดการทำเรื่องธุรการให้ครั้งที่แล้ว แล้วก็เงินซื้อรถด้วย ฉันจะโอนให้คุณตอนนี้เลย แต่ว่าเงินสองล้านที่คุณจ่ายซื้อบ้านในครั้งนี้ ตอนนี้ฉันไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น ฉันว่า คุณเอาโฉนดบ้านไปเก็บไว้ที่ตัวคุณเองจะดีกว่านะ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท