ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 90 ก่อเรื่องขึ้นมา

บทที่ 90 ก่อเรื่องขึ้นมา

บทที่ 90 ก่อเรื่องขึ้นมา

รถของหวางหงหลิงขับไปยังย่านที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในใจกลางเมือง ซึ่งเป็นถนนร้านอาหารชั้นนำที่มีชื่อเสียง ทั้งถนนเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป ถือได้ว่าเป็นที่ตั้งร้านที่แพงที่สุดในเมืองชิงหยูน ร้านอาหารแต่ละร้านจะขึ้นอยู่กับการจัดอันดับดาว ระดับการใช้จ่ายนั้นสูงมาก

ไอ้หกจอดรถไว้ที่ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกชื่อว่าSarola International Palace Pavilion

หลินอิ่งลงจากรถมา มองดูอย่างละเอียด การตกแต่งของร้านนี้ดูหรูหราอลังการมาก แถมยังเก๋ไก๋อีกด้วย สไตล์ตะวันตกในยุคกลาง ดูเหมือนปราสาทชั้นสูงจากระยะไกล

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนอาคารสามชั้นที่มีลักษณะคล้ายปราสาท มียอดตระกูลกุหลาบที่ออกแบบอย่างประณีต และมีกระถางดอกกุหลาบสีแดงสดเรียงแถวอยู่ที่หน้าประตู

หลินอิ่งได้กลิ่นน้ำหอมกุหลาบจางๆอยู่ข้างหลังเขา และถามว่า “นี่คือธุรกิจภายใต้ในนามของคุณเหรอ?”

“ใช่ ดูเหมือนว่าคุณจะให้ความสนใจฉันมากเป็นการส่วนตัว สิ่งนี้คุณก็ยังรู้ดี” หวางหงหลิงพูดอย่างขี้เล่น

“ไปกันเถอะ พาคุณเข้าไปเยี่ยมชมข้างใน” หวางหงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นร้านที่ฉันอยากจะเปิดเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ฉันได้รับเงินก้อนแรกในชีวิตฉันก็เปิดร้านนี้ขึ้นมา! ทุกพื้นที่ในร้าน ถูกตกแต่งและออกแบบตามไอเดียของฉันทั้งหมด!”

หลินอิ่งมองไปอย่างผ่านๆ โดยไม่ได้พูดอะไรเลย

ทั้งสองคนเดินเข้าในร้านอาหารนี้ด้วยกัน

การตกแต่งภายในร้านอาหารหรูหรามากกว่า ราวกับเข้าไปในพระราชวังตะวันตกของยุคกลางจริงๆ มันงดงาม และมีสไตล์ที่โดดเด่นมาก มีตะเกียงน้ำมันสมัยเก่าสองสามอันบนบาร์ เมนูม้วนหนังแกะ และภาพวาดสีน้ำมันนามธรรมต่างๆแขวนอยู่บนผนัง

พนักงานยังเป็นหญิงสาวทุกคนสวมชุดสไตล์พังค์หรือชุดแม่บ้านสไตล์โกธิค ซึ่งเหมาะมาก

แต่อย่างไรก็ตาม หลินอิ่งพบว่า ในร้านอาหารขนาดใหญ่นี้ ไม่มีลูกค้ารับประทานอาหารอยู่แม้แต่คนเดียวเลย

“คุณกำลังสงสัยใช่ไหมว่าทำไมไม่มีลูกค้าเลย?” หวางหงหลิงยิ้มอย่างมีชัย “ร้านอาหารนี้ไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าได้ เปิดให้บริการสำหรับฉันคนเดียวเท่านั้น ฉันจะมาที่นี่ตอนที่ฉันอยากจะดื่มหรือกินอะไร คุณเป็นแขกคนแรกของที่นี่!”

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแค่รู้สึกว่า หวางหงหลิงยังคงมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากกว่าลูกหลานคนที่ร่ำรวยทั่วไป ใช้เงินจำนวนมากเพื่อสร้างร้านอาหารแบบนี้ขึ้นมา แม้ว่ามันจะฟุ่มเฟือย แต่ก็ทำให้ตัวเองมีพื้นที่เป็นส่วนตัว

กับที่กล่าวว่า ทั้งสองเดินไปที่ชั้นสอง และนั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหาร กับพรมสีแดงทั้งสองด้าน โคมไฟระย้าปริกไฟสีเทาและสีเหลืองเข้ม ซึ่งสร้างบรรยากาศที่ดีมาก

สาวสวยแต่งตัวเป็นสาวใช้เดินเข้ามา ถามว่า “คุณหนูใหญ่ วันนี้คุณมาที่นี่ อยากจะทานอะไรค่ะ?”

“ยังคงทำตามเมนูอาหารก่อนหน้านี้ของฉัน แล้วเสิร์ฟของว่างที่เป็นเอกลักษณ์ทั้งหมด” หวางหงหลิงสั่งว่า

“ค่ะ คุณหนูใหญ่” พนักงานเสิร์ฟพยักหน้าด้วยความเคารพ จากนั้นเหลือบมองไปที่หลินอิ่ง ในสายตาของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เธอไม่เคยเห็นคุณหนูคนโตพาผู้ชายมาที่ร้านอาหารเลย หรือว่าคนๆนี้คือคู่หมายของเธอ? แต่ว่า ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เหมือนเป็นลูกหลานของผู้ร่ำรวย ที่สามารถเข้ากับสฐานะของคุณหนูคนโตได้เลย ยกเว้นรูปร่างหน้าตาของเขา

พนักงานเสิร์ฟก็ถอยออกมาจากชั้นสองไป ด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากดูเพิ่มเติมแล้ว

“คุณรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงสร้างร้านอาหารแบบนี้ขึ้นมา?” หวางหงหลิงถามด้วยรอยยิ้ม

หลินอิ่งส่ายหัว ตัวเองจะรู้ได้อย่างไร

ใบหน้าของหวางหงหลิงสว่างไสว จำอะไรบางอย่างได้ กล่าวว่า “เพราะตอนฉันยังเป็นเด็กชอบดูเทพนิยายมาก มีเรื่องราวของเจ้าหญิงมากมาย ในเวลานั้น ฉันกำลังคิดว่า ฉันอยากจะสร้างร้านอาหารสไตล์พระราชวัง แล้วก็สามารถอ่านหนังสือกับคนที่ฉันชอบทุกวัน กินอาหารสามมื้อด้วยกัน ตราบใดที่รู้สึกเหนื่อยแล้ว ก็จะสามารถมาที่พื้นที่ส่วนตัวนี้ และสัมผัสถึงบรรยากาศแบบนี้……”

“ไม่ว่าคนที่ฉันชอบจะเป็นคนแบบไหน เหลือทนแค่ไหน ฉันก็จะทำให้เขาเป็นเจ้าชายในใจของฉัน ราชาในสายตาของชาวโลก ฉัน……..”

“เสียงไอ” หลินอิ่งไออย่างแห้งๆสองครั้ง ขัดจังหวะคำพูดที่กำลังมึนเมาอยู่ และกระตือรือร้นของหวางหงหลิง

“หึ่ คุณเป็นอะไรถึงไอ? คุณกำลังคิดอะไรอยู่? คุณคิดว่าฉันกำลังพูดถึงคุณอยู่หรือ?” หวางหงหลิงพูดอย่างเย็นชา โกรธมาก และรู้สึกไม่พอใจกับการแสดงออกของหลินอิ่ง

ตัวเองกำลังพูดแบบนี้อยู่ และทำไมเขาถึงยังต้องขัดจังหวะผู้หญิงที่กำลังพูดอยู่ ไม่รู้จริงๆว่าคนแบบนี้จะมีผู้หญิงยอมแต่งงานกับเขาได้ยังไง

ในเวลานี้ พนักงานเสิร์ฟหลายคนก็ผลักรถเข็นอาหารขึ้นมา มีพื้นจานคริสตัลหลายอันบนรถอาหาร ทั้งหมดถูกคลุมด้วยผ้าคลุมอาหารที่ทำขึ้นมาพิเศษ และมีผ้าสีแดงบางอยู่ชั้นหนึ่ง จึงมองไม่เห็นเมนูอาหารที่อยู่ในจานเลย

อย่างไรก็ตาม ในรถเข็นอาหารมีกลิ่นความหวานที่น่าหลงใหลออกมาหลายรส และเห็นได้ชัดว่างานฝีมือนั้นไม่ธรรมดา

หวางหงหลิงหยิบแก้วคริสตัลสีแดงเข้มสองใบจากพนักงานเสิร์ฟ มองไปที่หลินอิ่งด้วยรอยยิ้ม และพูดว่า “คุณอยากจะลองคาดเดาดูไหมว่า มีเมนูอาหารและติ่มซำอะไรบ้าง?”

ติ๊ด

โทรศัพท์มือถือของหลินอิ่งดังขึ้น และเขารับสายโดยไม่ลังเล หวางหงหลิงแสยะยิ้มอย่างเย็นชา กัดฟัน และดูไม่พอใจมาก

“ฮัลโหล ท่านหลิน ก่อนหน้านี้ได้รับคำสั่งของคุณ ผมส่งหลิวจุนพาคนไปติดตามหวางจือเหวิน เมื่อกี้นี้หลิวจุนโทรหาผม บอกว่าหวางจือเหวินพาบอดี้การ์ด ขับรถไปที่ชุมชนสุ่ยหยวน และไปที่บ้านของคุณ” อีกด้านของโทรศัพท์ เสิ่นซานพูดอย่างสุภาพว่า “ท่านหลิน รอให้คุณออกคำสั่ง ว่าจะจัดการกับเขาอย่างไร?”

“ผมจะไปเดี๋ยวนี้ คุณให้หลิวจุนจ้องเขาไว้ให้ดีๆ!”

หลินอิ่งวางสายโทรศัพท์ สายตาของเขาเย็นชา หวางจือเหวินค้นพบชุมชนสุ่ยหยวนหรือ? ยังกล้าที่จะไปก่อกวนฉีโม่อีกด้วยเหรอ?

“ขอโทษนะครับ ผมมีเรื่องที่ต้องไปทำตอนนี้” หลินอิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม และลุกขึ้นอยากจากไป

“เรื่องอะไรมันรีบขนาดนี้?” หวางหงหลิงยืนขึ้นและหยุดหลินอิ่ง ด้วยความประหลาดใจ “คุณสัญญาว่าจะดื่มชากับฉันแล้ว ทำไมคุณถึงจากไปอย่างกะทันหัน?”

หลินอิ่งเหลือบมองไปที่หวางหงหลิง และหยิบชาดำ Marquis สีแดงเข้มจากโต๊ะอาหาร และดื่มมันให้หมดในอึกเดียว

“โอเค ชาดื่มไปแล้ว” หลินอิ่งหันหลังและเดินลงไปชั้นล่าง

หวางหงหลิงตะลึงไป จากนั้นความโกรธและความอับอายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ!

หลินอิ่งออกจากร้านอาหารอย่างรวดเร็ว หยุดรถแท็กซี่ข้างถนน แล้วตรงไปที่ชุมชนสุ่ยหยวน

หวางหงหลิงก็รีบออกจากร้านอาหาร จ้องมองไปที่ด้านหลังของหลินอิ่งอย่างว่างเปล่า ใบหน้าที่แดงก่ำของเธอเต็มไปด้วยความผิดหวัง และการแสดงออกของเธอก็เสียใจอย่างมาก

เธอกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาเกือบเป็นสีแดง และเธอถือกล่องคริสตัลที่สวยงามหรูหราไว้ในมือ

นี่คือของขวัญที่เธอเตรียมไว้ให้หลินอิ่ง แต่เดิมอยากจะรอให้ดื่มชาเสร็จ และมอบให้หลินอิ่งต่อหน้า

ในกล่องของขวัญเป็นกุญแจของ Bugatti Veyron และนาฬิกา Patek Philippe ผู้ชายรุ่นเดียวกับที่ข้อมือของเธอ

“ทำไม?” หวางหงหลิงพึมพำกับตัวเอง ไม่พอใจอย่างมาก และไม่เต็มใจมาก

ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่เธอเห็นชอบแล้วก็จะต้องได้มันมา ยิ่งดีบูมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อได้มันมากับมือ!

เธอไม่เข้าใจ หรือว่าตัวเองไม่มีเสน่ห์พอหรือ? จางฉีโม่หน้าตาดีมากก็จริง แต่ตัวเองจะแย่กว่าเธองั้นหรือ?

ท่าทีที่หยิ่งผยองของเธอ จะไม่มีวันยอมให้เธอด้อยไปกว่าเพื่อนๆในวัยเดียวกันอย่างแน่นอน ในทั่วเมืองชิงหยูน แม้แต่ผู้ชายในวัยเดียวกันกับเธอก็มีไม่กี่คนที่โดดเด่นและเก่งกล้าไปกว่าเธอ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาวๆในวัยเดียวกันเลย!

หวางหงหลิงกำหมัดแน่น “หลินอิ่ง ไม่ช้าก็เร็วฉันจะให้คุณนมัสการใต้กระโปรงของฉันให้ได้……”

ผ่านไปยี่สิบกว่านาที

หลินอิ่งก็มาถึงที่ชุมชนสุ่ยหยวน

เขาเดินมาถึงข้างล่าง และเห็นลัมโบร์กีนีสีน้ำเงินของหวางจือเหวิน และทีมบอดี้การ์ดก็อยู่รอบๆคันรถ

สายตาของหลินอิ่ง ค่อยๆเย็นชาลง…..

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท