ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่94 ตระกูลซูนออกโรง

บทที่94 ตระกูลซูนออกโรง

บทที่94 ตระกูลซูนออกโรง

“หรือจะให้ท่านซานมาเอง! มึงจะลองดูก็ได้ ดูสิว่าหวางกั๋วคางพ่อมึงจะรับไหวไหม!”

พูดจบ ขาท่อนใหญ่ๆของหลิวจุนก็ถีบเข้าไปที่หวางจื่อเหวินจนล้มไปนอนกองกับพื้น อีกฝ่ายเจ็บจนร้องเสียงดัง

หวางจื่อเหวินคุกเข่าอยู่หน้าประตูชุมชน ใบหน้าซีดมีเส้นเลือดฝาดด้วยความโกรธเกรี้ยว ร่างกายเจ็บปวดไปทั้งตัว เมื่อเห็นสายตาสนุกสนานของผู้คนในชุมชนที่เดินเข้าเดินออก วินาทีนี้ให้เขาฆ่าตัวตายไปเลยยังง่ายซะกว่า!

ไหนจะรถราที่ขับผ่านไปมา คนขับหลายคนที่ขับอยู่ไกลๆต่างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิป

หวางจื่เหวินขบฟันแน่น เขาก้มหน้านิ่ง คิดยังไงก็คิดไม่ออก นี่เขาไปทำให้ใครไม่พอใจกันแน่!

วันนี้แค่ตั้งใจมาเอาเรื่องไอ้้สวะหลินอิ่ง ไหงกลายเป็นเจอเรื่องซวยๆขนาดนี้ได้!

ไอ้แมงดาเกาะผู้หญิงอย่างหลินอิ่งจะมีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง ถึงกับให้ท่านเสิ่นซานผู้มีอิทธิพลที่สุดแห่งเมืองชิงหยูนออกหน้าให้?

ต้องเป็นหวางหงหลิงแน่!

หวางจื่อเหวินโกรธแค้นในใจ ในที่สุดก็คิดออก นอกจากหวางหงหลิง จะมีใครช่วยไอ้้สวะอย่างหลินอิ่งได้อีก! แล้วก็มีแค่หวางหงหลิงที่พอจะมีอำนาจนี้!

ไม่น่าหลายวันที่ผ่านมาไอ้้สวะนี่เอาแต่หลบ วันนี้จู่ๆก็โผล่หน้าออกมา ที่แท้ก็เพราะมันมีลูกสมุนมาช่วย ถึงได้ตั้งใจออกมาสู้กับเขา ชาติหมาจริงๆ!

หวางจื่อเหวินยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห แค้นจนไฟรุกท่วมหัว

หลินอิ่งมันเอาหลิวจุนมาออกหน้าแทนมันได้ เห็นทีคงจ่ายไปไม่น้อย ต้องเป็นหวางหงหลิงที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแน่!

เรื่องนี้จะต้องรู้ถึงหูนายท่าน หวางหงหลิงแอบชุบเลี้ยงหมาขี้เรื้อน! แถมยังทำร้ายญาติพี่น้องตัวเอง! คงต้องให้นายท่านออกโรงกล่าวโทษหวางหงหลิง นังบ้านั่นถึงจะยอมปล่อยมือ ดีไม่ดีก็ถีบหลินอิ่งกระเด็นได้อีกด้วย!

พอถึงเวลานั้น เมื่อมันไม่มีเกราะกำบังอย่างหวางหงหลิง หลินอิ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาข้างทางที่ใครๆก็รังแกได้ทุกเมื่อ! เขาจะต้องเล่นไอ้้สวะนี่ให้ตายในสักวัน! ความอัปยศอดสูทั้งหมดที่เขาต้องเจอในวันนี้ ไอ้้หลินอิ่งจะต้องโดนเป็นร้อยเท่าพันเท่า!

แค่คิด แววตาของหวางจื่อเหวินก็เผยความชั่วร้าย มีแผนที่จะเอาคืนหลินอิ่งแล้วในใจ

ติดก็ตรงที่ เขายังคุกเข่าอยู่ที่เดิม ในใจกังเวลอยู่กับนาฬิกาข้อมือ ไม่กล้าลุกขึ้น หลวจุนเป็นมืองฉบังแถวหน้าของท่านเสิ่นซาน ถ้าเขาเอะอะจนเรื่องใหญ่โต เกรงว่าร่างตัวเองคงกลายเป็นผงธุลีในไม่ช้า

……

อีกด้านนึง แลนด์โรเวอร์สีดำขับมาบนถนนหลวงโดยมีหลินอิ่งนั่งอยู่เบาะหลัง มุ่งหน้ากลับไปตกแต่งวิลล่าหิมะมังกรอีกเล็กน้อย เขาจะขยายห้องนอนให้ใหญ่ที่สุด จากนั้นค่อยตกแต่งอย่างหรูหรา

เขาตั้งใจจะให้ภรรยาที่รักอย่างจางฉีโม่ย้ายเข้ามาที่วิลล่าหิมะมังกร แผนกรักษาความปลอดภัยของที่นี่ใช้ได้ทีเดียว มีการคุ้มกันอย่างหนาแน่น เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเป็นคนจากบริษัทรักษาความปลอดภัยระดับนานาชาติ

ไอ้พวกปัญญาอ่อนทั้งหลาย อย่าหวังจะได้เข้ามาใกล้แม้แต่เซนเดียว

นอกจากนี้ หลินอิ่งเองตั้งใจจะปรับความเข้าใจของฉีโม่ที่เข้าใจเขาผิด

ถึงเขาจะไม่ได้ถนัดเรื่องความรู้สึก แต่ก็พอจะรู้ว่าต้องง้อผู้หญิงที่กำลังหึง

คิดดังนั้น หลินอิ่งก็ยกหูโทรศัพท์โทรออก

“ครับ ประธานหลิน มีอะไรจะรับใช้ครับ?” ปลายสายเป็นเสียงนอบน้อบของอูหยาง

“เรื่องที่ให้ไปทำก่อนหน้านี้ ได้ความคืบหน้ายังไงบ้าง?” หลินอิ่งเอ่ยเสียงเรียบ

ก่อนหน้านี้เขาขอให้อูหยางคอยประคับประคองกำลังส่วนในของบริษัทตระกูลจาง ใช้ทุกสิ่งที่บริษัทมีผลักดันไปที่ฉีโม่ ทำให้เธอกลายเป็นนักออกแบบเครื่องประดับชื่อดังที่สุดของเมืองตุงไห่ กระทั่งมีชื่อเสียงในระดับโลก

“ประธานหลิน ผมจะทำอย่างเต็มความสามารถ ช่วงนี้คุณนายหลินยังคงออกแบบเครื่องประดับหลายชิ้นมูลค่านับสิบล้านอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ถือว่าติดอันดับอัญมณีชื่อดังของตุงไห่แล้วครับ!” อูหยางกล่าวด้วยความเคารพ

หลินอิ่งพูดต่อ “พรุ่งนี้เรียกประชุมบอร์ดบริหาร เลื่อนตำแหน่งให้เมียฉันเป็นรองประธานฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์”

เขาสั่งให้อูหยางรวบบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ก็เพื่อให้ความฝันของฉีโม่เมียรักของเขาเป็นจริง

แต่เขารู้จักนิสัยของฉีโม่ดี เธออยากจะไปถึงเป้าหมายด้วยความพยายามของตัวเอง

ไม่อย่างนั้นเขาคงเอาบริษัทเครื่องประดับยัดใส่มือเธอไปนานแล้ว

“ครับ! ประธานหลิน ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณสั่ง ผมรับรองว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไป คุณนายหลินจะต้องกลายเป็นรองประธานของบริษัท เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารแน่นอนครับ!” อูหยางกล่าว

อูหยางรู้ดี และเขาก็พอจะดูออก จริงๆแล้วบริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เป็นแค่เครื่องมือที่ประธานหลินใช้เพื่อเอาใจคุณนายก็เท่านั้น

การมีอยู่ของบริษัทนี้ ก็แค่เพื่อให้คุณนายหลินมีความสุข

หากจะพูดกันอย่างเปิดเผย บทบาทของเขาก็แค่พ่อบ้านของบริษัทที่ประธานหลินส่งมา เพื่อคอยประคองคุณนายหลินให้เดินทีละก้าวๆจนไปถึงจุดที่เป็นเครื่องประดับระดับโลก และห้ามแสดงตัวชัด เขาต้องทำให้คุณนายหลินรู้สึกว่าความสำเร็จทุกอย่างมาได้จากความสามารถของตัวเอง

เวลานี้เอง ที่สายโทรศัพท์เข้า หลินอิ่งเหล่ตามองนิดๆ เห็นว่าเป็นภรรยาสุดที่รักโทรเข้ามา จึงรีบวางสายอูหยาง

“ว่ายังไงฉีโม่?” หลินอิ่งถาม

“ตอนนี้นายคงไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?” น้ำเสียงจางฉีโม่มีความกังวลอยู่บ้าง

“ไม่เป็นไรนี่” หลินอิ่งพูดหัวเราะ

ติ๊ด

หลินอิ่งอยากจะพูดอะไรต่อ แต่จางฉีโม่วางสายไปแล้ว

เขาส่ายหน้า แล้วยิ้มระเหี่ยใจ เขารู้ว่าฉีโม่กังวลเรื่องที่วันนี้เขาทำร้ายหวางจื่อเหวิน จะส่งผลเสียกับตัวเขา แต่ก็ยิ่งชัดเจนว่าเธอยังหึงเขาอยู่ ถึงไม่อยากคุยกับเขามาก

“หลินอิ่ง นายไม่คิดไม่โทรกลับมาเนี่ยนะ?” อีกด้านนึง จางฉีโม่ในชุดนอนกลิ้งอยู่บนเตียง สายตาจับจ้องไปที่โทรศัพท์หลายนาที กัดฟันโมโห “ซื่อบื้อหรือไงกัน?”

เธอคิดว่าพอตัดสายเสร็จ เดาว่าหลินอิ่งจะต้องโทรกลับมาตามเธอแน่ จากนั้นเธอค่อยตัดสายเขาสักสองสามรอบ ทำจนเขาร้อนรนแล้วสุดท้ายค่อยรับสาย

ใครจะคิด เธอกดตัดสายเขาดื้อๆแบบนี้ หลินอิ่งดันไม่โทรกลับเนี่ยนะ?

เธอยังมีอะไรต้องคุยกับเขาตั้งเยอะเลย!

จางฉีโม่ดึงทึ้งผ้าห่ม ความหงุดหงิดเผยบนใบหน้าสวยสด เธอกัดริมฝีปากแน่น

ที่เบาะหลังรถ หลินอิ่งปิดเปลือกตาพักสายตาไม่นาน

เสียงสั่นจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก

หลินอิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้น ครั้งนี้เป็นเจียงฉีโทรเข้ามา

ตั้งแต่ที่เขาเสียเงินหลายสิบล้านเพื่อให้เจียงฉีไปทำธุรกิจครั้งก่อน เขาก็ไม่เคยติดต่อกับเจียงฉีอีกเลย

เจียงฉีเป็นคนทำอะไรคิดหน้าคิดหลัง ถ้าไม่เจอเรื่องอะไรที่ตัวเองปราบมือไม่ไหวจริงๆ เห็นทีคงไม่มีทางเป็นฝ่ายโทรมาหาเขา

“ประธานหลิน ยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ?” เจียงฉีพูดอ่อนน้อม

“มีอะไรก็ว่ามา” หลินอิ่งเอ่ยเสียงเรียบ

“ประธานหลิน หลังจากที่ผมวางแผนมาระยะเวลานึง ในการประชุมบอร์ดบริหารวันนี้ผมจะกำจัดผู้ถือหุ้นของตระกูลซูนทุกคนทิ้ง จากนั้นก็รวบบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์มาไว้ในกำมือ ตอนแรกตั้งใจจะมารายงานสถานการณ์กับท่าน” น้ำเสียงของเจียงฉีร้อนรน ราวกับกำลังแบกรับความกดดันอย่างหนัก

“แต่ผมไม่คิดเลยว่า ตระกูลซูนจะตอบโต้เร็วขนาดนี้ พวกมันกำลังจะตลบหลังผมในอีกไม่ช้าแล้วครับ!”

“คนที่ตระกูลซูนส่งมาตอนนี้ยึดบริษัทไว้หมด พวกนั้นต้อนผมไว้ในห้องทำงานคนเดียว ออกไปไหนก็ไม่ได้” เจียงฉีพูดไม่อ้อมค้อม “เท่าที่ผมทำความรู้จักกับตระกูลซูน ผมสงสัยว่าพวกนั้นจะบีบผมให้จนมุม หรือไม่ก็สร้างสถานการณ์ว่าผมกระโดดตึกฆ่าตัวตาย จากนั้นค่อยดึงบริษัทกลับไปในมือตัวเอง นี่เป็นวิธีที่พวกมันใช้ประจำครับ!”

“นายตั้งสติดีๆ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” หลินอิ่งพูดเสียงนิ่งเรียบ

“ครับ!ครับ!” เจียงฉีใจเต้นตุ๊บตั๊บ เหมือนคว้าเชือกเส้นสุดท้ายไว้ได้

เจียงฉีกลัวว่าหลินอิ่งจะทอดทิ้งเขาในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ถ้าหลินอิ่งไม่ออกโรงช่วย วันนี้เขาคงถูกโยนออกไปจากห้องทำงานชั้นสามสิบกว่า แล้วตายอย่างอนาถอยู่บนพื้น

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท