ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 54อาจารย์หู

บทที่ 54อาจารย์หู

บทที่ 54อาจารย์หู

“ของที่อาจารย์หูนำมาปล่อยที่หมิงเป่าซวน ทุกครั้งล้วนเป็นของมีค่าที่ทำให้ผู้คนตะลึง ครั้งนี้ไม่ทราบว่าได้นำอะไรมาอีก” ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างนับถือ ตั้งตารอคอย

เวลาที่พูดกัน ชายหนุ่มสองก็ยุ่งกับของที่อาจารย์นำมา จัดวางบนโต๊ะเรียบร้อย เป็นภาพอักษรฝืนหนึ่ง แจกันสีขาวน้ำนมคู่หนึ่ง

“ทุกคนต่างก็สนิทสนมกันพอสมควรแล้ว น่าจะรู้ระเบียบของฉันนะ?” หูหมิงหยินพูดขึ้นเสียงเรียบ

“รู้ครับ รู้ครับ ระเบียบของอาจารย์หูพวกเรารู้กันดีครับ” ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งพูดขึ้น

“จะไม่รู้ได้อย่างไร? ระเบียบของอาจารย์หูนับว่าขึ้นชื่อในวงการเมืองชิงหยูนของเรา” คุณชายท่านหนึ่งพูดขึ้น “ขอให้เป็นของที่อาจารย์หูนำมา ใครถูกใจแล้วก็แจ้งราคา ถ้าคิดว่าตัวเองมีหน้าพอหรือมีความสามารถพอ ก็สามารถยื่นข้อเสนอได้ นำของมีค่ากลับมือเปล่าได้”

“แน่นอน ครั้งก่อนคุณชายสามของตระกูลซูน ได้หยกมรกตแกะสลักต้นสนราคาเก้าล้านไปจากอาจารย์หู และตกลงจะช่วยเหลืออาจารย์หูหนึ่งครั้ง” หญิงวัยกลางคนพูดขึ้น

“ทุกคนก็อย่าคิดจะเอาของมีค่าไปมือเปล่าเลย ก็ไม่ดูว่าคุณชายสามตระกูลซูนเป็นใคร? หนึ่งในผู้ถือกรรมสิทธิ์ของตระกูลซูน ในเมืองชิงหยูนจะมีใครสักกี่คนที่จะมีสิทธิ์แบบเขา?”

เพราะการมาเยือนของหูหมิงหยิน แขกในงานต่างก็พูดคุยสนทนากับขึ้นมา บรรยากาศก็ครึกครื้นขึ้นมา ต่างก็ใจจดใจจ่อรอของที่เขานำมา

“กฎระเบียบของหูหมิงหยินฟังแล้วก็น่าสนใจดี ยังยินดีให้ของสะสมราคาแพงไปแบบฟรี?” จางฉีโม่พูดขึ้นอย่างสงสัย สายตาเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่

“ฉีโม่ เธอไม่รู้แล้วซิ? นี่ก็คือความไม่ธรรมดาของหูหมิงหยิน ใจเด็ดมาก” จางหงอี้ยิ้มพูด อธิบายอยู่ข้าง ๆ “ของที่หูหมิงหยินนำมาปล่อย ขอให้มีคนเสนอราคา ไม่ว่าราคาสูงหรือต่ำ ขอให้เขาพอใจเป็นอันตกลง อีกอย่างของสะสมที่เขาให้ฟรี นั่นคือบุญคุณ มีค่ากว่าเงินทองอีก”

“กฎระเบียบของเขาถือว่ามีชื่อเสียงในวงการทีเดียว ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวที่หมิงเป่าซวน ล้วนทำให้บรรยากาศครึกครื้นผู้คนติดตามกันมากมาย ชื่อเสียงก็มีแล้ว มนุษยสัมพันธ์ก็มีแล้ว คนมีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนไม่น้อยที่ติดหนี้บุญคุณเขา” จางหงอี้พูดเสียงเรียบ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความนับถือ

“ฟังแล้วก็คงเป็นแบบนี้” จางฉีโม่พยักหน้าเบา ๆ

“ได้เลย ทุกท่าน วันนี้ผมนำของมาสองชิ้น ท่านที่สนใจก็แจ้งราคาได้เลย” หูหมิงหยินพูดขึ้นเสียงเรียบ ให้ลูกศิษย์หนุ่มสองคนที่ตามมาชงชาเหยือกหนึ่ง นั่งชิมชาอย่างสบาย

พอพูดจบ แขกในงานต่างลุกขึ้น สีหน้าจริงจังล้อมอยู่รอบโต๊ะไม้แดงเพื่อดูของที่เขานำมา

“ของที่อาจารย์หูนำมาไม่ธรรมดาจริง ๆ พูดตามตรง จากประสบการณ์ของผมเองแล้วไม่กล้าประเมินของสองชิ้นนี้ว่าจริงหรือปลอม เพราะที่มาไม่ธรรมดา” นักสะสมใส่แว่นท่านหนึ่งพูดขึ้น

“ถือเป็นบุญตาแล้ว ของสะสมสองชิ้นนี้จริงหรือปลอม ผมก็ไม่กล้าประเมิน”

“น่าเสียดาย ของสองชิ้นนี้ไม่ว่ายังไง ผมคงเสนอราคาที่อาจารย์หูพอใจไม่ได้”

แขกในงานชมกันเสร็จแล้ว ล้วนเหมือนยังดูไม่พอ สีหน้าต่างกัน เสียงทึ่งต่างกันไป

เห็นชัดว่า ของสะสมสองชิ้นที่หูหมิงหยินนำมา ไม่ธรรมดาแน่นอน

“แค่ก แค่ก” หวางจื่อเหวินยืนสังเกตข้างโต๊ะไม้แดงไปครู่หนึ่ง สายตาเล่นสนุกมองไปที่หลินอิ่ง “ผู้เชี่ยวชาญหลินทำไมไม่เดินมาดูหน่อยหรือ? มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับภาพวาดนี้ไหม?”

“ใช่ ผู้เชี่ยวชาญหลิน คุณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรอกหรือ? ของที่ทุกคนต่างไม่กล้าประเมิน ได้เวลาแสดงของคุณแล้ว ไม่แสดงความเห็นของคุณดูหน่อยหรือ” พอหวางจื่อเหวินพูด ฉินเฟยก็รีบพูดขึ้นอีกคน มองหลินอิ่งแล้วพูดขึ้น

“ภาพวาดของชูเวย ของจริง” หลินอิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ สั้นและชัดเจน

“พวกเราผู้เชี่ยวชาญตั้งเยอะดูใกล้ขนาดนี้ ดูไปครู่ใหญ่ ไม่มีใครกล้าสรุป คุณดูอยู่ตั้งไกลแค่นี้สรุปได้ทันที? คุณจะอวดดีไปไหม?” นักสะสมชราคนหนึ่งพูดขึ้น รู้สึกวิธีการสรุปของหลินอิ่งเหมือนดูถูกพวกเขา

“เหอะ นี่มันคุณสมบัติขยะอะไรของนาย? มีใครไม่รู้ว่านี่คือภาพวาดของชูเวย?” หวางจื่อเหวินพูดขึ้นอย่างได้ใจ และถามขึ้นอย่างคิดสนุก “ถ้านายบอกว่าเป็นของจริง? แล้วนายดูออกจากตรงไหน? ว่านี่คือภาพวาดของชูเวย มีจุดพิเศษตรงไหน? พูดซิ”

หลินอิ่งยิ้มไม่ตอบ ชิมชาในมือ ไม่ให้คำอธิบาย

“พูดไม่ออกแล้วซิ? ไม่รู้แล้วใช่ไหม? ฉันยังนึกว่านายจะแก่งขนาดไหน ดูท่าแล้วคงได้แต่เดา” หวางจื่อเหวินหันไปหัวเราะเยาะหลินอิ่ง แล้วหันไปยิ้มให้แขกในที่นั่งพิเศษ

หวางจื่อเหวินชี้ไปที่ภาพวาดบนโต๊ะไม้แดง พูดขึ้นอย่างมั่นใจ “ภาพวาดสายสมกับต้นกล้วยนี้ คือภาพจริงจากชูเวยราชวงศ์หมิง ”

หวางจื่อเหวินท่าทางมั่นใจ พูดขึ้นช้า ๆ “ผมพอจะศึกษามาบ้างสำหรับภาพวาดโบราณ ชูเวยเป็นนักปราชญ์หนึ่งในสามของราชวงศ์หมิง มีสมญานามว่าชิงเถิง ภาพวาดของเขานั้นมีรูปแบบลักษณะเด่นของเขาเอง นับเป็นปรมาจารย์เลย และถนัดวาดแนวดอกไม้”

“สมัยเด็กผมก็ติดตามคุณปู่ได้เห็นผลงานจริงของชูเวยไม่น้อย มีดอกบัว ใบไผ่ องุ่น และดอกไม้ต่าง ๆ ค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกับพวกนี้ ภาพวาดของชูเวยมีความตระหง่าน ตรงไปตรงมา และละเอียดอ่อน ภาพที่อาจารย์หูนำมาภาพลมฝนกับต้นกล้วยนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝีมือ และความรู้สึก จนถึงความละเอียดอ่อน ล้วนเป็นจุดเด่นและตัดสินใจได้ว่าคือภาพจริงของชูเวย

พูดจบ หวางจื่อเหวินก็ได้ใจ ถามขึ้น “ไม่ทราบว่าทุกท่านมีความเห็นอย่างไร?”

“เยี่ยมมาก คุณชายหวางสมควรที่มาจากครอบครัวนักสะสม ความรู้ลึกซึ้ง ใช้เวลาสั้น ๆก็ประเมินได้ว่าเป็นของจริง อย่างมีข้อมูล ความเห็นตรงกับพวกเราเลยครับ” ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งตบมือพูดขึ้น เห็นด้วยอย่างยิ่งกับความเห็นของหวางจื่อเหวิน

“ที่คุณชายหวางพูดมา ถูกต้องครับ” หูหมิงหยินพยักหน้าพูด เห็นด้วยกับคำพูดของหวางจื่อเหวิน

เห็นเหตุการณ์แล้ว จางหงอี้ก็ยิ้มขึ้น พูดขึ้นกับจางฉีโม่ “ฉีโม่ ความรู้ของจื่อเหวินไม่ธรรมดานะ ไม่เหมือนคนไร้ค่าอย่างหลินอิ่ง ไม่รู้แล้วยังอวดรู้ เธอบอกเขาอย่าพูดอีก ไม่มีความรู้ยังพูดไปเรื่อย ไม่รู้จักดูว่านี่มันที่ไหน เขาล้วนมาจากตระกูลผู้ดีนักสะสม รู้แค่นั้นทำมาอวดดีอีก ชั่งไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

หลินอิ่งไม่อยากสนใจจางหงอี้ แต่กลับดูแจกันคู่นั้นบนโต๊ะไม้แดง

“คุณชายหวางถ้าประเมินออกแล้ว คงเตรียมตัวจะออกราคาให้กับภาพลมฝนกับต้นกล้วยนี้แล้วซิ?” คุณชายท่านหนึ่งถามขึ้น

“ภาพลมฝนกับต้นกล้วยนี้ อย่างต่ำก็ต้องประมาณห้าล้าน ดูแล้วคุณชายหวางคงมีความคิดอะไรแล้ว” ผู้เชี่ยวชาญสูงอายุท่านหนึ่งพูดขึ้น

หวางจื่อเหวินยิ้ม ท่าทางภูมิใจพูดขึ้น “ไม่ครับ ทุกท่าน ภาพลมฝนกับต้นกล้วยนี้ก็ดี มูลค่าก็สูง แต่ผมยังไม่ถูกใจ ผมสนใจแจกันคู่นี้มากกว่า มันน่าสนใจกว่า

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท