ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 142 แฟนฉันเจ๋งมาก

บทที่ 142 แฟนฉันเจ๋งมาก

บทที่ 142 แฟนฉันเจ๋งมาก

หลินอิ่งเดินขึ้นมาถึงชั้น3 ตรงระเบียงที่ตัวเองตกแต่งอย่างประณีต รูปแบบได้เปลี่ยนไป ภาพพู่กันจีนที่มีชื่อเสียง ทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นภาพสีน้ำมันตะวันตกราคาถูก แม้แต่สไตล์การตกแต่งก็เปลี่ยนไป แล้วก็มองดูถุงพลาสติกใส่ขยะที่อยู่รอบๆ มีกลิ่นแปลกๆ โชยขึ้นมา

ไม่ต้องคิดให้มาก ต้องเป็นลู่หย่าฮุ่ยทำแน่

“คุณชาย กลับมาแล้วเหรอคะ คือ ทั้งหมดนี้แม่ยายของคุณเป็นคนจัดการค่ะ ฉันห้ามก็ห้ามไม่อยู่ พูดอย่างไรก็ไม่ฟัง” หลี่ผูพูดด้วยสีหน้าลนลาน เหงื่อออกหน้าผาก

จนปัญญาจริงๆ มนุษย์ป้านั่นร้ายกาจเหลือเกิน เห็นแก่หน้าคุณชาย เลยลงมือไม่ได้ เถียงก็ไม่ชนะ

“ผมรู้แล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ลงไปกินข้าวเถอะ” หลินอิ่งพูดด้วยเสียงราบเรียบ ไม่มีแก่ใจจะกลับห้องของตัวเอง

แน่นอน เขาไม่เดือดเพราะเรื่องเล็กแค่นี้แน่ วิลล่าราคาไม่กี่ร้อยล้านเอง ซื้อหลังที่ดีกว่าก็เป็นแค่เรื่องเล็ก พวกเขาชอบทำแล้วทำเล่าก็แล้วแต่พวกเขาอยากจะสนุก

พอถึงห้องรับแขกชั้น2 จางซิ่วเฟิงทำกับข้าวเสร็จนานแล้ว ทุกคนล้อมวงกันกินข้าว

“เอะ? ฉีโม่ นี่ก็คือหลินอิ่งที่ว่าเหรอ?” คนวัยกลางคนหนึ่งมองหลินอิ่งอย่างดูถูก

หลินอิ่งมองคนที่อยู่บนโต๊ะอาหารอย่างไร้อารมณ์ นอกจากครอบครัวของภรรยาจางฉีโม่ แล้วยังมีคนอื่นอีก5-6คน ซึ่งไม่รู้จักเลย น่าจะเป็นญาติทางฝั่งลู่หย่าฮุ่ยทั้งหมด

“จริงสิ ฉีโม่ เมื่อกี๊ฉันได้ยินแฟนฉันคุยโทรศัพท์ว่า เธอถูกจางซื่อกรุปไล่ออกแล้ว ไม่ได้เป็นรองประธานแล้วเหรอ?” อยู่ๆ น้องสาวฝ่ายแม่ของจางฉีโม่ ลู่เวยก็ถามขึ้นมาอย่างยิ้มเยาะ

“อะไร? ลู่เวยเธอไปฟังใครพูดมา อย่าพูดจาเหลวไหล” ลู่หย่าฮุ่ยตกใจยกใหญ่ วางตะเกียบกับชามลง ถามด้วยความสงสัย

ลู่เวยพูดขึ้นอย่างยิ้มเยาะว่า: “คุณอาคะ ยังจะทำเป็นมีหน้ามีตาอยู่อีกเหรอคะ? เรื่องนี้ที่เมืองชิงหยูนใครๆ ก็รู้กันแล้ว แฟนฉันเป็นคนในแวดวงคนดัง รู้ข่าวมานาน อีกไม่นาน ทุกคนก็จะรู้เรื่องนี้กันหมด”

“ฉัน… ทำไมฉันไม่รู้?” ลู่หย่าฮุ่ยมีสีหน้าสงสัย มองไปยังจางฉีโม่ ถามหน้าตาจริงจัง “ลูกสาว เกิดอะไรขึ้น? ทำไมไม่เคยได้ยินลูกพูดถึงเลย?”

“เรื่องนี้……” จางฉีโม่ถอนใจพูดว่า “มีเรื่องนี้จริงค่ะ”

“ถูกไล่ออกแล้วจริงเหรอ? ลูกแม่ เพราะอะไร? ลูกช่วยบริษัทมาตั้งมากขนาดนี้ คิดจะไล่ออกก็ไล่กันเหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยถามอย่างไม่กล้าเชื่อ

“นั่นสิ ลูกพ่อ ลูกไปล่วงเกินใครเข้าเหรอ? ประธานอูหยางถูกใจลูกมากไม่ใช่เหรอ?” จางซิ่งเฟิงก็ถามด้วยความสงสัย

จางฉีโม่อยู่ๆ ไม่รู้จะตอบอย่างไร ไม่รู้สาเหตุจริงๆ พอหวางจื่อเหวินเข้ามาที่สำนักงานใหญ่ ก็กดดันให้เธอออก

“เอะ น้องสาว ไม่เห็นมีอะไรให้น่าถาม ก็เห็นชัดๆ ว่าฉีโม่ไม่เอาไหน ก็เลยถูกไล่ออกไง ความสามารถไม่ดีพอ” ลู่ซีหย่วนพูดอย่างยิ้มเยาะ

สีหน้าลู่หย่าฮุ่ยไม่ค่อยดี มองดูลู่ซีหย่วนพี่ชายของตัวเองกับครอบครัวทั้ง4คน ทั้งหมดท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ในใจคิดว่าถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง คราวนี้ต้องขายหน้าแน่ ก่อนหน้าเธออวดตัวต่อคนพวกนี้ไปยกใหญ่ อวยฉีโม่ลูกสาวตัวเองจนแทบจะลอยขึ้นฟ้า……

“นั่นน่ะสิ หย่าฮุ่ยอ่ะ เธอบอกว่า ตระกูลลู่ของเราเป็นคนซื่อๆ ธรรมดา ทำไมต้องทำให้หรูหราโอ่อ่า? ให้พวกเราย้ายมาอยู่วิลล่าของเธอที่นี่ให้ได้ คราวนี้เป็นไงล่ะ ฉีโม่ถูกเขาไล่ออกแล้ว วิลล่าเป็นของบริษัท ต้องถูกริบคืนแน่” ลู่ซีหย่วนจงใจทำเป็นถอนใจ พูดด้วยท่าทีพิลึกว่า “ให้ตาย ดูสิ นี่จงใจให้พวกเรามาที่นี่เพื่อขายหน้าใช่ไหม?”

ลู่ซีหย่วนยิ้มเยาะในใจ ลู่หย่าฮุ่ยจงใจเชิญญาติมาที่เมืองชิงหยูน ทำท่าทางเหมือนสูงส่ง อวดลูกสาวต่อหน้าตัวเองทุกวัน ไหนจะรถหรูบ้านหลังใหญ่ ไหนจะเครื่องประดับราคาแพง ทำตัวอย่างกับคุณนายไฮโซปานนั้น

ปรากฏว่า ลูกสาวถูกไล่ออกเสียแล้ว วิลล่าก็จะถูกริบคืน ต้องหาโอกาสเย้ยหยันคืนหน่อยแล้ว

“เดี๋ยว ไม่แน่ว่าทางเครือมีอะไรเปลี่ยนแปลงเหรอเปล่า จากความสามารถของฉีโม่ ไม่นานก็ต้องกลับมาเป็นรองประธานได้อีกครั้ง” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องรู้ว่า ตอนนี้ฉีโม่เป็นผู้มีชื่อเสียงในวงการอัญมณีของเมืองตุงไห่”

“ปัทโธ่ คุณน้าเห็นพวกฉันไม่มีประสบการณ์ทางสังคมเหรอไง? มีชื่อเสียงอะไรกัน ถูกไล่ออกแล้ว ยังจะมีความสามารถอะไรอีก?” ลู่เวยพูดอย่างได้ใจ และยินดีที่ได้เห็นครอบครัวลู่หย่าฮุ่ยตกต่ำ

ลู่ซีหย่วนหัวเราะเหอะๆ : “ฉันถึงได้พูดไว้แต่แรกไง หย่าฮุ่ย ได้ลูกสาวการหาคู่ครองสำคัญที่สุด อย่างอื่นพูดไปก็เท่านั้น! ดูสิ ตอนนี้ฉีโม่ถูกไล่ออกแล้ว ไม่มีหน้าที่การงานนี้แล้ว พวกเธอทั้งครอบครัวหวังพึ่งแต่ฉีโม่ ไร้ซึ่งตำแหน่งรองประธาน ก็อยู่วิลล่าไม่ได้ ต้องกลับไปอยู่สลัมที่เขตเจียงฉือเล็กๆ แล้ว!”

“ฉะนั้นน่ะ ฉันถึงเตือนเธอว่า ตัวเองไม่มีศักยภาพการหาเงินที่มากพอ ก็อย่าพึ่งโอ้อวดกัน” ลู่ซีหย่วนพูดด้วยความดูถูก “ดูนี่สิ เร็วๆ นี้ลูกสาวฉันได้แฟนแสนเก่งมาคนหนึ่ง ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกลุ้มแล้ว”

พูดไป ลู่ซีหย่วนก็ชายตาดูหลินอิ่งแวบหนึ่ง มองดูคุณนายลู่หย่าฮุ่ยด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง

“นั่นสิคะ คุณอา แฟนหนุ่มฉันเก่งมากเลยนะคะ!” ลู่เวยพูดด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง ปนความเชื่อมั่น ที่ช่วงนี้ได้เกาะคนมีเงินในเมืองชิงหยูน มีเงินมีอำนาจมีแบ็คอัพ แล้วก็เป็นคนมือเติบ!

“เอ่อ……” สีหน้าของลู่หย่าฮุ่ยดูไม่ได้ มองดูหลินอิ่งด้วยความเกลียดชัง เธอรู้สึกว่า เป็นเพราะหลินอิ่งไม่เอาไหน ไม่เช่นนั้นจากความสามารถของลูกสาว จะตกต่ำจนโดนญาติๆ ประชดได้อย่างไร?

สีหน้าของจางฉีโม่ยิ่งดูไม่ได้ แม่เป็นพวกขี้อวด อยู่ดีไม่ว่าดีก็เรียกญาติๆ มาที่บ้าน วันๆ คุยโวโอ้อวด สุดท้ายทำเอาบรรยากาศในบ้านเต็มไปด้วยความอึมครึม

“ฉีโม่ พวกเราออกไปทานข้าว ช็อปปิ้งกันเถอะ” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แท้จริงคือไม่อยากสนใจเรื่องหยุมหยิมเหล่านี้

“ได้” จางฉีโม่พยักหน้า ลุกขึ้นยืน ไม่อยากกินข้าวในบรรยากาศแบบนี้

พูดเสร็จ หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็หันตัวเดินออกจากวิลล่าไป

“เอะ รอเดี๋ยวสิ ฉีโม่ ฉันไปกับพวกเธอด้วยสิ” ลู่เวยลุกขึ้นในฉับพลัน เดินตามมาด้วยท่าทางนึกสนุก “พี่คะ แฟนหนุ่มของฉันโทรมาให้ฉันไปเดินช็อปปิ้งพอดี เดี๋ยวฉันจะพาไปแนะนำให้รู้จัก แฟนหนุ่มฉันเก่งมากเลยนะ ความสามารถสูง ตอนนี้พี่ตกงานแล้ว ฉันจะลองถามเขาดู ให้หางานดีๆ ให้พี่สักงานไม่น่าจะมีปัญหา”

“ใช่! ถูกต้อง ลู่เวยอ่ะ ช่วยฝากฝังแฟนหนุ่มของลูก ให้หางานดีๆ ให้ฉีโม่เขาสักงานสิ” ลู่ซีหย่วนพูดอย่างเย้ยหยัน

พูดจบ เขาก็มองมายังคุณนายลู่หย่าฮุ่ย แล้วพูดว่า: “หย่าฮุ่ยอ่ะ ครอบครัวเราเรียบง่าย พอเรามีอำนาจบารมี เห็นว่า พวกเธอลำบากก็รู้จักยื่นมือเข้าช่วย ไม่เหมือนอย่างเธอ วันๆ รู้จักแต่โอ้อวด ข้อนี้ พี่คงต้องว่าเธอบ้างแล้วล่ะ”

การเผชิญหน้าทำเป็นอบรมของลู่ซีหย่วน ทำสีหน้าคุณนายลู่หย่าฮุ่ยดูซีดเผือด

“วางใจเถอะ พ่อ ระดับความสามารถของแฟนฉัน จับพลัดจับผลูหางานให้พี่ฉีโม่ได้สบายๆ อยู่แล้ว” ลู่เวยพูดอย่างเย้ยหยัน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท