ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่119 คุณคือลูกเนรคุณเมื่อหลายสิบปีที่แล้วเหรอ?

บทที่119 คุณคือลูกเนรคุณเมื่อหลายสิบปีที่แล้วเหรอ?

บทที่119 คุณคือลูกเนรคุณเมื่อหลายสิบปีที่แล้วเหรอ?

“หา!โอ๊ย!ฟู่ๆ”

พ่อหวางกั๋วคางร้องครวญครางไม่หยุด ตอนที่ไข่แตก มันเจ็บจนทำให้พวกเขาแทบจะเป็นลมล้มพับไป

“คุณ คุณกล้าขนาดนั้นเลยเหรอ?” หวางกั๋วคางพูดด้วยความกลัวและตกใจ โดยไม่อยากจะเชื่อเลย ท่านเสิ่นซานลงมืออย่างดุดัน!นี่มันอยากจะมีเรื่องกับตระกูลหวางชัดๆ !

“กล้าขนาดนี้ได้อย่างไรงั้นเหรอ?ได้ ฉันจะกล้าให้ดู!” เสิ่นซานยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา ก่อนจะยกเท้าขึ้นเหยียบเข้าไปเต็มๆ และเหยียบต่อไป เหยียบเสียจนหวางกั๋วคางร้องออกมาด้วยความบ้าคลั่ง หน้าแดงก่ำ และซีดเซียวลงไป

“ตอนนี้ คุณยังจะถามอีกไหม ว่าฉันกล้าหรือไม่กล้า?” เสิ่นซานถามเสียงเย็นชา ก่อนจะมองพ่ออย่างหวางกั๋วคางด้วยความรังเกียจ ทั้งสองคนกลั้นฉี่และอึเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ในกางเกงนั้นมีแต่กลิ่นเหม็น

ถ้าไม่ใช่ท่านหลินสนับสนุน เขาคงจะไม่กล้าทำแบบนี้กับคนตระกูลหวาง แต่มีท่านหลินอยู่ ตระกูลหวางมันจะมีความหมายอะไร?กล้ามาแก้แค้น ตระกูลหวางก็รอวันจบได้เลย!

“ฉัน ฉันกลับไป ถ้าเกิดจะใช้อำนาจและกำลังทั้งหมดของตระกูลหวาง อาจจะต้องออกทั้งแรงและใช้เงิน ในการฆ่าคุณเสิ่นซานเลยล่ะ!” หวางกั๋วคางโกรธเป็นอย่างมาก โดยถูกทำร้ายจนกระทั่งไม่มีสติชัดเจนเหมือนเดิมแล้ว

นี่มันกะจะเอาให้สาบสูญไปเลยนี่หน่า!

หวางกั๋วคางกับหวางจื่อเหวิน ทั้งสองคนรู้ว่าจบเห่แล้ว ฟ้าพังทลาย เสิ่นซานนี่ร้ายจริงๆ ทำเรื่องราวต่างๆ ได้สุดจริงๆ !

“จะฆ่าฉันงั้นเหรอ?” เสิ่นซานยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา “เชื่อไหมล่ะ ว่าฉันจะฆ่าคุณทั้งสองได้เลยในตอนนี้?ยังไม่ยอมน้อมให้อีกเหรอ?”

“ท่านสาม ฉันว่า ให้พวกเราทั้งสามเป็นคนกำหนดชะตาของพวกเขาดีกว่า” หลิวจุนพูดด้วยความทะเยอทะยาน ก่อนจะเอามือถูกัน พลางมองท่านเสิ่นซานที่ทำร้ายอย่างน่าสนใจ ตัวเองก็อยากจะทำบ้าง เลยได้เป็นการขอความกรุณาจากท่านหลินไปในตัวด้วย

“พวกคุณทั้งสามคนเบามือหน่อยก็แล้วกัน” เสิ่นซานพูดด้วยความจริงจัง พลางพยักหน้า

ถ้าเกิดว่าพี่น้องทั้งสามใช้แรงเต็มกำลังเหมือนกับเขา พ่อหวางกั๋วคางคงจะตายเอาได้ง่ายๆ เลยล่ะ

ท่านหลินไม่ได้บอกให้ฆ่าหวางกั๋วคางให้ตาย ก็ให้พวกเขาได้มีชีวิตรอดสักหน่อย

ปัก!ปั่ก!

พี่น้องทั้งสามอย่างหลิวจุนลงมือ ก็ทำให้คนตัวแทบลอย เหมือนกับเตะฟุตบอล เตะไปเตะมา จนกระดูกของพ่อหวางกั๋วคางแทบละเอียด ร้องโอดครวญ น้ำตาไหล

“ยังไม่เคารพกันอีกเหรอ?อยากจะมีชีวิตต่อ ก็คุกเข่าลงให้ฉันตอนนี้เลย ขอโทษ และสำนึกผิดด้วย!” เสิ่นซานพูดเสียงเย็นชา

หลิวจุนหยุดมือ แค่คนละไม้คนละมือ ก็ทำให้พ่อหวางกั๋วคางกองอยู่บนพื้นแล้ว

ในตอนนั้นเอง หวางกั๋วคางทนไม่ไหวแล้ว เพราะร่างกายกับศักดิ์ศรีนั้นถูกทำร้ายอย่างหนัก มันทำให้พวกเขารู้สึกจบเห่แล้ว กระดูกแทบป่น ฟันหักสิบกว่าซี่ ชีวิตแทบจะหาไม่ ตัวเต็มไปด้วยความเหม็นเน่า ทั้งอึทั้งฉี่ต่างราดออกมา หัวยุ่งหยิง ภาพลักษณ์นั้นดูแย่กว่าพวกขอทานอีก

“คุณจะคุกเข่าลงไหม?จะเอาหัวโขกไหม?ยังพูดได้อยู่ไหม?”

เสิ่นซานพูดเสียงเย็นชา ก่อนจะรีบเข้ามาตบอีก ตบเสียจนแววตาของพ่อหวางกั๋วคางนั้นเหม่อไป เหมือนกับพวกโง่เง่า เมื่อตบตีไปกว่าสิบครั้ง เลยทำให้พวกเขามีปฏิกิริยาขึ้นมา

“ไม่คุกเข่าลงก็ตายซะ” เสิ่นซานพูดเสียงเย็นชา ก่อนจะจุดซิการ์คิวบามอนเต

“โอ้ย!”

เมื่อได้ยินว่าจะทำให้ตาย พ่อหวางกั๋วคางก็ตื่นตกใจ จนรีบคุกเข่าลง พลางเอาหัวโขกพื้น

“พูดไม่เป็นเหรอ?” เสิ่นซานถามเสียงเย็นชา

“โอ๊ย!ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว ฉันสมควรตาย!ท่านเสิ่นซานขอโทษจริงๆ ฉันไปทำร้ายคุณนายหลินโดยไม่รู้กลัวความตาย!คุณทำร้ายก็ดีแล้ว สมควรแล้ว!” หวางกั๋วคางเอาหัวโขกแล้วขอโทษอย่างไร้ศักดิ์ศรี จนสูญเสียศักดิ์ศรีของนักธุรกิจรุ่นใหญ่ไฟแรงไปโดยสิ้นเชิง

หวางจื่อเหวินเองก็โขกหัวอย่างบ้าคลั่ง ปากก็ด่าตัวเองไม่หยุด และขอเพียงให้ไว้ชีวิต

พิการแล้ว เสียไปหมดแล้วจริงๆ

ทั้งสองคนนี้ ไม่เพียงแค่ถูกเสิ่นซานทำร้ายปางตาย กระดูกหัก แถมยังหยามศักดิ์ศรี จนไม่เหลือความเป็นคนแล้ว

แต่ว่า ตัวเขาเอง เหมือนกับเดรัจฉานอย่างพวกเขา โดยไม่มีความเป็นคนจะต้องพูดถึงอยู่แล้ว

“หึ!” เสิ่นซานยิ้มขึ้นด้วยความเย็นชา พลางมองคนพิการทั้งสอง และเพราะปล่องวางไม่ลง

มีเงินและอำนาจมากมายอยู่ในมือเขา พวกนักธุรกิจห่วยๆ ต่างก็ได้รับมรดกมาจากพวกบรรพบุรุษทั้งนั้น

เมื่อกลับสู่รูปแบบเดิม เมื่อไม่มีเงินและอำนาจเปลือกๆ อยู่แล้ว ก็เป็นแค่พวกอ่อนๆ คนหนึ่ง !ชีวิตแทบวอดวาย แถมยังต้องมาคุกเข่าขอร้องอีกงั้นเหรอ?

เสิ่นซานไม่ได้สนใจหวางกั๋วคางที่ถูกทำร้ายจนแทบไม่ได้สติ ก่อนจะหันไปแล้วโทรหาท่านหลิน

“ท่านหลิน คุณดูสิ จัดการแบบนี้ก็ได้เหรอ?” เสิ่นซานถามขึ้นด้วยความเคารพ

เสิ่นซานให้หลิวจุนใช้กล้องถ่ายวิดีโอ ถ่ายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเอาไว้ ก่อนจะส่งให้ท่านหลินดู ท่านหลินเห็นทุกอย่างที่จัดการพ่อหวางกั๋วคางแล้ว

“ได้” ทางสายโทรศัพท์นั้น ท่านหลินพูดด้วยเสียงเรียบๆ

“เดี๋ยวคุณให้หลิวจุนทั้งสามคน หาคนไปดูแลจางฉีโม่ ฉันไม่อยากให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุอะไร!” ท่านหลินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ได้เลย!ท่านหลิน วันนี้เป็นความผิดของข้าน้อยเอง!” เสิ่นซานพูดด้วยความเกรง

“จำเอาไว้ก็ดี ฉันยังติดธุระอยู่”

มีเสียงติ๊ดดังขึ้น หลินอิ่งวางสายไป

เสิ่นซานเหงื่อออกที่หน้าผาก ท่านหลินโกรธเลยกำชับไปแบบนั้น ให้หลิวจุนสามพี่น้องคอยดูแลคุณนายหลินอยู่ห่างๆ

ในใจของเสิ่นซานนั้นโกรธเป็นอย่างมาก ตัวเองมาสู้กับท่านหลินก็กดดันมากพอ ไม่เพียงแค่อาจจะทำให้ไม่มีเงินถุงถังให้ได้กอด หมดอนาคตการเป็นคนรวย และเกือบจะตายแล้ว

คิดไป เสิ่นซานมองกลับไป แล้วเตะเข้าไปที่ตัวของหวางกั๋วคางกับหวางจื่อเหวินอย่างเต็มแรงอีกครั้ง แตะเสียจนพวกเขาร้องออกมา และคุกเข่าขอร้อง

เมื่อเตะอยู่หลายนาที จนหวางกั๋วคางกับหวางจื่อเหวินไม่ได้สติ พูดพึพำคนเดียว เสิ่นซานก็หยุดลง ด้วยความโกรธ ก็พาหลิวจุนสามพี่น้อง ขึ้นรถออกไป

“รองเท้าสกปรกแล้ว ต้องเปลี่ยนแล้วแหละ” เสิ่นซานถุยน้ำลายใส่รองเท้า ด้วยความรังเกียจ อึและฉี่ของทั้งสองเดรัจฉานนั่น ทำให้รองเท้าเขาเปื้อนหมด

พ่อหวางกั๋วคางเหม่ออยู่ที่เดิม พลางหายใจรุนแรง พูดอะไรไม่รู้ภาษา เมื่อปากพูดอะไรไปเรื่อยจนเสร็จ ชีวิตแทบจะไม่รอด ต่างไม่รู้จะทำอย่างไร

บอดี้การ์ดของทั้งสองก็ตกใจอยู่ไม่น้อยเลย ก่อนจะรีบโทรเรียกรถพยาบาล แล้วส่งไปที่โรงพยาบาลเพื่อดูว่ารักษาได้แค่ไหน แล้วค่อยโทรไปรายงานกับคุณท่านของตระกูลหวาง

เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับหวางกั๋วคางกับหวางจื่อเหวิน พวกเขาเองไปทำเรื่องต่ำๆ ก่อน แถมอีกฝ่ายคือเสิ่นซาน หวางเฉิงเฉียนเป็นคนมีความรู้ คงจะไม่ช่วย แต่ว่าคุณท่านหวาง เป็นพ่อแท้ๆ ของหวางกั๋วคางเลยนะ ลูกชาย หลานถูกทำร้ายเสียขนาดนั้น จะให้โกรธแค่นั้นได้อย่างไร?

ต้องรู้ด้วยว่า ตระกูลหวางนั้น ไม่มีใครมีลูกชายเลย

หัวหน้าอย่างหวางเฉิงเฉียนมีลูกสาวอย่างหวางหงหลิง หวางจื่อเหวินเป็นรุ่นที่หนึ่งของตระกูลหวาง และก็เป็นหลานเพียงคนเดียวด้วย

พูดได้ว่า ตระกูลหวาง จะสูญหายไปอย่างแท้จริง…… คุณท่านหวางอาจจะโกรธเป็นอย่างมากก็ได้ แค่คิดก็รู้แล้ว

อีกฝั่ง ตี้จิง ที่พักรักษาจื่อหลงซาน

ในบ้านพักตากอากาศ เมื่อมองเข้าไปในห้องพัก หลินอิ่งเพิ่งจะวางโทรศัพท์ ก่อนจะปิดคลิปคลิปไลฟ์ของที่โทรศัพท์ที่ส่งมา

พ่อหวางกั๋วคาง ไม่รู้จักความเป็นความตายเลย รอให้ตัวเองกลับไปที่เมืองชิงหยูน จะต้องไปเหยียบย่ำตระกูลหวางด้วยตัวเองแน่นอน!

คิดๆ ไป หลินอิ่งเดินไปที่ห้องพักของคุณปู่

ปู่ของหลินอิ่ง ฉีเวิ่นติ่ง เองก็เป็นคนใหญ่คนโตที่คนในประเทศหลุงรู้จักกันทั่วไป!เป็นถึงชายผู้มีเกียรติในการก่อตั้งประเทศ!

หลินอิ่งเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องเยี่ยม หน้าประตูก็มีผู้ชายวัยกลางคนมากมายอยู่หน้าประตู พลางมองเขาอย่างจริงจัง

“คุณ ก็คือลูกเนรคุณเมื่อสิบกว่าปีก่อน ของครอบครัวคุณท่านฉีงั้นเหรอ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท