ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 110 ฉันหาหยูจื๋อเฉิง

บทที่ 110 ฉันหาหยูจื๋อเฉิง

บทที่ 110 ฉันหาหยูจื๋อเฉิง

หลินอิ่งยิ้มแบบเย็นช้า ไอ้หญิงที่ใส่แว่นตาคนนี้ มองว่าตัวเองเป็นคนโง่ ผู้ไม่รู้หนังสือก็สามารถเข้าใจความหมายของshite

“ในฐานะเป็นคนประเทศหลุง คุณรู้สึกว่าการพูดภาษาป่าเถื่อน รู้สึกเก่งมากใช่ไหม?”หลินอิ่งกล่าวอย่างเฉยๆ

“คุณ?”ทันใดนั้นกงซุนชิวอวี่จ้องไปที่หลินอิ่ง แก้มของเธอก็มุ่ย ดูเหมือนว่าเธอโกรธ “ไม่มีความรู้ ไอ้อ่อนหัด ที่ตื้น! ในยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน คุณยังคงเป็นความคิดที่ล้าสมัยแบบเก่า? ภาษาป่าเถื่อน? คุณพูดเป็นเหรอ”

กงซุนชิวอวี่โกรธมาก ที่จริงเธอไม่ได้จงใจอวด แต่เธอเพิ่งกลับมาจากการเรียนจากต่างประเทศ อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี เธอคุ้นเคยกับการพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาพูด แต่ไอ้ชายคนนี้ที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ทำไมถึงเป็นความคิดที่โบราณ?

หลินอิ่งยิ้ม แต่อธิบาย

หลินอิ่งได้ศึกษามาตั้งแต่ยังเด็ก มีความเชี่ยวชาญในภาษาต่างประเทศอย่างน้อย 300 ภาษา! ไม่มีภาษาต่างประเทศใดในโลกที่เขาพูดไม่ได้หรือภาษาที่เขาไม่เชี่ยวชาญ

แต่เขา ไม่เคยมองว่าไอ้พวกผีเหล่านี้เป็นทุนในการอวด

เนื่องจากที่หลังจากได้การศึกษาและวิจัยหลายปี หลินอิ่งได้ค้นพบว่าอักษรของประเทศหลุง เป็นตัวอักษรที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก และยังเป็นภาษาและวัฒนธรรมที่ก้าวหน้าที่สุดอีกด้วยเป็นไอ้พวกผีเหล่านั้นที่สามารถเปรียบเทียบได้

“คุณมีมารยาทหรือไม่นะเนี่ย ฉันกำลังพูดกับคุณ”กงซุนชิวอวี่พูดเหมือนคุณหญิงสาว

“ผู้หญิงโง่”หลินอิ่งกล่าวอย่างเย็นชา การออกเสียงเป็นภาษาอียิปต์โบราณที่ไม่ค่อยเห็น มันเป็นใช้วิธีของเธอเองในการเอาคืนไป

กงซุนชิวอวี่มองไปที่หลินอิ่งด้วยความตกใจ ดวงตาของเธอสั่นไหวเหมือนกับว่าเธอได้ค้นพบโลกใหม่

“คุณพูดภาษาอียิปต์โบราณได้เหรอ?”กงซุนชิวอวี่ตอบเป็นภาษาอียิปต์โบราณด้วย จ้องมองไปที่หลินอิ่งด้วยความสนใจ สีหน้าของเธอดูเหมือนกับว่าเธอได้พบคนที่มีความชอบเดียวกัน

หลินอิ่งยิ้ม ไม่พูดอะไร

“แต่ว่า คุณไม่สุภาพจริงๆนะ? คุณรู้ไหมว่าคำที่คุณเพิ่งพูด หมายความว่าอย่างไร” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยใบหน้าแดง ก่ำเสียงของเธอแผ่วเบา และเธอก็ดูเหมือนเขินอายมาก

สิ่งที่หลินอิ่งพูดถึง แปลง่ายๆว่าเป็นผู้หญิงโง่ แต่มีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น หมูตัวเมียโง่มันอยู่ในวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ คือเจ้าภาพชายพูดกับทาสหญิง เป็นคำอุทานที่เต็มไปด้วยความบุกรุก ยังคงเต็มไปด้วยความยั่วยวน

“ฉันไม่รู้ เธอรู้ไหม?เด็กสาวอัจฉริยะ?” หลินอิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม เปลี่ยนการออกเสียงโดยใช้ภาษาบาบิโลนโบราณ

เพียงแค่ว่า อัจฉริยะนี้หมายถึงการประชด เมื่อแปลแล้ว มันจะแปลว่าโง่มาก

หลินอิ่งก็สนใจเช่นกัน และอยากจะดูว่า สตรีผู้หญิงที่อย่ามโนนนี้ รู้มากเพียงใด

“คุณ! คุณ!”กงซุนชิวอวี่กระทืบเท้าของเธอด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าเธอเข้าใจและมองไปที่หลินอิ่งด้วยความตกใจและความโกรธ

“คุณพูดดีๆได้ไหม?” ในที่สุดกงซุนชิวอวี่ก็เต็มใจที่จะพูดภาษาของประเทศหลุง

หลินอิ่งยิ้ม แต่ขี้เกียจที่จะใส่ใจเธอ

ด้วยนี้ กงซุนชิวอวี่หาหลินอิ่งเพื่อพูดคุยเรื่อยๆเหมือนที่เธอได้พบสมบัติ หลินอิ่งยังคงหลับตาและพักผ่อน

กงซุนชิวอวี่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศ วิชาเอกก็คือภาษาและประวัติศาสตร์ นักศึกษาชั้นนำ เป็นปริญญาตรีที่ข้ามชั้นของโรงเรียนห้าระดับเเรกของโลก! เธอสนใจภาษาและวัฒนธรรมโบราณของประเทศต่างๆมาตั้งแต่ยังเด็ก ในเวลานี้เธอก็พบคนแบบเดียวกันที่หายากที่เหมือนหลินอิ่ง เธอจะไม่จับเขาให้ดีได้ไง

ระหว่างในเวลาที่นั่งเครื่องบิน กงซุนชิวอวี่หยิบของว่างระดับไฮเอนด์และติ่มซําระดับไฮเอนด์ออกมาจากกระเป๋าเดินทางอย่างเอาอกเอาใจเขา และยังหยิบเบอร์ปี 1985ออกมาเพื่อให้หลินอิ่งอ้าปากและคุยกับตัวเองดีๆ

ความคิดนี้เหมือนกับ เด็กที่ชอบพับเครื่องบิน แต่ไม่มีใครเล่นกับเธอ และในที่สุดก็พบเด็กผู้ชายที่พับเครื่องบินกระดาษได้ และต้องดึงเขามาเล่นด้วยกัน

หลินอิ่งก็คิดว่ามันน่าเบื่อ และรำคาญกงซุนชิวอวี่ทำแบบนี้ ทุกคนที่ในห้องโดยสารเครื่องบินก็มองมากันด้วยสายตาแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นอิจฉาริษยาหรืออยากได้ หรือน้ำลายไหล สุดท้ายเขาก็กลายเป็นตัวเอกในห้องโดยสารเครื่องบิน

เพราะว่ากงซุนชิวอวี่เป็นสาวงามอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาม หน้าตาก็สวยงาม โดยเฉพาะออร่าของเธอก็แตกต่างกับคนอื่น เป็นฮิปสเตอร์ที่เห็นยาก ไม่ว่าไปที่ไหนก็ต้องมีผู้คนติดตาม

ระหว่างในการเดินทาง หลิ่นอิ่งก็คุยกับกงซุนชิวอวี่สองสามคำและคุยเรื่องที่เกี่ยวกับการวิจัยทางวิชาการเกี่ยวกับวัฒนธรรมและภาษาโบราณ

ในที่สุด เมื่อลงจากเครื่องบินที่สนามบินนานาชาของตี้จิง กงซุนชิวอวี่ก็ยังคงไม่พอใจและดึงหลินอิ่งเพื่อขอข้อมูลการติดต่อ แต่หลินอิ่งปฏิเสธและไปเลย

“เสื้อเชิ้ตสีขาว! คุณอย่าลืมติดต่อฉันด้วยนะ ฉันสามารถจัดงานที่ดีให้คุณได้ หากคุณมีปัญหาใดๆเพียงโทรหาฉันก็ได้แล้ว ครอบครัวของฉันมีอำนาจมากในตี้จิงนะ!” กงซุนชิวอวี่โบกมือของเธอและ สายตาที่มองไปร่างที่เดินไกลไปของหลินอิ่งหยวนเต็มไปด้วยความเสียใจ

หลินอิ่งไม่สนใจ ขึ้นรถแท็กซี่และไปที่เขคตจงเทียนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของตี้จิง

ที่เบาะหลังของรถ หลินอิ่งถือนามบัตรดอกชงโคทองคำ โดยมองไปที่คำว่ากงซุนชิวอวี่ที่ในบนนามบัตร มุมปากของเขายิ้มขึ้น

สาวแว่นคนนี้ต้องให้นามบัตรไว้ เเละยังเป็นนามบัตรทองคำบริสุทธิ์24K ซึ่งน่าสนใจจริงๆ

หลินอิ่งยังคาดเดาในใจว่า หญิงสาวที่ใส่แว่นตาคนนี้น่าจะมาจากตระกูลกงซุนของตี้จิง และดอกชงโคก็เป็นยศตระกูลของตระกูลนี้ มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มาก

มีตระกูลใหญ่มากมายที่ตี้จิง และถ้าดึงตระกูลใดออกมาหนึ่ง และวางไว้ในจังหวัดตุงไห่ ก็สามารถใช้มือเดียวบังท้องฟ้า เรียกฝนเรียกลมได้

แต่ในพวกเขา มีเพียงห้าตระกูลเท่านั้นที่ยืนอยู่ที่จุดสุดยอด และถูกเรียกว่าจุดสุดยอดของประเทศหลุง ซึ่งเป็นตระกูลห้าอันดับแรกของประเทศหลุง! มีการอิทธิพลอย่างมากต่อโลกและสถานการณ์ระหว่างประเทศ!

ตามลำดับ ตี้จิงตระกูลฉีซื่อ เช่นเดียวกับตงหลิงตระกูลนิ่ง ซีซานตระกูลสวี เกาหยางตระกูลกงซุน เจียงโจวตระกูลตระกูลซือหม่า

กล้าที่จะใช้ซื่อ ก็ต้องเป็นตระกูลที่มีประวัติประมาณหลายร้อยปี โดยจะเปรียบเทียบกับพวกตระกูลที่ร่ำรวยไม่ได้

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง

รถแท็กซี่ก็หยุดอยู่หน้าอาคารใหญ่ที่สูงห้าสิบหกชั้น จื๋อเฉิงกรุ๊ป

นี่คือคนหัวหน้าของเขคตจงเทียน กรุ๊ปของหยูจื๋อเฉิง คนคนนี้มีสถานะที่พิเศษในเขคตจงเทียนของเมืองตี้จิง และเขายังเป็นคนที่ตำนานอีกด้วย ตั้งแต่เริ่มต้น เขาสามารถสร้างงานที่ใหญ่ได้ด้วยเมืองเปล่าในที่เต็มไปด้วยตระกูลอำนาจอย่างตี้จิง เขานี่ก็เก่งจริงๆ!

หลินอิ่งลงจากรถและเดินเข้าไปในห้องโถงต้อนรับที่ชั้นหนึ่งของจื๋อเฉิงกรุ๊ป

“นายคะ คุณมาหาใครคะ”พนักงานต้อนรับหญิงถามอย่างสุภาพ

“ฉันหาหยูจื๋อเฉิง” หลินอิ่งพูดอย่างเฉยๆ

ทันทีที่พูดประโยคนี้ ผู้คนที่เดินผ่านก็ตกตะลึงและจ้องมองไปที่หลินอิ่ง แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เดินผ่านไปด้วยสีหน้าจริงจัง

“นายคะ คุณกำลังพูดเล่นหรือไม่?” พนักงานต้อนรับหญิงมองไปที่หลินอิ่ง “คุณมีนัดหมายหรือไม่? ”

“ไม่มีนัดหมาย”หลินอิ่งพูดอย่างเฉยๆ “คุณไปบอกเขาว่า พี่ชายเขามาหา”

สีหน้าพนักงานต้อนรับหญิงเหยียดหยาม รักษาคุณภาพของอาชีพ ไม่พูด

ล้อเล่นอะไร คุณหยูจื๋อเฉิงประธานเป็นตัวละครแบบไหน? ครั้งที่แล้ว แม้แต่รองหัวหน้าเขตมาหาประธาน เขาก็รออยู่ที่ล็อบบี้นานกว่าสิบชั่วโมง ชายคนนี้ที่ใส่เสื้อถูกๆและอ้างว่าเป็นพี่ใหญ่ของประธานย?

“แกมาตลกเหรอ? แกเป็นพี่ใหญ่ของประธานเรา”

ในขณะนี้ ชายหัวโล้นที่ใส่ชุดสูทสีดำเดินออกจากลิฟต์ มองไปที่หลินอิ่งด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม และหัวเราะเยาะ

“ไล่คนนี้ออกไป ทำไมมีคนแบบไม่รู้ที่ตายทุกวัน!” ชายหัวโล้นโบกมือด้วยสีหน้าที่รำคาญ “ไม่ดูว่าตัวใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งอะไร เช่นเดียวกับนักเรียน ยังไม่โตเลย”

ซวาๆ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใส่เสื้อเครื่องแบบหลายสิบคน วิ่งมาและล้อมรอบหลินอิ่ง

“ออกไปเอง อย่าให้เราช่วย ไอ้เด็กตัวเล็ก มาหาเรื่องอะไรที่ยังวัยรุ่น”

“ก็ไม่มองว่านี่คือสถานที่อะไร นี่เป็นสถานที่ที่แกสามารถมาหาเรื่องได้ด้วยไม่”

สีหน้าหลิงอิ่งเฉยๆและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันจะพูดครั้งสุดท้าย ฉันมาหาหยูจื๋อเฉิง”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท