ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 62 ซักถาม

บทที่ 62 ซักถาม

บทที่ 62 ซักถาม

“หลินอิ่ง นายอย่าเข้ามานะ! ฉันเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวางเลยนะ! อย่าคิดทำเรื่องสกปรกนะ ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้ฉันจะจับนายโยนทิ้งลงในแม่น้ำชิงหยูน!”

หวางหงหลิงกัดฟันพูดข่มขู่ขึ้นเพื่อแสดงความน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมด้วย

แต่ดูเหมือนหลินอิ่งแทบไม่ฟังสิ่งที่เธอพูดเลย ในตอนนี้เขาเดินมาเบื้องหน้าเธอแล้ว

หวางหงหลิงก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับหลินอิ่ง

จากนั้นหลินอิ่งก็ยกมือขึ้นจับคางของหวางหงหลิง แล้วยกคางเธอขึ้นมา

“ผมแค่อยากให้คุณเข้าใจว่า คุณไม่สามารถทำอะไรผมได้” หลินอิ่งพูดขึ้น

หวางหงหลิงมีสีหน้าแดงก่ำเหมือนลูกแอปเปิ้ล เพราะท่าทางและคำพูดของหลินอิ่งช่างน่าหวาดกลัวมาก!

จากนั้นเธอก็เผยสีหน้าหนักแน่นขึ้น กัดฟันพร้อมกับจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาขุ่นเคือง มีใครบ้างกล้าบังอาจกับลูกสาวแห่งตระกูลหวาง?

อย่าแม้แต่เตะต้องตัวเธอเลย แม้แต่ชี้หน้าเธอก็ยังไม่มีใครกล้าเลย!

หลินอิ่งจ้องมองใบหน้าที่เดิมทีสะสวยเปลี่ยนเป็นสีหน้าอวดดีและโมโห เธอเผยสายตาขุ่นเคืองและน่าหวาดกลัวเหมือนกับนักเรียนทำผิดมา แต่ไม่ยอมถูกครูสั่งสอน

“ผมก็นึกว่าคุณหนูตระกูลหวางเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง สามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ แต่ดูเหมือนคุณเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาเท่านั้น” หลินอิ่งยิ้มจางๆ แล้วหันหลังจากไป

เมื่อได้ยินหลินอิ่งพูดแบบนี้ หวางหงหลิงก็ยิ่งอารมณ์ขึ้นจนหน้าแดงก่ำ

น่าอับอายยิ่งนัก!

“นายรังแกฉัน? แถมยังกล้าดูถูกฉันอีก?” หวางหงหลิงเผยท่าทางไม่ยินยอม ลุกขึ้นและตะคอกว่า “หลินอิ่ง นายอย่าไปไหน! มาคุยกับฉันให้รู้เรื่องก่อน!”

แต่หลินอิ่งเดินลงไปข้างล่างไม่เห็นร่องรอยแล้ว

หวางหงหลิงกลับไปนั่งที่เดิม พร้อมเผยสีหน้าขุ่นเคือง

เธอยื่นมือจับคางของตัวเอง เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“คิดไม่ถึงว่าเขาจะปฏิบัติตัวต่อเธอแบบนี้?” หวางหงหลิงพูดขึ้น แต่จู่ๆเธอก็นึกถึงตอนที่หลินอิ่งจับคางของเธอขึ้น จากนั้นใบหน้าของเธอก็แดงระเรื่อเล็กน้อย

“ช่างน่าขยะแขยง ทำเกินไปแล้ว!” หวางหงหลิงกำมือออกหมัดกลางอากาศ แล้วกัดฟันอย่างแน่นด้วยท่าทางไม่ยินยอม

เธอยังไม่เคยถูกผู้ชายสัมผัสมาก่อนเลย แม้กระทั่งใบหน้า!

จากความทรงจำตั้งแต่ยังเด็กของเธอแล้ว เธอมีฐานะสูงส่งมาโดยตลอด ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีคนรุมล้อมประจบประแจง และไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนของเมืองชิงหยูนล้วนได้รับความสนใจ!

อีกทั้งได้รับความเอ็นดูจากคุณท่านและพ่อ เลยแทบจะไม่เคยได้ถูกกลั่นแกล้งเลยสักครั้ง!

“หรือว่าเขาไม่กลัวฉัน? ไม่กลัวตระกูลหลง?” หวางหงหลิงทำปากมุ้ย คิดยังไงก็คิดไม่ออก หลินอิ่งเอาความกล้ามาจากไหนบังอาจแบบนี้กับเธอ แถมยังสัมผัสตัวเธอด้วย…..

ไม่รู้เหมือนกันว่าหวางหงหลิงคิดอะไรอยู่ เดียวเธอก็โมโห เดียวเธอก็เขินอาย สีหน้าเปลี่ยนแปลงตลอด เธอนั่งอยู่ที่เดิมมาได้สิบนาทีกว่าแล้ว

“คุณหนูครับ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” หลังจากที่ ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด ฟื้นคืนสติก็สะดุ้งตกใจ รีบลุกขึ้นพูดกับหวางหงหลิงทันที

“คุณหนู หลินอิ่งหนีไปแล้วหรอครับ? เขาไม่ได้เสียมารยาทกับคุณใช่ไหมครับ?” หูหมิงหยินก็ฟื้นคืนสติเหมือนกัน พร้อมกับเผยสีหน้ากังวลซักถามขึ้น

“หืม! อย่าพูดถึงคนนี้อีก แค่พูดถึงฉันก็อารมณ์ขึ้นทันที!” หวางหงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น

“คุณหนู ผมสมควรตาย! ไม่สามารถปกป้องความปลอดภัยของคุณหนูได้ ได้โปรดลงโทษผมด้วยครับ!” ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด พูดด้วยท่าทางละอายใจขึ้น

ทั้งสองคนก้มหน้าเผยสีหน้าละอายใจ ในฐานะบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันคุณหนู เมื่อทำงานผิดพลาดก็รู้สึกไม่มีหน้าเผชิญหน้ากับคุณหนู

“ช่างเถอะ ความสามารถไม่เพียงพอ ไม่โทษพวกนายหรอก!” หวางหงหลิงถอนหายใจ และพูดขึ้น เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด นับว่าเป็นนักฆ่าระดับโลกแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลินอิ่งจัดการได้อย่างง่ายดาย ตกลงคนๆนี้มีพื้นเพแบบไหนกัน?

เมื่อได้ยินหวางหงหลิงพูดแบบนี้ ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด ก็ยิ่งมีสีหน้าละอายใจมากขึ้น ทั้งสองคนหันหน้าสบตากัน แล้วคุกเข่าลง

“คุณหนู ชีวิตของพวกเราสองคนมีชีวิตอีกครั้งเพราะคุณหนู การที่ทำงานพลาดครั้งนี้คงทำให้คุณหนูอับอายมาก พวกเราสองคนพี่น้องก็ไม่มีหน้ามีชีวิตต่อแล้ว” ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด กัดฟันแน่นด้วยความรู้สึกลำบากใจ

ในฐานะเป็นนักฆ่าที่ผ่านการฝึกฝน พวกเราย่อมรู้ดีไปกว่าใคร หากนักฆ่าคนหนึ่งพลาดท่านั้นหมายถึงอะไร

“คุณหนู หลินอิ่งกล้าบังอาจขนาดนี้ เราต้องสั่งสอนเขาสักหน่อย! เรื่องนี้มอบให้ผมจัดการเถอะ ผมจะสั่งสอนเขาจนเขาต้องกลับมาขอโทษคุณหนูเลยครับ” หูหมิงหยินพูดขึ้นด้วยท่าทางขุ่นเคือง

หวางหงหลิงไม่พูดอะไร เอาแต่กัดฟันกัดริมฝีปาก พร้อมจ้องมองข้างหน้าด้วยสายตาโมโหเดือดดาล

“เจ้าคนนั้นสมควรตาย!”

หูหมิงหยินไม่กล้าพูดอีก เพราะเห็นคุณหนูมีท่าทางขุ่นเคือง!

“คุณหนูครับ ได้โปรดให้โอกาสผมอีกครั้งนะครับ ให้ผมกับ ไอ้เจ็ด จัดการเรื่องนี้นะครับ ครั้งนี้ผมจะทำให้เต็มความสามารถเลยครับ!” ไอ้หก พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้น พร้อมเผยสายตาอาฆาตขึ้น

ถึงแม้พวกเขารู้ว่า หลินอิ่งจะมีฝีมือไม่ธรรมดา และอาจจะสู้ไม่ชนะ แต่ถ้าหากพวกเขาพวกเขาใช้ปืนสุ่มยิง ต่อให้หลินอิ่งมีความสามารถแค่ไหนก็ไม่รอดจากเอื้อมมือเขา!

“ไม่อนุญาตฆ่าเขา!” จู่ๆหวางหงหลิงก็ตะคอกขึ้น

“ห่ะ….คุณหนู ไม่ได้อยากฆ่าเขาหรอครับ?” ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด หันหน้าสบตากันด้วยสีหน้าสงสัย และไม่เข้าใจสถานการณ์

“คุณหนูหมายความว่าอะไรนะครับ?” หูหมิงหยินซักถามขึ้น

“ถึงยังไงก็ฆ่าเขาไม่ได้ และอย่าไปหาเรื่องเขาด้วย!” หวางหงหลิงพูดด้วยความรำคาญใจ เมื่อครุ่นคิดสักพักก็พูดขึ้นว่า “ไอ้หก ไอ้เจ็ด พวกนายไปสืบมาให้หน่อยว่า หลินอิ่งทำงานอยู่ที่ไหน พักอยู่ที่ไหน กินข้าวที่ไหน ทุกวันทำอะไรบ้าง?”

“คุณหนูวางใจได้ พวกเราจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวังอีก!” ไอ้หก พูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น

“เอาล่ะ พวกนายออกไปได้แล้ว อ๋อ แล้วเอาชาแดงมาให้ฉันด้วย” หวางหงหลิงส่ายมือและพูดขึ้น

หลังจากทั้งสามคนจากไป หวางหงหลิงก็เปลี่ยนสีหน้า แล้วดื่มชาต่อเนื่อง

“เขาก็น่าสนใจดีเหมือนกัน ไม่เหมือนกับคนที่เธอเคยเจอมาก่อนเลย” หวางหงหลิงนั่งเหม่อลอย ขณะเดียวกันในหัวสมองก็มีร่างผู้ชายคนนั้นปรากฏขึ้น

สำหรับหวางหงหลิงแล้ว คนที่เคยเจอตัวเองเมื่อก่อนล้วนต่างเกรงอกเกรงใจ หวาดกลัวต่อเธอ ซึ่งไม่มีความน่าสนใจเลย นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอเจอคนประเภทหลินอิ่ง…….

……

ส่วนอีกด้าน หลังจากหลินอิ่งออกจากร้านชาหงฮุย ก็โบกมือเรียกแท็กซี่กลับชุมชนสุ่ยหยวน

เมื่อถึงหน้าประตูบ้าน เขาก็หยิบกุญแจเปิดประตูขึ้น จู่ๆไฟในบ้านก็สว่างขึ้น และพบกับตาแก่ที่กำลังนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางเคร่งขรึม เหมือนกับกำลังพิจารณาคดีในศาล ส่วนจางฉีโม่นั่งด้านข้างบนโซฟาดูโทรศัพท์อยู่ด้วยท่าทางหมดอารมณ์

“หลินอิ่ง! นายยังกล้ากลับบ้านอีกหรอ?” ลู่หย่าฮุยเผยสีหน้าขุ่นเคือง แล้วลุกขึ้นยืนซักถามว่า “ฉันนึกว่านายก่อเรื่องแล้วหนีไปซะอีก!”

“เรื่องที่นายไปก่อมาฉันยังไม่ขอถาม แต่บอกมาก่อนว่า เมื่อคืนนายหายไปไหนมา? ตกลงไปทำเรื่องชั่วอะไรข้างนอก?” ลู่หย่าฮุยซักถามขึ้น

“คือผม….” ขณะที่หลินอิ่งจะพูด

“เดียวก่อน! ทำไมฉันถึงได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงบนตัวนาย?” ลู่หย่าฮุยมองประเมินหลินอิ่งด้วยสายตาสงสัย แล้วเดินมาดมใกล้ๆ

“เอาล่ะ! ไม่อยากจะเชื่อเลย!” ลู่หย่าฮุยหัวเราะด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองขึ้น แล้วหันหน้ามองจางฉีโม่ “จางฉีโม่ หยุดดูโทรทัศน์ได้แล้ว เธอเดินมาดูหน่อย ลูกสาว ฉันจำได้ว่าเธอไม่เคยใช้น้ำหอมกุหลาบใช่ไหม?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท