ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่134 อาจารย์ติงแห่งตุงไห่

บทที่134 อาจารย์ติงแห่งตุงไห่

บทที่134 อาจารย์ติงแห่งตุงไห่

“พวกคุณคือใคร?”จางฉีโม่ตกใจมาก จู่ๆก็มีคนดุร้ายมากมาย

รถสิบกว่าคัน ล้อมรอบเข้ามาอย่างนี้

“ถูกแล้ว เธอก็คือจางฉีโม่ พาเธอไป!”ชายชุดสูทสวมแว่นดำคนหน้า พูดอย่างเย็นชา

พูดจบ บอดี้การ์ดชุดสูทหลายคนก็เข้ามาจะจับจางฉีโม่ อย่างรวดเร็ว แลนด์โรเวอร์สีดำข้างถนนคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามา เกือบจะชนชายชุดสูทหลายๆคน ทำเอาพวกเขาตกใจจนถอยหลังตามๆกัน

“พวกคุณจะทำอะไร?อยากตายเหรอ?”

แลนด์โรเวอร์สีดำขวางตรงหน้าของจางฉีโม่ ชายวัยกลางคนสามคนสวมชุดฝึกกังฟูสีขาวลงมา

ได้รับคำสั่งให้ปกป้องหลิวจุนสามคนพี่น้องของจางฉีโม่

“พวกเราแก๊งหมัดสยบพยัคฆ์ตระกูลติงมาจัดการ ทางที่ดีคุณไสหัวไป!”ผู้ชายสวมแว่นตะโกนออกมาอย่างทรงพลัง

“แก๊งหมัดสยบพยัคฆ์ตระกูลติง?”หลิวจุนขมวดคิ้วหน่อยๆ สบตากับพี่ชายสองคน พวกเขามองหน้ากัน

คนทั่วไปในเมืองชิงหยูนอาจจะไม่เคยได้ยินแก๊งหมัดสยบพยัคฆ์ตระกูลติง, แต่พวกเขาสามคนในฐานะที่เป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งของโลกศิลปะการต่อสู้ในเมืองตุงไห่ แน่นอนว่าเคยได้ยิน!

แก๊งหมัดสยบพยัคฆ์ตระกูลติงรู้จักกันว่าเป็นศิลปะการต่อสู้ของเมืองตุงไห่ เป็นแก๊งอันดับหนึ่งในยุคปัจจุบันของศิลปะการต่อสู้ รู้จักกันดีว่าลูกศิษย์ในสังกัดต่างเป็นสุดยอดฝีมือ เทียบไม่ได้กับพวกบอดี้การ์ดทั่วไป แต่ละคนฝึกมาเพื่อฆ่าฟัน!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ติงเสินอีผู้ก่อตั้งของแก๊งหมัดสยบพยัคฆ์ตระกูลติง อาจารย์ติง เป็นที่รู้จักว่าเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้อันดับหนึ่งของยุคนี้ในเมืองตุงไห่ มากว่าสามสิบกว่าปี เรียกได้ว่าเป็นรุ่นพี่ของสามพี่น้องหลิวจุน เป็นคณบดีของศิลปะการต่อสู้ของชาติ!

“ทำไม?เคยได้ยินแก๊งหมัดสยบพยัคฆ์ตระกูลติงสินะ?แล้วยังไม่ไสหัวไปอีก!”ผู้ชายสวมแว่นตะโกนออกมา ด้วยท่าทางยโสโอหัง

“ดูจากท่าทางพวกคุณแล้วก็ฝึกมาแค่ไม่เท่าไหร่หรอก รู้จักชื่อเสียงพวกเราแล้ว ยังไม่รีบไปอีก อยากตายเหรอ?”ผู้ชายสวมแว่นหัวเราะ เงยหน้าพูด

“พวกคุณมาทำอะไร ทำไมต้องมาหาคุณจาง?”หลิวจุนถามอย่างสงสัย

“ผมไม่รู้ ผมรับคำสั่งของคุณท่านติง ให้พาจางฉีโม่ไป ทางที่ดีพวกคุณอย่ามาขวางผม”ชายสวมแว่นพูดอย่างเย็นชา

“พาไป?คุณท่านติง?”หลิวจุนหัวเราะอย่างเย็นชา“คุณท่านติงมีชื่อเสียงมากกว่าสามสิบปี และก็เป็นคนรักษาหน้ามาก จะส่งคนไปจับตัวผู้หญิงเหรอ?น่าตลกจริง!”

พูดจบ หลิวจุนก็พุ่งเข้าไปปล่อยหมัดและเตะใส่กับชายแว่นดำ ชายแว่นดำเป็นนักฝึกศิลปะการต่อสู้ กำลังไม่ได้อ่อนแอ ปล่อยหมัดใส่กับหลิวจุนแข็งแรงดุดันเหมือนเสือ เพียงแค่ถูกกดทับไว้

ขณะเดียวกัน หลิวจุนสองคนพี่น้องก็พุ่งเข้ามาจับแก๊งหมัดสยบพยัคฆ์พวกชายชุดสูทนั้นไว้ ปล่อยหมัดใส่และเตะไป คนหนึ่งลอยออกไปและล้มลง ทำร้ายจนร้องโหยหวนออกมา ล้มกระตุกไปที่พื้น

พี่ชายสองคนของหลิวจุนเดิมทีก็มีทักษะกังฟูดีอยู่แล้ว ถือว่าเป็นปรมาจารย์ที่ไม่เป็นสองรองใคร จัดการกับพวกศิลปะการต่อสู้ระดับต้นพวกนี้ เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว ออกแรงแค่เล็กน้อย

สามนาทีผ่านไป

แป๊บเดียว หลิวจุนก็เป็นผู้ชนะ ทำเอาจมูกของชายสวมแว่นเลือดไหลอาบล้มลงพื้น แว่นแตกหมด เผยให้เห็นใบหน้าโง่เขลาที่ดูปากแหลมแก้มตอบเหมือนลิง

ปัง!

หลิวจุนพุ่งเข้าไปเตะใส่หน้าชายแว่นดำ พูดโหดๆ:“ไม่รู้ว่าคุณเป็นเด็กเปรตมาจากไหน กล้าทำลายความคิดของคุณจาง อยากตายเหรอ!”

“คุณ!พวกคุณกล้าทำผม?ผมเป็นถึงศิษย์ที่เป็ดของอาจารย์ติง!ต่อไปพวกคุณก็อย่ามาที่เมืองชิงหยูนอีกเลย!”ชายสวมแว่นดำพูดด้วยความโกรธ

สถานะของอาจารย์ติงแห่งตุงไห่ ถึงขนาดว่าสามตระกูลใหญ่ยังต้องขายขี้หน้า ลูกศิษย์และลูกหลานนับไม่ถ้วน ต่างเป็นคนรวยมีชื่อเสียง พลังเยอะ

ทำร้ายเขา ก็เท่ากับทำร้ายหน้าอาจารย์ติง คุณท่านติงรักชื่อเสียงมาตลอด มากซะยิ่งกว่าชีวิต ต้องแก้แค้นแน่นอน

“ต้องสนเหรอว่าคุณเป็นใคร!อาจารย์ติงมาเองก็ไม่มีประโยชน์!”หลิวจุนพูดอย่างโหด แล้วก็เตะใส่ชายแว่นดำแรงๆอีกครั้ง เหยียบใส่จนเขาร้องเสียงดัง

เขาโกรธมากแล้วจริงๆ แล้วยังกล้าข่มขู่ตัวเอง?เขาไม่ใช่ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้เหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นลูกน้องท่านหลิน คนดังใหญ่โตข้างกายท่านเสิ่นซาน!

กล้าทำลายความคิดคุณนายหลิน เขาก็กล้าทำคนนั้นตายทั้งนั้น

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน อาจจะกลัวอำนาจชื่อเสียงของอาจารย์ติง แต่ตอนนี้มีท่านหลินสนับสนุน ที่ดินแดนตุงไห่นี้ ใครก็ไม่กลัว!

จางฉีโม่มองอยู่ข้างๆ ตะลึงกับฉากที่มาอย่างหุนหันพลันแล่นคาดไม่ถึงไปแล้ว

เธอรู้จักหลิวจุน รู้ว่าเป็นเพื่อนหลินอิ่ง

คิดไม่ถึงว่า หลินอิ่งจะมีหน้ามีตาในเมืองชิงหยูนขนาดนี้ เพื่อนที่มีความสามารถขนาดนี้ยังช่วยเขาปกป้องตัวเองอีก?

แต่ หลินอิ่งจะต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเชิญมาสินะ?

จางฉีโม่คิดในใจ อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ข้างในใจเต้น หลินอิ่งมักจะชอบช่วยเธออยู่เงียบๆเสมอ

“เหอะเหอะ หลิวจุน ตอนนี้พวกคุณสามคนพี่น้องมีศักดิ์ศรีมากหรือไง?เลียแข้งเลียขาเสิ่นซาน แม้แต่ผมก็ไม่เห็นหัว?”

เวลานี้รถออดี้A6เรียบง่ายคันหนึ่งขับเข้ามา คนแก่ผมขาวที่สวมชุดฝึกกังฟูสีเหลืองคนหนึ่ง ลงจากรถ มองสามพี่น้องหลิวจุนด้วยใบหน้าเย่อหยิ่ง

“อาจารย์ติง?คนพวกนี้เป็นลูกศิษย์ของคุณจริงเหรอ?”หลิวจุนขมวดคิ้ว พูดอย่างสงสัย

เกิดอะไรขึ้น ติงเสินอีไอ้แก่ตายยากนี่ แก่ขนาดนี้แล้วยังก่อเรื่อง?

หลิวจุนสามคนพี่น้องต่างมองอาจารย์ติงเหมือนเป็นศัตรู

ติงเสินอีผูกเสื้อเป็นปมตะขาบ ทำท่าทางสูงส่ง มือพาดหลังค่อยๆเดินเข้ามา

ท่าทางกิริยาเช่นนี้ ทำให้หลิวจุนสามคนพี่น้องรวมถึงจางฉีโม่ รู้สึกถึงความขยะแขยง

ตาแก่นี่ สวมชุดฝึกกังฟูช่วงหน้าอกผูกเป็นปมตะขาบ แต่งตัวเป็นทาสรับใช้สมัยก่อน แค่เจ้านายเรียก ก็พร้อมติดกระดุมคุกเข่าลงทันที

ท่าทางแบบนี้ ทำให้คนรู้สึกรำคาญจริงๆ

“เป็นคนในสำนักเรา ทำไม?รุ่นน้องสามคนอย่างพวกคุณ?กล้าจัดการอาจารย์อย่างผม?”ติงเสินอีพูดอย่างเย็นชา เย่อหยิ่งสุดๆ

“นามสกุลติง คุณให้คนของคุณมาหาเรื่องเหรอ?ใครให้คุณออกหน้า?”หลิวจุนก็ไม่เกรงใจ ไม่เคารพคนสูงอายุ และก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขา

“ช่างกล้าเสียจริง จู่ๆก็กล้าไม่เรียกว่าอาจารย์ เรียกนามสกุลของผมเลย?”ติงเสินอีทำเสียงเยือกเย็น ท่าทางไม่พอใจ

“อาจารย์ถูกตระกูลหวางเชิญมาจากเขา วันนี้ตั้งใจมาเชิญจางฉีโม่ท่านนี้ ไปเป็นแขกตระกูลหวาง”ติงเสินอีมีท่าทีสบายๆ เขารู้สึกว่าทำธุระให้ตระกูลหวางนั้นดูดีมีหน้า

“พวกคุณถอยไปให้หมด ให้อาจารย์พาจางฉีโม่คนนี้ไป ไม่งั้นผมไม่ทันระวังฆ่าพวกคุณตายหมดแน่”ติงเสินอีตะโกน

“ไอ้แก่ตายยากนี่แม่เอ๊ย หกเจ็ดสิบปีแล้วยังจะมาเสแสร้งอีก?”หลิวจุนด่าไปชุดใหญ่ โมโหสุดๆ แล้วยังคิดจะพาจางฉีโม่ไปอีก?แล้วยังช่วยตระกูลหวางตระกูลขยะอย่างนั้นทำธุระให้ด้วย?แล้วยังคิดเข้าข้างตัวเองขนาดนี้อีก?

ติงเสินอีมีชื่อเสียงสุดๆเมื่อสามสิบปีก่อน แต่ไม่คิดว่า ตอนอายุหกเจ็ดสิบถึงได้ตกต่ำ ตัวเองสามพี่น้องอยู่ในช่วงสำคัญของชีวิต แล้วยังกลัวจะรั้งเขาไว้ไม่ได้?

พูดไป หลิวจุนก็ไม่พร่ำเพรื่อ ปล่อยขาเตะไปแรงๆ อีกสองคนก็ระเบิดใส่พร้อมกัน เข้ามาล้อมรอบจัดการติงเสินอี

ปกป้องคุณนายหลินเรื่องนี้ นั่นเกี่ยวกับชีวิตและอนาคตเลยทีเดียว กล้ามาจับตัวคุณนายหลิน อีกฝ่ายเป็นเทพก็กล้าจัดการเช่นกัน!

ตุบตุบตุบ!

เสียงดังทุ้มไม่หยุด หลิวจุนทั้งสามคนเร็วเหมือนสายฟ้า เสียงดังโครม หมัดกับเท้าพลิ้วไหวสะบัดไปเหมือนสายลมและฝน ติงเสินอีก็มีสองมือที่ทันใดนั้นก็รับไว้ได้ สู้กันหนึ่งต่อสามอยู่เช่น

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท