ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่118 หลังจากที่ตระกูลหวางหายไป

บทที่118 หลังจากที่ตระกูลหวางหายไป

บทที่118 หลังจากที่ตระกูลหวางหายไป

“ได้เลย!ท่านหลิน เดี๋ยวฉันจะไปทำ!จากนั้นจะรายงานข่าวกับคุณ” เสิ่นซานพูดด้วยความเคารพ

เมื่อเสียงติ๊ดดังขึ้น

สายถูกตัดไป เสิ่นซานเช็ดเหงื่อ ก่อนจะมองพ่อหวางกั๋วคาง ด้วยความแค้นใจ

ถ้าเกิดวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับจางฉีโม่ ตัวเองจะต้องตายแน่นอน!ตระกูลหวางเองก็ต้องเลือดไหลเป็นสายน้ำ!

ให้ตายเถอะ พ่อลูกคู่นี้มันรนหาที่ตายจริงๆ เลย กล้ามาทำร้ายคุณนายหลินงั้นเหรอ!

เสิ่นซานเดินเข้ามาด้วยความโกรธแค้น ข้างๆ มีพี่น้องสามหลิวจุน คนบนรถเอสยูวีนั้นต่างเป็นพวกโง่เง่าที่นั่งรอคำสั่งอยู่

“เสิ่นซานงงั้นเหรอ?” หวางกั๋วคางพูดด้วยความสั่นเกรง พลางมองเสิ่นซานด้วยความไม่อยากจะเชื่อ และต้องตกใจเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้

เสิ่นซานมาเองจริงๆ ด้วย?นี่มันไม่กี่นาทีเอง?มาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?

ในตอนนั้นเอง ขนาดพวกบอดี้การ์ดที่ถือกระดาษหนังสือพิมพ์สีดำ ยังรู้สึกงุนงง และรีบเก็บขึ้นมา และไม่กล้าหันไปหาใครแล้ว

ให้ตายเถอะ คนที่อยู่บนรถเอสยูวีกว่ายี่สิบคัน ก็กำลังตั้งตาคอย เมื่อมองผ่านกระจกดำมืดนั้นก็เห็นได้ว่ารถทุกๆ คันนั้นกระเป๋าตกปลาสีดำอยู่ด้วย!พวกโง่พวกนั้นก็รู้ได้เหมือนกันว่าจะเอามาทำอะไรกัน!

ท่าทีแบบนี้ มันทำให้บอดี้การ์ดกลุ่มนั้นตกใจหันหมด

ปักๆ !

สามพี่น้องตระกูลหลิวไม่ได้พูดอะไรให้มากความ รีบเข้าไปเตะต่อยอย่างรวดเร็ว จนล้มบอดี้การ์ดของหวางกั๋วคางลงได้ทั้งหมด เพียงไม่นานก็เตะต่อยจนหัวเลือดไหลได้ ก่อนจะกุมหัวพลางร้องโอดครวญกันใหญ่

ทั้งสามคนนั้นมือหนัก จนสามารถต่อยหินให้แตกได้เลย ใช้มือแทนมีดได้อย่างง่ายดาย นี่ไม่ใช่เล่นๆ เลยล่ะ!ถ้าอยากจะฆ่าให้ตาย ใช้เพียงการเตะต่อยไม่กี่ทีก็สามารถฆ่าคนพวกนั้นลงได้แล้ว

“ส่งคุณนายหลินกลับบ้าน” เสิ่นซานกำชับ

เพียงไม่นาน อู่เจิ้งก็ลุกขึ้นยืนเปิดประตูรถ ก่อนที่จางฉีโม่ที่สั่นกลัวนั้นจะขึ้นรถไป จากนั้นชายชุดดำหลายคนก็หันกลับไปนั่งบนรถเอสยูวี แล้วตามหลังรถของจางฉีโม่ไป

จางฉีโม่เกรงกลัวเป็นอย่างมาก เมื่อขึ้นรถแล้วแต่ก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ ถ้าเกิดว่าวันนี้ไม่มีเพื่อนของหลินอิ่งช่วยเอาไว้ ก็ต้องจบเห่อย่างแน่นอน!

ไม่รู้เหมือนกัน ว่าหลินอิ่งไปรู้จักเพื่อนคนนี้ได้อย่างไร มีอำนาจและกำลังมาก แถมยังไว้หน้าของเขามากอีกด้วย

อู่เจิ้งนั่งอยู่บนรถอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรเลย ความเก่งกาจของประธานหลินนั้น สามารถเปลี่ยนสถานการณ์แบบนี้ได้ มันก็ไม่ได้น่าแปลกใจเลย!

ติ๊ดๆ โทรศัพท์ของจางฉีโม่ดังขึ้น

“ฉีโม่ ตอนนี้คุณปลอดภัยหรือยัง?” หลินอิ่งถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“ฉันไม่เป็นไร ตอนนี้กำลังกลับบ้าน” จางฉีโม่พูด

“ฉันไม่อยู่ที่เมืองชิงหยูน มีเรื่องอะไร ก็ให้รีบโทรหาเบอร์ที่ฉันทิ้งไว้ให้คุณ” หลินอิ่งพูดด้วยความจริงจัง

“ฉันรู้แล้ว เพื่อนคุณนี่มีความสามารถมากเลยจริงๆ คุณไปรู้จักได้อย่างไร?” จางฉีโม่ถามขึ้นด้วยความสงสัย

“เรื่องพวกนี้ เดี๋ยวฉันกลับไปแล้วจะเล่าให้คุณฟังก็แล้วกัน”

“ได้” จางฉีโม่พยักหน้า และไม่ได้ถามอะไรต่อไป

เธอรู้สึกไม่สบายใจ ก่อนจะจับมือน้อยๆ ด้วยแววตาสงสัย โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ที่หน้าทางเข้าของอาคารเป่าติ่ง

พ่อหวางกั๋วคางอึ้งอยู่กับที่ โดยมีท่าทีไม่อยากจะเชื่อ และมองจางฉีโม่ออกไปด้วยความอึ้งตะลึง แต่กลับไม่กล้าเข้าไปขวาง

“นี่ ท่านเสิ่นซาน เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?” หวางกั๋วคางฝืนยิ้มออกมาพลางพูด

“ท่านเสิ่นซาน เข้าใจผิดไปแล้ว พวกเราคิดไม่ถึง ว่าจางฉีโม่จะเป็นคนของคุณ” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความขมขื่น

“คิดไม่ถึงจริงๆ นะ ท่านเสิ่นซาน ถ้ารู้ว่าจางฉีโม่เป็นผู้หญิงของคุณ ฉันจะไปกล้าลงมือได้อย่างไรกัน” หวางจื่อเหวินยิ้มพลางพูด “อั้ยหยา ดูๆ ไปแล้ว คนจนอย่างหลินอิ่งคงจะเอาภรรยาของตัวเองมาให้คุณ ครั้งก่อนเรื่องที่ชุมชนสุ่ยหยวนนั้นก็เป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันคิดว่า ท่านสาม คนไม่เอาถ่านอย่างหลินอิ่งน่ะ กำลังใช้คุณมาสู้กับพวกเราตระกูลหวาง!”

“อย่าให้คนไร้ค่าอย่างเขา มาแทรกกลางระหว่างเราเลย!”

สีหน้าของเสิ่นซานนั้นเยือกเย็น พวกไม่รู้จักกลัวตาย ยังกล้ามาทระนงต่อหน้าท่านหลินอีกเหรอ?

“ท่านเสิ่นซาน เอาแบบนี้เถอะ ฉันจะไปเปิดงานเลี้ยงที่โรงแรมชิงหยูน เราดื่มกันสักหน่อยไหม?ทุกๆ คนไปดื่มกันหน่อยไหม” หวางกั๋วคางพูดด้วยความเกรงใจ

ปัง!

เสิ่นซานยกมือขึ้น หลิวจุนเลยรีบปรี่เข้าไปเตะหวางจื่อเหวิน จนกระอักเลือด และตบอีกหลายครั้งจนหน้าบวม

เสิ่นซานเองก็โมโห เลยลงมือด้วยตัวเอง แล้วปรี่เข้ามาเตะ ก่อนจะเตะเข้าที่หัวของหวางจื่อเหวินอย่างเต็มแรง จนหัวเขาบวมขึ้นมา!

“คุณกล้ามาพูดอะไรแบบนี้เหรอ?” เสิ่นซานพูดเสียงเย็นชา จนทำให้หวางจื่อเหวินตกใจจนฉี่รดกางเกง และตกใจจนทำตัวไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ท่านเสิ่นซาน คุณมาทำร้ายลูกชาย ต่อหน้าฉันงั้นเหรอ?นี่มันมากเกินไปแล้วหรือเปล่า!เรื่องของคุณกับตระกูลโจยังไม่จบเลย ตอนนี้ยังมีเรื่องกับพวกเราตระกูลหวางอีกเหรอ?” หวางกั๋วคางพูดเสียงต่ำ ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้

“ท่านเสิ่นซาน อย่ามามีเรื่องกับตระกูลหวาง เพียงเพราะว่าผู้หญิงของเล่นคนเดียวเลย ตอนนี้คุณพาคนออกไป เรื่องในวันนี้ทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น!” หวางกั๋วคางพูด

ท่านเสิ่นซานมีอำนาจไม่น้อยเลย แต่ตระกูลหวางเองก็ไม่ได้กินมังสวิรัติ!

เขายังไม่เชื่อ ว่าเสิ่นซานจะสามารถมาตายอยู่ในตระกูลหวาง เพื่อผู้หญิงคนเดียว

“คุณบอกว่าจางฉีโม่เป็นแค่ของเล่นเหรอ?” เสิ่นซานสูดหายใจแรง ก่อนจะนวดขมับ เพราะปวดหัวมาก หวางกั๋วคางนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“หรือว่าไม่ใช่เหรอ?หรือว่า ท่านเสิ่นซานยังอยากจะแต่งงานกับเธออีกเหรอ?” หวางกั๋วคางถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ

“ฉันจะแต่งกับคุณเหรอ!หมาโง่อย่างคุณน่ะเหรอ!”

เสิ่นซานด่าออกไป ก่อนจะตบหน้าของหวางกั๋วคาง จนทำให้หน้าของหวางกั๋วคางนนั้นสั่น และแววตาเต็มไปด้วยความกลัว

มันเกิดอะไรขึ้นกัน?คนระดับพวกเขาแล้ว นอกจากจะทำให้อีกฝ่ายตาย ถ้าไม่อย่างนั้นคงจะไม่มาลงมือตบหน้าแบบนี้หรอก?เสิ่นซานสติเสียไปแล้วเหรอ?

หวางกั๋วคางคิดไม่ออก ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เพี๊ยะๆ !

สามพี่น้องหลิวจุนรียเข้ามาจับพ่อหวางกั๋วคาง คนละทีสองที อย่างไม่หยุดเลย ตบต่อยจนน้ำหูน้ำตาไหล เลือดไหลโชก ปากก็บวมเหมือนกับไส้กรอกเลย

“เสิ่นซาน คุณสู้คนไม่มีทางสู้นี่!” หวางกั๋วคางพูดด้วยความโกรธ น้ำเสียงเปลี่ยนไป ปากแทบจะรั่วแล้ว

“วันนี้ฉันทำร้ายคุณแล้วจะทำไม?คนกากๆ อย่างนี้ ยังกล้ามาทำอะไรคุณนายหลินกลางถนนอีกเหรอ?เชื่อไหมล่ะ ว่าพรุ่งนี้ฉันจะเอาภรรยาคุณมาผลัดกันทำแบบนี้ที่ถนนบ้างดีไหม?” เสิ่นซานพูดด้วยความดุดัน

“นี่ นี่!” หวางกั๋วคางโกรธจนหน้าแดงเป็นอย่างมาก เขาเป็นนายที่สองของตระกูลหวาง จะมาโดนทำร้ายเหมือนหมาแบบนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

“นี่มัน ให้ตายเถอะ!”

มีเสียงเพี๊ยะดังขึ้นอีกครั้ง เสิ่นซานด่าแล้วก็ต่อยอีก ก่อนจะดึงผมของหวางกั๋วคางขึ้นมา พลางตบจนหวางกั๋วคางไม่มีสติเหมือนเดิมแล้ว

ทำร้ายจนเสร็จแต่ก็ไม่หายโกรธอยู่ดี เสิ่นซานดึงหัวของหวางกั๋วคาง ก่อนจะเอาเข่ากระแทกคางเต็มแรง ปัง จนหวางกั๋วคางนั้นเลือดออกเต็มไปหมด ฟันก็หักออกมาสองซี่แล้ว

วันนี้เสิ่นซานโกรธเป็นอย่างมาก ตัวเองนั้นไม่ชอบเห็นท่าทีของเดรัจฉานพวกนี้ เมื่อเห็นความไม่เท่าเทียมก็จะลงมือ แถมนี่เป็นผู้หญิงของท่านหลินอีกด้วย?

ท่านหลินกำลังดูการถ่ายทอดสดทางนั้น โดยไม่สนใจเดรัจฉานทั้งสองตัวนั้นอีก วันนี้ตัวเองเกือบจะไม่มีชีวิตรอด อีกนิดเดียวก็เกือบจะถูกพ่อลูกเดรัจฉานสองตัวนี่ทำร้ายจนตาย!

เมื่อคิดๆ ไป เสิ่นซานก็กำหมัดต่อยปากของหวางจื่อเหวินอีก ก่อนจะต่อยฟันแข็งๆ นั้นหลายรอบ ปากของพ่อหวางกั๋วคางนั้นแทบจะรั่ว จนพูดไม่ชัดแล้ว

ตอนที่เสิ่นซานยังเด็กๆ นั้นเคยเรียนการต่อสู้อยู่ไม่น้อย ยิ่งตอนที่ยังแข็งแรงๆ อยู่ เขาแข็งแรงเป็นอย่างมาก

“ฉัน ฉัน พวกเราตระกูลหวางจะไม่มีทางปล่อยคุณไปอย่างแน่นอน” เสียงของหวางกั๋วคางนั้นข่มขู่อย่างไม่เป็นปกติ

“คิดว่าฉันจะปล่อยไปงั้นเหรอ!วันนี้พวกคุณตระกูลหวางจะไม่มีที่ยืนต่อแล้ว!ไอพวกหมาโง่!”

เสิ่นซานโกรธเป็นอย่างมาก ก่อนจะปรี่เข้าไปเตะเอวของหวางกั๋วคาง เพียงแวบเดียวหวางกั๋วคางก็ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

ก่อนจะหันกลับหลังไป ก็เตะเอวของหวางจื่อเหวินแรงๆ อีกหนึ่งครั้ง สีหน้าของหวางจื่อเหวินซีดลง และร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บปวด!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท