ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่116 คุณไปที่ข้างถนนเพื่อทำจางฉีโม่

บทที่116 คุณไปที่ข้างถนนเพื่อทำจางฉีโม่

บทที่116 คุณไปที่ข้างถนนเพื่อทำจางฉีโม่

หวางกั๋วคางยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม ก่อนจะตอบรับ

“หลังจากนี้ จื่อเหวิน คุณมาอยู่ที่บริษัทเครื่องประดับจางซื่อ แล้วมาเป็นประธานบริหารเถอะ” หวางกั๋วคางค่อยๆ พูด

หวางจื่อเหวินมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะส่งสายตาให้จางหงซวน

“เหอะๆ” จางหงซวนกระแอม ก่อนจะหันไปหาหุ้นส่วน “ทุกๆ ท่านที่นั่งลงอยู่ การเป็นหุ้นส่วนจะไม่เปลี่ยนไป แต่ว่าฉันมีเรื่องสำคัญจะประกาศ จางฉีโม่ รองประธานจาง ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นประธานชำนาญการในการดูแลเรื่องราวต่างๆ และรองประธานแล้ว เขากลายเป็นแค่คนที่เกี่ยวข้องกันเพียงความสัมพันธ์เท่านั้น และพึ่งพาคนนอกอย่างอูหยางในการเข้ามา”

“ดังนั้น ฉันอยู่ในฐานะประธาน กำลังประกาศอย่างเป็นทางการ ว่างานและภาระหน้าที่ต่างๆ ของจางฉีโม่นั้น จะถูกไล่ออกในไม่นานนี้เลย!”

“จางฉีโม่ ตอนนี้คุณออกไปได้แล้ว!ออกไปจากอาคารเป่าติ่งเดี๋ยวนี้!” จางหงซวนพูดเสียงเย็นชา “จริงสิ แล้วก็ยังมีผู้ช่วยของคุณก็คือหลินอิ่ง ไอสารเลวนั้น ก็ถูกไล่ออกไปด้วย!”

“พวกคุณ!พวกคุณมีสิทธิ์อะไร!” จางฉีโม่มีแววตาที่สั่นไหว คิดไม่ถึงเลยว่าภายในบริษัทนี้จู่ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากขนาดนี้ ประธานกรรมการอูถูกผู้ร่วมมือเตะออกไปแล้ว

อีกอย่าง จางหงซวนเองก็คงจะไล่ตัวเองออกไปจากบริษัทด้วยหรือเปล่านะ?

มีสิทธิ์อะไรนะ?ช่วงนี้ตัวเองใช้ความคิดและเหน็ดเหนื่อยมามาก ช่วยบริษัทออกแบบเครื่องประดับอะไรมากมาย แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่น่าตกใจขนาดนี้เลยเหรอ?มันคือราคาของความสำเร็จงั้นเหรอ?

พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาวางอำนาจแบบนี้นะ อยากจะสกัดดาวเหรอ?อยากจะแย่งผลงานงั้นเหรอ!

“มีสิทธิ์อะไรงั้นเหรอ?ก็สิทธิ์ที่ฉันเป็นประธานกรรมการบริษัทอย่างไรล่ะ!ฉันบอกว่าไล่คุณออก ก็คือให้ออกไป!รีบออกไปเดี๋ยวนี้!” จางหงซวนพูดด้วยความทระนง

“เห้อ ประธานกรรมการจาง พูดจาเกรงใจหน่อย” หวางจื่อเหวินพูดอย่างวางมาด

“ใช่ ประธานกรรมการหวางพูดถูก” จางหงซวนยกยอ

“ฉีโม่ อันที่จริงมันง่ายมากเลย วันนี้ตอนกลางคืนคุณมากินข้าวกับฉันสิ” หวางจื่อเหวินพูดด้วยท่าทีเล่นๆ “ฉันจะดูแลคุณเอง!ไม่ต้องพูดถึงรองประธานเล็กๆ ถึงคุณอยากจะเป็นประธานของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ฉันก็เอาตำแหน่งนั้นมาให้คุณได้!”

“เป็นอย่างไร?ก็แค่กินข้าวมื้อเดียวเท่านั้นเอง” หวางจื่อเหวินยิ้มเยาะพลางพูด ก่อนจะมีแววตาหิวกระหาย

“พวกคุณ!” จางฉีโม่ได้รับการดูถูกมากขนาดนั้น จะไปไม่เข้าใจคำพูดของหวางจื่อเหวินได้อย่างไร

“คุณกำลังฝัน!ลาออกก็ลาออก!ไม่เสียดายหรอก!” จางฉีโม่โกรธจนทิ้งป้ายรองประธานบนโต๊ะ พลางเดินออกจากห้องทำงานด้วยความโกรธ

เธอมีแววตาน้อยอกน้อยใจ น้อยใจเป็นอย่างมาก แถมยังถูกคนอื่นมาดูถูกความเป็นคนอย่างมากอีกด้วย!

“หึ!ผู้หญิงหน้าไม่อาย!” หวางจื่อเหวินพึมพำ แววตายิ่งมีความรังเกียจมากขึ้นไปอีก

หลังจากนั้นห้านาที

จางฉีโม่เดินออกมาจากอาคารเป่าติ่ง ความโกรธก็ลดลงไม่ง่ายเลย อู่เจิ้งจดรถอยู่ข้างทาง ก่อนจะเดินลงมาจากรถ แล้วเปิดประตูรถ

ในตอนนั้นเอง มีบอดี้การ์ดใส่สูทเดินออกมา ก่อนจะขวางจางฉีโม่เอาไว้

“พวกคุณจะทำอะไร?” จางฉีโม่ตกใจ ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสงสัยโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีชายฉกรรจ์มาได้อย่างไรกัน

“เหอะๆ ฉีโม่ คุณจะรีบไปไหนขนาดนั้น?ก็บอกแล้วว่าแค่กินข้าวด้วยกันมื้อเดียว” หวางจื่อเหวินเดินมาจากข้างหลังอย่างโอ่อ่า ด้านข้างๆ ก็เป็นหวางกั๋วคางที่มีสีหน้าจริงจัง

“หวางจื่อเหวิน ฉันบอกแล้วว่าจะไม่กินข้าวกับคุณ คุณจะทำไมเหรอ?” จางฉีโม่ถามขึ้นด้วยความโกรธ

“อยากจะทำอะไรงั้นเหรอ?แน่นอนว่าอยากจะทำคุณไงล่ะ!” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความบ้าคลั่ง

“เอาผู้หญิงคนนี้ขึ้นรถไป แล้วเอาไปส่งที่บ้านพักตากอากาศของฉัน แล้วเตรียมกล้องถ่ายเอาไว้ด้วย!คืนนั้นฉันจะจับเธอเอาไว้ให้ได้เลย!” หวางจื่อเหวินโบกมือเพื่อสั่งการ แววตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง

แค่หวางจื่อเหวินคิดว่าผู้หญิงที่สวยงามตรงหน้านี้ จะไปอยู่บนเตียงของตัวเองในคืนนี้ ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมากแล้ว!

หลินอิ่งไร้ประโยชน์คนนั้น กล้ามาใช้อำนาจของหวางหงหลิงในการทำให้ตัวเองต้องมาคุกเข่าหน้าประตู แถมยังให้คนมาถ่ายเอาไว้ด้วย!ให้ตายเถอะ วันนี้จะทำให้ภรรยาของเขาได้โดนถ่านแล้วเอาไปลงบนอินเทอร์เน็ตบ้างแล้วล่ะ!

“อะไรนะ?คุณบ้าไปแล้วเหรอ ไอเดรัจฉาน!” จางฉีโม่เองก็ถูกคำพูดบ้าๆ ของหวางจื่อเหวินทำให้ตกใจ คิดไม่ถึงเลยว่าจะคนที่บ้าบอมากขนาดนี้อยู่ด้วย!

“เดรัจฉานเหรอ?คืนนี้คุณคงจะไม่เรียกฉันแบบนั้นแล้ว เสียงดังมากนักเหรอ เก็บแรงไว้ร้องคืนนี้เถอะ” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความเกลียดชัง และคำพูดเต็มไปด้วยความดูถูก

ตอนที่กำลังพูดไปบอดี้การ์ดใส่สูทสิบกว่าคนก็ปรี่เข้ามา อยากจะพยายามพาจางฉีโม่ไป

ปัง!

ในตอนนั้นเอง อู่เจิ้งที่สูงกว่าเมตรเก้าสิบก็ปรี่เข้ามา ก่อนจะเตะบอดี้การ์ดใส่สูทหลายคนปลิว

“กลางวันแสกๆ พวกคุณอยากจะทำอะไรเหรอ?” อู่เจิ้งพูดด้วยความโกรธ ไม่ต้องพูดว่าตัวเองเป็นบอดี้การ์ดคนขับรถของประธานจาง ถึงจะเป็นคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วมาเห็นอะไรแบบนี้ ถึงจะเคยเป็นทหารมาก่อน ก็ไม่มีทางคุ้นชินกับท่าทีเดรัจฉานแบบนี้!

“ให้ตายเถอะ รนหาที่ตาย!ทำร้ายเขาเลย!” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความโกรธ

เกิดการตีกันยกใหญ่ บอดี้การ์ดหลายสิบคนนั้นเข้ามาตีอู่เจิ้ง ถึงแม้ว่าอู่เจิ้งจะเก่งกาจ แต่ก็ต้านคนสิบกว่าคนที่เข้ามาพร้อมๆ กันไม่ได้ หลังจากที่ล้มคนสามสี่คนได้ ก็ถูกจับมัดและกดลงที่พื้นเสียเอง

“ฉันจะบอกพวกคุณให้ พวกคุณกล้ามาทำไม่ดีกับประธานจาง ถ้าประธานหลินรู้เข้า พวกคุณต้องตายแน่ๆ !” อู่เจิ้งพูดด้วยความเกลียดชัง พลางกัดฟันแน่น

“ห๊ะ?คุณหมายถึงไปคนจนไร้ประโยชน์อย่างหลินอิ่งงั้นเหรอ?เขาแค่กินดีอยู่ดีก็เพราะหวางหงหลิงเท่านั้นเอง จะไปเก่งอาจอะไรได้อีก?” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความไม่แยแส เมื่อพูดถึงหลินอิ่ง ในแววตาก็มีแต่ความเกลียดชัง

“เหอะ จื่อเหวิน นี่คือภรรยาของหลินอิ่งงั้นเหรอ?” หวางกั๋วคางยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชาและพูดขึ้น “กล้ามางัดกับลูกสาวของคุณท่านแบบนี้ ดูถูกกันแบบนี้อีก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลย ตอนนี้คุณท่านรู้เรื่องนี้แล้ว เลยให้หวางหงหลิงออกจากตระกูลหวางบ้านพักตากอากาศไป ไอคนที่กินฟรีอยู่ฟรีนั่น ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก?”

จางฉีโม่มีสีหน้าซีดเซียว อยากจะหนีออกไป แต่กลับถูกบอดี้การ์ดใส่สูทหลายสิบคนล้อมเอาไว้ เลยเดินออกไปไหนไม่ได้เลย

“แหะๆ ฉีโม่ คุณอย่าคิดจะไปไหนเลย คืนนี้มาเล่นกับฉันเถอะ” หวางจื่อเหวินเอามือสีกัน จนน้ำลายแทบหกแล้ว

“ไอเดรัจฉาน ฝันไปเถอะ!” จางฉีโม่โกรธเป็นอย่างมาก จนสั่นไปทั้งตัว

“เหอะ คุณยังจะมาทำเป็นใสซื่ออีกเหรอ?ไอหญิงงามเมือง!” หวางจื่อเหวินยิ้มด้วยความเยือกเย็นก่อนพูดขึ้น “อย่ามาคิดว่าฉันไม่รู้ ว่าคุณได้รับการอนุเคราะห์จากอูหยางที่จางซื่อกรุ๊ปเนี่ย แถมยังได้เป็นรองประธานอีก คุณยังกล้ามาบอกว่าคุณไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับอูหยางอีกเหรอ?”

“เพื่อตำแหน่ง ฉันว่าคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องขายไปกี่ครั้ง?ขนาดกับอูหยางคุณยังเต็มใจที่จะขายเลย ทำไมเหรอ?ฉันทำบ้างไม่ได้หรือไง?” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความเกลียดชัง

“คุณกำลังดูถูกฉันนะ!คุณมันพูดมั่วๆ ไปเรื่อย!” จางฉีโม่โกรธเป็นอย่างมาก เพราะเขากำลังดูถูกตัวตนของเธออยู่

“ลูกชาย พูดมากกับเธอทำไม?” หวางกั๋วคางกำชับขึ้น ก่อนจะพูดคำที่ทำให้ทุกคนอึ้งไป “หาผู้หญิงคนหนึ่งมันยากขนาดนั้นเลยเหรอไง?แถมยังตามจีบอยู่ตั้งนาน?ยังจีบไม่ได้อีก?ไม่ได้เรื่อง!”

“ไม่ต้องเอากลับไป!” หวางกั๋วคางยิ้มด้วยความเยือกเย็นก่อนพูดขึ้น “ลูกชาย คุณทำมันข้างทางนี่แหละ แล้วถ่านเก็บเอาไว้ด้วย!”

“พ่อ?” หวางจื่อเหวินมีแววตาแปลกไป ก่อนจะพูดด้วยความทะเยอทะยาน “คุณนี่มีแผนดีจริงๆ เลย!”

“เหอะ วางใจเถอะ เรื่องผู้หญิงน่ะเรื่องเล็ก พวกเราตระกูลหวางทำให้มันง่ายได้หน่า” หวางกั๋วคางพูดด้วยความติดตลก “ฉันไม่เชื่อหรอกนะ ว่าเธอจะสามารถประกาศเรื่องนี้ออกไปได้น่ะ?หลังจากนี้ต้องเป็นนกในกรงทองของลูกชายคุณ ไม่อย่างนั้น จะโยนเข้าไปในอาคารที่เต็มไปด้วยฝุ่น แล้วขายเธอซะ!”

หวางกั๋วคางยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา เรื่องแบบนี้ ตอนที่เขาวัยรุ่นทำไปแล้วตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ลูกชายโง่ๆ คนนี้ จะต้องเสียเงินเพื่อจีบอีกเหรอ?ทำตรงๆ เลยก็จบแล้ว

“แกนี่มันเดรัจฉานจริงๆ พ่อลูกอย่างพวกคุณก็เป็นเดรัจฉานเหมือนกัน!” อู่เจิ้งด่าขึ้นมา คิดไม่ถึงเลยว่าบนโลกใบนี้ จะมีพ่อลูกที่ไร้ยางอายขนาดนี้!

“ฉีโม่ งั้นฉันจะมาเองนะ!” หวางจื่อเหวินยิ้มร้ายๆ ขึ้น ก่อนจะเข้าไปคว้าตัวจางฉีโม่ แต่กลับคว้ามือเปล่า จับถูกเสื้อคลุมของจางฉีโม่ ก่อนจะสะบัดออก

ภายในเสื้อคลุมของจางฉีโม่นั้นเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว ทำให้เห็นเรือนร่างสวยงามอย่างชัดเจน แววตาของหวางจื่อเหวินนั้นเปล่งประกาย

วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว จางฉีโม่ก็ทั้งตกใจแล้วโกรธมาก ก่อนจะโทรศัพท์ มันเป็นเบอร์ที่หลินอิ่งได้ให้เธอเอาไว้ก่อนจะไป

“ฮัลโหล คุณนายหลิน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ปลายสายโทรศัพท์ มีเสียงของเสิ่นซานดังขึ้นมาอย่างเคารพ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท