ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 61 ทำให้ตกใจกลัว

บทที่ 61 ทำให้ตกใจกลัว

บทที่ 61 ทำให้ตกใจกลัว

“นายพูดอะไรนะ?”

หวางหงหลิงเบิกตากว้างจ้องมองหลินอิ่ง และไม่อยากเชื่อในสิ่งที่หูตัวเองได้ยินมา คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะกล้าพูดว่า ผู้หญิงที่ทั้งสวยและฉลาดอย่างเธอไม่เหมาะสมที่จะเป็นเพื่อนกับเขา

“บังอาจ! หลินอิ่ง นายรนหาที่ตายชัดๆเลย! แกกล้าพูดแบบนี้กับคนฐานะแบบนี้ได้ยังไง? เธออุตส่าห์ให้เกียรติกับนาย นายกล้าดียังไงพูดว่า เธอไม่เหมาะสมเป็นเพื่อนกับนาย?” หูหมิงหยินพูดด้วยน้ำเสียงโมโหขึ้น

ในมุมมองของเขาแล้ว ต่อให้ไม่มองที่ฐานะ และตัวเองไม่ได้ออกหน้าช่วย หลินอิ่งคนขี้ขลาดตาขาวและไม่มีความสามารถควรจะยินดีถึงจะถูก

แต่คิดไม่ถึงว่า หลินอิ่งจะบังอาจขนาดนี้!

“หลินอิ่ง ฉันว่านายคือคนโง่” หวางหงหลิงเผยสีหน้าขุ่นเคืองขึ้น พร้อมกับกันริมฝีปากเล็กน้อย

“จับตัวคนที่น่ารังเกียจคนนี้ ฉันต้องการสั่งสอนสักหน่อย!” หวางหงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น

ตึง!

ผู้ชายสวมชุดดำที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ข้างนอกเปิดประตู และกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ปืนสองกระบอกเล็งอยู่แผ่นหลังของหลินอิ่งอย่างมั่นคง และอยู่ห่างเพียงไม่เกินหนึ่งเมตรเท่านั้น

ผู้ชายสวมชุดดำสองคนเผยสายตาแหลมคม พร้อมถือปืนด้วยท่าทางเชี่ยวชาญ

“หืม” หวางหงหลิงแค้นเสียงประชดขึ้น แล้วจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา

“ตอนแรกฉันต้องการคุยธุระกับนายดีๆ แต่ทำไมถึงไม่รู้จักมารยาทบ้าง” หวางหงหลิงยิ้มและพูดต่อว่า “ตอนนี้นายรีบขอโทษยอมรับผิดกับคุณหนูเดียวนี้”

“อับอายแค้นใจจนโมโหเลยหรอ?” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงหัวเราะเยาะ จนแทบไม่สนใจนักฆ่ามืออาชีพสองคนที่อยู่ข้างหลังเลย

เขาไม่ชอบมีเพื่อนตั้งแรกไหนแต่ไรแล้ว บนโลกนี้มีไม่กี่คนที่พอเข้าตาเป็นเพื่อน ซึ่งนี่เป็นความจริง

“นาย!” หวางหงหลิงเบิกตากว้างจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาขุ่นเคือง เขาถึงกับนิ่งอึ้งกับคำพูดของหลินอิ่ง

คิดไม่ถึงว่า หลินอิ่งที่ถูกปืนเล็งหลังหัวอยู่จะยังบังอาจและเผยท่าทางผ่อนคลายไม่ตื่นตระหนก

“หลินอิ่ง นายคงไม่ใช่คนโง่จริงๆหรอกใช่ไหม?” หวางหงหลิงมองประเมินหลินอิ่งอีกครั้ง พร้อมกับเผยสายตาสงสัย เธอยังไม่เคยเจอผู้ชายที่แปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อนเลย

เธอคิดยังไงก็คิดไม่ออก หลินอิ่งมีตรรกะความคิดแบบไหนกัน

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย เหล่าคุณชายตระกูลใหญ่หลายคนต่างพากันกลัวตาย จนแทบไม่กล้าพูดคำพูดไม่รื่นหูแม้แต่คำเดียว และไม่มีใครกล้าอวดดีและบังอาจเหมือนหลินอิ่งด้วย!

แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ ทั้งที่มีปืนจ่อหัวอยู่ แต่หลินอิ่งกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวและตื่นตระหนกเลย!

“เอาลูกน้องของคุณไสหัวออกไป” หลินอิ่งพูดต่อว่า “เห็นแก่คุณเป็นผู้หญิง ผมจะไม่ถือสาว่าความล่ะกัน”

“ฮ่าฮ่า” หวางหงหลิงยกมือขึ้นมาปิดปาก เพราะกลั้นหัวเราะไม่ไหว เธอรู้สึกว่า หลินอิ่งเป็นคนตลกจริงๆ

“หลินอิ่ง ฉันคิดว่านายคงมีปัญหาทางด้านสมองแน่เลย!” หูหมิงหยินพูดขึ้น และคิดไม่ออกว่าหลินอิ่งจะมีความสามารถอะไร “ฉันนึกว่านายเป็นคนที่ไม่มีความคิดความอ่าน แต่สมองอย่างนาย ไม่รู้จริงๆว่าเรียนรู้การวิเคราะห์อัญมณีแบบนั้นได้ยังไงกัน”

“คุณหนูครับ ผมแทบไม่ต้องการคนประเภทนี้มาสมทบเลยครับ ความรู้รอบตัวก็ไม่มี เขาเป็นแค่คนโง่คนหนึ่งครับ” หูหมิงหยินเผยสายตาลังเล และพูดขึ้นว่า “ฉันสงสัย หมิงเป่าซวน สมองของเขาได้รับการกระทบกระเทือนหรือเปล่า ถึงบอกว่า ขวดเซรามิคนั้นเป็นของปลอม แล้วตีมันจนแตก ซึ่งเรื่องแบบนี้แทบไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าวิเคราะห์ได้เลย”

หวางหงหลิงยิ้มเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า : “หรือว่าฉันให้นายจัดการทุกอย่างเคร่งครัดเกินไป ทำให้เจ้าโง่นั้นมองแผนการออก? ช่างน่าขำจริงๆ”

“คุณหนูครับ อาจจะเป็นไปได้ครับ” หูหลิงหยินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง และส่ายหน้าเล็กน้อย “ผมนึกว่าผมได้เจอกับผู้วิเศษ ทำให้ผมตกใจ แต่คิดไม่ถึงว่า ขอปลอมที่ถูกผลิตมาอย่างประณีตด้วยทีมงานทีมยอดเยี่ยม จะถูกมองออกเพียงแวบเดียว คิดไม่ถึงเลยว่าเป็นไอ้โง่คนนี้”

“ไอ้หก ไอ้เจ็ด พวกนายสองคนพาเขาลงไปสั่งสอนข้างล่างตึก จากนั้นทิ้งตามริมถนน” หวางหงหลิงส่ายมือ และพูดขึ้นด้วยท่าทางหมดอารมณ์

ตอนแรกเธอนึกว่าพบกับผู้ชายที่น่าสนใจแล้ว เลยพูดกับหลินอิ่งมากขนาดนี้

แต่ตอนนี้ดูเหมือนหลินอิ่งจะเป็นแค่คนที่มีปัญหาทางสมองเท่านั้น

เธอเองก็รู้สึกสงสารหลินอิ่งเล็กน้อย เขาไม่เพียงถูกพ่อแม่ดูถูก แถมสมองยังมีปัญหาด้วย แต่เพราะเป็นคุณหนูแห่งตระกูลหวาง เลยขี้เกียจสนใจแมลงที่น่าสงสารและโง่เขลาแบบนี้

“แฟลบ!”

แต่ขณะที่หวางหงหลิงหมดความสนใจนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ทำให้เธอถึงกับตกใจช็อกขึ้น

ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด ที่เป็นนักฆ่าจอมโหดสองคนล้มลงนอนบนพื้น ขณะเดียวกันปืนทั้งสองกระบอกก็ตกอยู่ที่เท้าของหลินอิ่งด้วย

“เกิดอะไรขึ้น?”

หวางหงหลิงถึงกับสะดุ้งตกใจ เธอแทบไม่รู้เลยว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น เธอเห็นเพียงหลินอิ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตา ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ดก็ล้มลงบนพื้น พร้อมกับส่งเสียงร้องน่าเวทนาขึ้น

แต่ปัญหาคือ หลินอิ่งแทบไม่หันหลังเลย และแทบไม่เหลือบตามอง ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด เลย แล้วทำแบบนั้นได้ยังไงกัน?

หลินอิ่งยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับตัว พร้อมกับยิ้มและจ้องมองหวางหงหลิง

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางแบบนี้ของหลินอิ่ง หวางหงหลิงก็ถึงกับเปลี่ยนสีหน้าทันที

เธอรู้ถึงความสามารถของลูกน้องตัวเองเป็นอย่างดี

พวกเขาสองคนเป็นพี่น้องแฝดกัน ถูกเลี้ยงดูสั่งสอนจากกลุ่มนักฆ่าอเมริกามาตั้งแต่เด็ก และถูกฝึกฝนอย่างเข้มงวดโดยคนที่เคยติดคุก ตอนอายุสิบหกสิบเจ็ดปีเคยถูกทิ้งที่เกาะร้างแห่งหนึ่ง แบะถูกนำตัวไปเข้าร่วมค่ายนักฆ่าที่โหดเหี้ยมกับเด็กกำพร้าคนอื่นๆ สุดท้ายกลายเป็นราชาแมลงพิษ จากนั้นก็เริ่มรับภารกิจ

ไม่กี่ปีต่อมาทั้งสองคนไปทำงานแถวทวีปแอฟริกาและแถมตะวันออกกลางด้วยตัวเอง และได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองจากการผ่านสงครามทีสายฝนเป็นลูกกระสุน จนสุดท้ายกลายเป็นนักฆ่าที่โด่งดังระดับโลก!

นับตั้งแต่ทำงานกับตัวเองมา พวกเขาสองคนสามารถช่วยลดความยุ่งยากให้กับเธอมากจนจำไม่ได้เลย สามารถพูดได้ว่า ในเมืองชิงหยูน ยังไม่มีใครสามารถต่อกรกับ ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด ได้เลย ส่วนใหญ่สามารถต่อกรศัตรูทุกคน ไม่เคยพ่ายแพ้เลยสักครั้ง

แต่ตอนนี้คิดไม่ถึงว่า ในสถานการณ์ที่ ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด กำลังเล็งปืนจากข้างหลัง กลับถูกหลินอิ่งจัดการแทน!

“นี่นาย! นายกล้าทำร้ายลูกน้องของคุณหนูหรอ?” หูหมิงหยินเองก็ตกใจนิ่งอึ้งเหมือนกัน แต่เมื่อดงสติกลับมาก็โมโหเดือดดาลขึ้น

“นายอย่าคิดว่า พึ่งพาทักษะการต่อสู้อันน้อยนิดนี้จะสามารถบังอาจได้นะ! รอก่อนเถอะ ฉันจะลงไปเรียกบอดี้การ์ดข้างล่างมาจัดการนาย!” หูหมิงหยินพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้น แล้วรีบเดินออกจากประตูลงไปเรียกลูกน้องมาจัดการหลินอิ่ง

ตึง!

หลินอิ่งฟาดมือตบลงหลังคอของหูหมิงหยินหนึ่งที หูหมิงหยินถึงกับสะดุ้ง และรู้สึกร่างกายอ่อนแรง สุดท้ายสลบหมดสติลงบนพื้น

หวางหงหลิงขยับริมฝีปากเล็กน้อย และจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ จู่ๆก็รู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ไม่ธรรมดา!

จนทำให้เธอรู้สึกเสียวสันหลังขึ้น

หลินอิ่งยิ้มจางๆ แล้วค่อยๆเดินไปหาหวางหงหลิง

“คุณคิดจะทำอะไรหรอ?” หวางหงหมิงพูดด้วยท่าทางตื่นตระหนกขึ้น

“นายอย่ามานะ! ถ้านายกล้าเดินเข้ามาอีก ฉันจะร้องเรียกคน!” หวางหงหมิงเผยสีหน้าแดงก่ำ ภายในห้องเหลือเพียงสองคน ซึ่งไม่รู้เลยว่าหลินอิ่งคิดจะทำอะไร

เธอยกมือกอดอกด้วยท่าทางสั่นเทาเหมือนผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่ง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท