ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 82เลือด

บทที่ 82เลือด

บทที่ 82เลือด

“ตอบมา ว่าคุณพาคนมาเท่าไหร่? แล้วพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ส่วนไหนของเมืองชิงหยูน?” หลินอิ่งพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบ “อีกอย่าง บอกมาด้วยว่าตระกูลเหวินใช้วิธีอะไรในการโค่นล้มตระกูลฉี? และใครกันที่อยู่เบื้องหลังของตระกูลเหวิน!”

“ฮึๆฮึ!” เหวินเป้าขำออกมาอย่างเย็นชา เพราะกรามที่กำลังชา ทำให้เสียงที่พูดออกมาฟังดูแปลกๆ “คุณคิดว่าผมจะยอมบอกเหรอ? ต่อให้คุณรับปากว่าจะปล่อยผมไปก็เถอะ แล้วคุณคิดว่าผมจะเชื่อใจคุณอย่างนั้นเหรอ? ฆ่าผมซะเถอะ ในเมื่อตอนนี้ทำงานพลาดไปแล้วผมก็ไม่คิดจะอยู่ต่ออีก!”

หลินอิ่งเองก็ขำออกมาอย่าไม่สบอารมณ์ “เมื่อผมได้ข้อมูลที่ตัวเองต้องการแล้ว ผมก็จะปล่อยให้คุณจากไปอย่างมีความสุข ผมรู้ดีว่านักฆ่าที่ถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กอย่างคุณ ความตายคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยสินะ แม้แต่นักสอบสวนมืออาชีพก็คงทำอะไรคนอย่างคุณไม่ได้หรอก”

“ถ้าคุณเข้าใจแล้วก็ดี เพราะไม่ว่ายังไงคนของตระกูลเหวินก็ต้องแก้แค้นให้ผมอยู่แล้ว ผมจะไปรอคุณอยู่ในยมโลกก่อนแล้วกัน!” เหวินเป้าขำฮึออกมา แววตาราวกับ อสรพิษ “ต่อให้คุณทำลายกลุ่มของผมไปแล้วมันจะยังไง? ไม่ว่ายังไงก็จะมีคนใหม่ตามมาฆ่าคุณอีกไปตลอดชีวิต! ต่อให้คุณหนีออกจากเมืองชิงหยูนไป หรือจะหนีไปจนสุดขอบฟ้า มันก็ไม่มีความหมาย! ลูกนอกคอกของตระกูลฉีอย่างคุณ จะช้าหรือเร็วยังไงก็ต้องตายอยู่ในเงื้อมมือของตระกูลเหวินอยู่ดี!”

รังสีอำมหิตสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนแววตาของหลินอิ่ง “ตั้งแต่เล็กจนโต มาได้เรียนรู้การทรมานเพื่อเค้นความลับมากมายหลายวิธี แต่ผมก็ยังไม่เคยได้ลองกับคนจริงๆสักที วันนี้ผมจะเอามันมาลองใช้กับคุณให้หมดเลย ดูสิว่าคุณจะทนได้สักกี่น้ำ!”

พูดจบ ตะเกียบในมือของหลินอิ่งก็ได้หลุดออกจากมือ ไปเสียบอยู่ที่สะบักของเหวินเป้า คาอยู่ตรงนั้นราวกับเข็มเล่มใหญ่

จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าไปดึงตัวเหวินเป้าที่ไร้เรี่ยวแรงให้ยืนขึ้น จนกระดูกของเหวินเป้าดังลั่น จากนั้นเขาก็รัวหมัดเข้าไปยังจุดสำคัญของเหวินเป้าอีกหลายที

จากนั้นก็จับเหวินเป้าห้อยหัวแล้วมัดขาไว้กับราวระเบียง เหลือไว้เพียงขาเท่านั้นที่ยังติดกับตัวอาคารอยู่ ทำเอาเลือดลมของเหวินเป้าต้องไหลย้อนกลับกันเลยทีเดียว

เหวินเป้าสีหน้าซีดเผือด เหงื่อไหลเต็มหน้า เห็นแล้วทรมานน่าดูจนต้องครวญครางออกมา ตอนนี้เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัวราวกับว่ามีมีดนับพันนับหมื่นเล่มกำลังกรีดแทงเขาอยู่ ความเจ็บปวดค่อยๆ กัดกินหัวใจ บาดแผลที่อยู่ตรงสะบัดก็กำลังมีเลือดสดๆ ไหลออกมา………

“คุณสามารถทนจนเลือดไหลหมดตัวได้รึเปล่านะ?” หลินอิ่งเพิ่มแรงกดดันทางจิตใจเข้าไปอีก

พูดจบ หลินอิ่งก็ไม่ได้สนใจเหวินเป้าอีกเลย เขาหันหลังไปแล้วหยิบมือถือออกมาโทรหาใครบางคน

“ท่านหลิน มีอะไรใครรับใช้ครับ?” เสิ่นซานที่อยู่ปลายสาย รับสายด้วยความสุภาพ

“ช่วยมาที่โรงแรมชิงหยูนหน่อย”

หลังจากวางสาย หลินอิ่งก็ได้เดินมาที่ระเบียงอีกครั้ง ดื่มด่ำกับสายลม จ้องมองไปยังตึกรามบ้านช่อง ช่างเป็นทิวทัศน์ที่เลิศหรูตระการตาเหลือเกิน จากนั้นก็จุดบุหรี่

เขาจำเป็นต้องเปิดปากของเหวินเป้าให้ได้ เรื่องอื่นไม่ว่า อย่างน้อยขอแค่สามารถจัดการกับกำลังคนของเหวินเป้าที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองชิงหยูนให้ได้ก่อนก็พอ!

ในการที่กลุ่มของเหวินเป้าถูกทำลายไปในวันนี้ ต่อให้ทางด้านตี้จิงตระกูลเหวินจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนทำ แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องส่งคนมาสืบหาความจริงที่เมืองชิงหยูนอีกแน่ ไม่มีทางที่จะเมินเฉยกับการหายตัวไปของนักฆ่าทั้งกลุ่มอย่างแน่นอน

นี่ล่ะคือเหตุผลที่ว่า ทำไมหลินอิ่งถึงสั่งให้เสิ่ซานรีบรวบรวมพวกใต้ดินให้เร็วที่สุด ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาก็จะสามารถช่วยเป็นหูตาให้เขาได้ ต่อไปเกิดตระกูลเหวินส่งคนเข้ามาในเมืองชิงหยูนอีก เขาเองก็สามารถรู้ได้โดยง่าย ไม่ต้องถูกลอบทำร้าย อย่างน้อยก็ใช้มันเป็นสัญญาณเตือนได้

อีกอย่าง ตามแผนที่เขาวางไว้ จำเป็นต้องให้เสิ่นซานควบคุมเมืงชิงหยูนให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยร่วมมือกับเจียงฉีเพื่อทำให้ตลาดสั่นคลอน

เมื่อเวลานั่นมาถึง เขาจึงจะวางใจกับความปลอดภัยของจางฉีโม่ภรรยาของเขาได้สักที จากนั้น เขาก็ยังสามารถเดินทางไปที่ตี้จิงอย่างสบายใจได้สักพัก ไปเยี่ยมคุณปู่ แล้วค่อยไปพบปะกับตี้จิงตระกูลเหวินสักหน่อย!

“หึ! หึ!” เหวินเป้าหายใจติดขัด จากนั้นก็พูดออกมาด้วยใบหน้าที่บูดเบี้ยว “ผมยอมแล้ว! ผมจะพูดทุกอย่างที่รู้เลย!”

นี่แค่วิธีแรกที่หลินอิ่งใช่เท่านั้น เขาก็รับไม่ไหวแล้ว ที่สำคัญเขาเองก็ไม่รู้ว่าหลินอิ่งยังเตรียมอะไรไว้ให้เขาอีกต่อจากนี้

มันไม่ได้มีเพียงแค่ความหวาดกลัวที่อยู่ในใจเพียงเท่านั้น ไหนจะยังมีความเจ็บปวดอันแสนสาหัสที่ได้รับทางกายเนื้ออีกล่ะ

เหวินเป้าเองก็ไม่รู้ว่าหลินอิ่งไปเอาวิธีการทรมานพวกนี้มาจากไหน เขาไม่จำเป็นต้องใช้กำลังอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำเพียงแค่หักกระดูกกับโจมตีเข้าจุดสำคัญไม่กี่จุด มันก็ทำให้เขารู้สึกทรมานซะยิ่งกว่าการถูกไฟเผา ถูกมีดแทงหรือการทรมานโดยการถอนเล็บเป็นไหนๆ!

“ปล่อยผมไปเถอะ! ฆ่าผมเลย!”

เมื่อเหวินเป้าเห็นหลินอิ่งยังคงยืนสูบบุหรี่อย่างสบายใจอยู่ จึงได้ตะโกนออกมา การถูกทรมานแบบนี้เขาไม่อยากที่จะฝืนทนอีกต่อไปแล้ว!

หลินอิ่งค่อยหันกลับมา แล้วยิ้มอย่างเย็นชา “ความซื่อสัตย์ของคนในตระกูลคุณมีอยู่แค่นี้เองเหรอ? พูดมา”

“ผม ผมเป็นเพียงแค่หัวหน้ากลุ่มห้าของหน่วยที่ทำงานในเงามืดเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ตระกูลเหวินทำลายตระกูลฉีนั้น ผมก็แค่ได้รับมอบหมายให้จัดการกับพวกปลายแถวของตระกูลฉีเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ลอบสังหารพวกผู้นำระดับสูงหรอก ดังนั้นผมจึงไม่รู้รายละเอียดที่ชัดเจน และไม่รู้อีกด้วยว่าเบื้องหลังของตระกูลเหวินมีใครหนุนหลังอยู่……” เหวินเป้าพูดด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว

“ผมพานักฆ่ามาที่เมืองชิงหยูนแค่ยี่สิบคนเอง และได้กระจายพวกเขาไปอยู่ในย่านต่างๆ ของเมือง เดี๋ยวผมจะเอาที่ซ่อนกับเบอร์ติดต่อของพวกเขาให้……”

………

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

หลินอิ่งกำลังนั่งอยู่ในรถโรลส์-รอยซ์ แฟนทอมที่เสิ่นซานเพิ่งเปลี่ยนมาใหม่ เขานั่งเอาหลังพิงเบาะ เสิ่นซานนั่งอยู่ตรงที่นั่งฝั่งคนขับและขับรถด้วยตนเอง รถถูกขับไปทางวิลล่าหิมะมังกร

“เรื่องที่ผมบอกไป คุณเตรียมคนเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” หลินอิ่งถามด้วยเสียงที่ราบเรียบ

“ท่านหลิน สบายใจได้เลยครับ ก่อนรุ่งสางคุณจะต้องได้รับข่าวดีจากผมแน่นอนครับ ผมได้เตรียมการเอาไว้หมดแล้วทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยครับ!” เสิ่นซานตอบกลับมาอย่างหนักแน่น “นักฆ่าพวกนั้นฝีมือไม่ธรรมดา ผมจึงสั่งให้จัดคนเป็นทีม ทีมละหลายสิบคนไปจัดการ พวกชาวต่างชาติที่เคยเป็นลูกน้องเดนตายของโจปิน และยังมอบหมายให้สามที่น้องตระกูลหลิวเป็นคนนำทีมอีกด้วยครับ!”

“อืม” หลินอิ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

เมื่อเสิ่นซานหันไปเห็นแววตาของหลินอิ่งผ่านทางกระจกมองหลัง เขาก็รับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมา จนทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาล

เขารู้ดีว่านี่คือหนึ่งในแบบทดสอบของท่านหลิน จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้รับมอบหมายให้ไปจัดการคน ต่อให้งานที่ได้รับจะง่ายเหมือนการที่สิงโตไล่จับกระต่ายก็ตาม เขาก็ต้องพยามอย่างเต็มที่ ถ้าเกิดทำได้ไม่ดีขึ้นมา เขาก็คงไม่มีหน้ามาพบท่านหลินอีกแล้ว!

ในคืนนี้ เสิ่นซานเองก็ได้เห็นอีกมุมที่ดูซีเรียสของหลินอิ่งเข้าแล้ว ตอนที่เพิ่งมาถึงที่ดาดฟ้าของโรงแรมชิงหยูน บรรดาตอนนั้นเรียกว่าสยองเลยล่ะ

ไม่รู้ว่าหลินอิ่งทำอะไรกับเหวินเป้าไปบ้าง เขาถึงได้ร้องขอให้หลินอิ่งฆ่าเขาทิ้งซะ……นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ได้ยินการขอร้องแบบนี้

เสิ่นซานได้แต่คิดในใจ เรื่องนี้มันจะต้องเกี่ยวกับเลือด………

และจากนี้ต่อไปพายุจะยังไม่ยอมหยุดแน่น!

เขาเองก็เคยเห็นอะไรมาบ้าง เขารู้ดีว่าพวกชายชุดดำที่มาเยือนโรงแรมชิงหยูนในคืนนี้นั้นฝีมือไม่ธรรมดาเลย เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากต่างแดน และต้องเกี่ยวข้องกับอดีตของท่านหลินแน่นอน

หลังจากที่โรลส์-รอยซ์ แฟนทอมถูกขับมาสักระยะ ในที่สุดรถคันนี้ก็ได้มาถึงทางเข้าของวิลล่าหิมะมังกร

ในตอนนั้น มือถือของหลินอิ่งก็ได้ดังขึ้นมาพอดี

“คุณกลับไปที่ออฟฟิศก่อนเลย เดี๋ยวผมเข้าไปเอง ถ้ามีอะไรเดี๋ยวผมจะตามคุณเอง” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

“ครับ ท่านหลิน!” เสิ่นซานลงจากรถมาแล้วเปิดประตูรถให้กับหลินอิ่งอย่างสุภาพ จากนั้นก็ขับรถออกไป

จางฉีโม่เป็นคนที่โทรมา หลินอิ่งรับสาย

“ฮัลโหล หลินอิ่ง คุณยังไม่นอนอีกเหรอคะ?” น้ำเสียงของจางฉีโม่ที่อยู่ทางนั่นฟังดูค่อนข้างสงสัย

หลินอิ่งตอบ “ยังเลย มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ช่วงนี้คุณเป็นยังไงบ้าง? ไม่เห็นคุณมาทำงานที่บริษัทเลย…¥” จางฉีโม่ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง “ที่ฉันโทรมานี้ คือฉันมีเรื่องจะบอกค่ะ”

“ช่วงนี้ก็ถือว่าสบายดีอยู่มั้งครับ” หลินอิ่งขำออกมา “มีเรื่องอะไรก็พูดมาเลยครับ”

“พรุ่งนี้ที่บ้านเก่าของตระกูลจางจะมีการจัดประชุมครอบครัวค่ะ เป็นเรื่องของคุณโดยตรงเลย คุณเข้ามาสักหน่อยนะคะ” จางฉีโม่พูดออกมาด้วยความหนักใจ “พวกคุณลุงกับคุณน้ารองต่างก็อยากจะขับคุณออกจากตระกูลจางแล้ว แถมยังเอาแต่กล่าวถึงคุณอย่างเสียๆ หายๆ ส่วนแม่ของฉันนั้นคุณเองก็น่าจะรู้ดี เฮ้อ……”

“ผมคิดว่า การที่พวกเขาทำกับคุณแบบนี้มันก็เกินไป มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจยังไง รถกับบ้านนั้นผมจะเอามันให้คุณทั้งหมดเลยครับ” จางฉีโม่พูดออกมาอย่างจริงจัง

ฉีโม่เป็นกังวลว่าเขาจะตัดสินใจยังไงอย่างนั้นเหรอ?

หลินอิ่งทนไม่ไหวจนต้องยิ้มออกมา แล้วตอบกลับไปว่า “พอแล้ว คุณรีบไปนอนเถอะครับ อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเข้าไปที่ตระกูลจางครับ”

“ราตรีสวัสดิ์ครับ”

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท