ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 155 ต่อไปช่วยเรียนว่าประธานกรรมการจางด้วย

บทที่ 155 ต่อไปช่วยเรียนว่าประธานกรรมการจางด้วย

บทที่ 155 ต่อไปช่วยเรียนว่าประธานกรรมการจางด้วย

“ที่นี่มันเป็นบริษัทของคุณคนเดียวเหรอคะ? ทำไมฉันถึงมาไม่ได้?” จางฉีโม่พูดออกมาด้วยความมั่นใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปในออฟฟิศระดับสูง

“หือ? ทำตัวได้ใจไม่เบาเลยนี่?” จางเถียนไห่ทำหน้าสนุกขึ้นมา และวิจารณ์จางฉีโม่อย่างไม่ให้เกียรติ

ตอนนี้บริษัทเครื่องประดับจางซื่อนั้นมีพ่อของเขาจางหงซวนกับจางหงจูนเป็นคนบริหารอยู่ แม้แต่อูหยางที่เป็นเลขาใหญ่ของนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่ยังถูกเตะออกไปแล้วเลย กะอิแค่จางฉีโม่ที่เล็กจ้อยนี้ยังกล้าเข้ามาอวดเบ่งอีกอย่างนั้นเหรอ?

“เธอไม่รู้รึไง ว่าตอนนี้ท่านประธานกรรมการหวางจื่อเหวินนั้นไม่ได้บริหารแล้ว เรื่องทุกอย่างในบริษัทนั้นมีพ่อกับคุณลุงเป็นคนดูแลอยู่ คราวก่อนเธอก็ถูกไล่ออกจากบริษัทไปแล้วนี่ แล้วเธอยังจะหน้าด้านกลับมาอีกทำไม? แถมยังมาทำตัวอวดเบ่งแบบนี้อีก เธอคิดจะทำอะไรมิทราบ? ตกงานแล้วอยากได้งานทำใช่มั้ย? มาขอร้องฉันสิ คุกเข่าลงมาขอร้องเลย เดี๋ยวฉันจะมอบหมายงานล้างห้องน้ำให้เธอไปทำก็ได้” จางเถียนไห่พูดไปหัวเราะไปด้วยความสะใจ

ในสายตาเขา ตอนนี้จางฉีโม่ก็แค่คนที่เข้ามารนหาที่เท่านั้น เธอเป็นคนทำให้ตัวเองต้องถูกเหยียดหยามเอง

“ถูกต้อง จางฉีโม่ เธอคิดว่าตัวเองยังเป็นรองประธานของบริษัทนี่อยู่อีกรึไง?”

“เธอมันก็ทำได้แค่พึ่งพาบารมีของอูหยางเท่านั้นแหละ ตัวเองไม่ได้มีความสามารถอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว”

“ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันคงไสหัวไปตั้งนานแล้ว ไม่กล้าเสนอหน้ามาที่นี่อีกแล้ว ยังจะมีหน้ามาก่อความวุ่นวายที่นี่อีก?”

พวกระดับสูงที่อยู่ข้างเดียวกับจางหงซวนเริ่มพูดจาถากถางเธอแล้ว ประชดประชันโดยที่ไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงเลยสักนิด เพียงแค่ต้องการเอาใจคนที่มีอำนาจอยู่ในบริษัทตอนนี้อย่างจางเถียนไห่เท่านั้น

จางฉีโม่จ้องไปที่คนพวกนั้นอย่างไม่สบอารมณ์ พวกนี้นี่มันกิ่งก่าชัดๆ ฝั่งไหนเป็นใหญ่ก็เป็นไปอยู่ข้างนั้น

ตอนที่เธอยังเป็นรองประธานอยู่นั้น ต่างก็พากันเอาใจ พอตอนนี้จางเถียนไห่พ่อลูกขึ้นมารับตำแหน่งแทน พวกนี้ก็เปลี่ยนฝั่งไปทันที

“ไม่ได้ยินรึไง ที่นี่ไม่มีใครต้อนรับเธอทั้งนั้น ใครๆ ก็รู้ว่าเธอมันเป็นแค่เด็กเส้น” จางเถียนไห่พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่พอใจ “ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้! เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาในออฟฟิศระดับสูงของจางซื่อกรุ๊ปแบบนี้!”

“เรียกพวกพ่อของคุณจางหงซวนกับจางหงจูนออกมา” จางฉีโม่พูดด้วยท่าทีที่จังจริงจัง

“เธอมีสิทธิ์อะไรที่มาเรียกชื่อพ่อกับลุงของฉันแบบนี้?” จางเถียนไห่พูดออกมาอย่างไม่ชอบใจ “เธอเป็นบ้าเพราะตกงานแล้วเหรอ? เสียสติไปแล้วรึไง?”

“ยัยคนไม่รู้จักเจียมตัว รปภ. เข้ามาจับตัวยัยผู้หญิงน่ารำคาญที่มาก่อความวุ่นวายนี้ออกไป แล้วเอามันไปคุกเข่าที่หน้าบริษัทให้เป็นเยี่ยงอย่าง ไม่อย่างนั้นใครๆ ก็กล้าเข้ามากร่างในจางซื่อกรุ๊ปของเราอีก!” จางเถียนไห่สั่งออกมาอย่างไม่ไว้หน้า พอเขาดีดนิ้ว ก็ได้มีรปภ.หลายคนเดินเข้ามา

ก่อนหน้านี้เข้าได้อับอายต่อหน้าจางฉีโม่ไปไม่รู้เท่าไหร่ ทั้งเลียโต๊ะ ทั้งคุกเข่า โดยไม่เหลือศักดิ์ศรีของความเป็นคนเลยสักนิด วันนี้จู่ๆ จางฉีโม่ก็เข้ามาอย่างไม่เจียมตัว แล้วจะไม่ให้เขาสั่งสอนเธอได้ยังไงล่ะ?

แต่ที่น่าเสียดายคือ ไอ้เศษเดนอย่างหลินอิ่งไม่ได้มาด้วย ถ้าสองสามีภรรยาที่ไร้ค่าคู่นี้มาครบหน้ากันจะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ บังคับให้พวกมันสองคนคุกเข่าลงที่หน้าบริษัท ระบายความแค้นอย่างสะใจซะหน่อย

ในระหว่างที่คิดอยู่ จางเถียนไห่ก็ได้แสดงสีหน้าที่ได้ใจออกมา วันนี้ครอบครัวของเขามีหวางจื่อเหวินคอยหนุนหลังอยู่ดูสิว่าจางฉีโม่ยังจะทำอะไรได้อีก เมื่อไม่มีอูหยางคอยช่วย ก็เป็นได้แค่มดที่จะบี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้เท่านั้น

ในขณะที่พูดอยู่นั้น บอดี้การ์ดส่วนตัวหลายคนของจางเถียนไห่ก็ได้กรูกันเข้ามาอย่างน่ากลัว แล้วพุ่งไปจับตัวเจียงฉีเอาไว้

ปั๊ง

จู่ๆ ก็มีใครบางคนโผล่มา เขากวาดเท้าไป บอดี้การ์ดพวกนั้นก็กระเด็นออกไปจนหมด

“ประธานจาง คุณไม่เป็นไรนะครับ?” หลิวจุนถามด้วยใบหน้าที่จริงจัง แล้วไปยืนอยู่ข้างหลังของจางฉีโม่ ทำตัวเหมือนเป็นบอดี้การ์ดให้เธอ

“ไม่เป็นไรค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้าเบาๆ

“นี่เธอ? เธอกล้าพาคนมาก่อความวุ่นวายในออฟฟิศของบริษัทอย่างนั้นเหรอ?” จางเถียนไห่พูดด้วยความโมโห พร้อมกับจ้องมาที่จางฉีโม่อย่างไม่พอใจ “พ่อครับ ลุงครับ รีบออกมาดูนี่ มีคนคิดจะต่อด้านเราครับ!”

พรึบ

เพียงครู่เดียว ก็ได้มีเลขาที่แต่ตัวเหมือนนักธุรกิจกับจางหงจูนและจางหงซวนก็ได้เดินออกมาจากห้องทำงานของประธานกรรมการอย่างหงุดหงิด

หลังจากที่สองคนนี้ได้รับการสนับสนุนจากหวางจื่อเหวินกับตระกูลจางแล้ว สองคนนี้ก็ยิ่งดูได้ใจมากขึ้นไปอีก พอได้มีสิทธิ์ให้กลับมาบริหารบริษัทเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปอีกครั้ง พวกเขาก็ดูกระชุ่มกระชวยขึ้นมาก ทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกก็ต้องมีเลขากับบอดี้การ์ดคอยติดจามไปด้วย

“เกิดอะไรขึ้น? จางฉีโม่ นี่เธอคิดจะทำอะไร? มาทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าลุงทั้งสองแบบนี้ ไม่รู้จักสัมมาคารวะเลยใช่มั้ย!” จางหงจูนพูดออกมาอย่างสง่าผ่าเผย

จางฉีโม่ไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย และได้เห็นธาตุแท้ของพวกจางหงจูนว่าเป็นยังไง เธอก็ไม่เคยมองว่าคนพวกนี้เป็นคนที่น่าเคารพในตระกูลจางอีกเลย แน่นอนว่า ในใจของพวกเขาก็ไม่เคยเห็นเธอเป็นหลานสาวของตัวเองอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่วางแผนกันทำร้ายเธอแบบนี้หรอก

“จางหงจูน จางหงซวน ฉันขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า เชิญพวกคุณสองคนย้ายของออกจากห้องทำงานของประธานกรรมการเดี๋ยวนี้ ตอนนี้หุ้นส่วนใหญ่และทรัพย์สินของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปได้อยู่ในมือฉันแล้ว” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจังแล้วรับเอกสารฉบับหนึ่งจากมือของหลิวจุนมา

“อะไรนะ? เธอกล้าสั่งให้ฉันสองคนย้ายออกจากห้องทำงานของประธานกรรมการเหรอ?” จางหงซวนทำเหมือนเพิ่งได้ยินมุกตลกที่น่าขำมาก เขาได้หัวเราะออกมาเสียงดัง “นี่จางฉีโม่ หลังจากที่เธอสูญเสียตำแหน่งรองประธานไป เธอคงอดอยากจนบ้าไปแล้วสินะ?”

“น่าขันสิ้นดี อย่ามาทำให้ตัวเองต้องขายหน้าไปมากกว่านี้เลย แค่บอกว่าเธอเป็นคนของตระกูลจาง ฉันยังรู้สึกอายเลย” จางหงจูนพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังจะบอกว่ากว้านซื้อหุ้นกับสินทรัพย์ส่วนใหญ่ไปแล้วอย่างนั้นเหรอ? ทำไมเธอไม่บอกว่าตัวเองเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองตุงไห่ไปเลยล่ะ?”

พวกจางหงจูนกำลังขำอย่างไม่พอใจ ทำเสียงฮึดฮัด น่าขันสิ้นดี คิดว่าพวกเขาไม่รู้หรือไงว่าการเงินของบ้านจางฉีโม่นั้นเป็นยังไง? อ้าปากก็บอกว่าตัวเองได้ซื้อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปไปแล้ว? ทั้งๆ ที่จนซะขนาดนั้น นอกจากพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกเท่านั้นแหละถึงจะเป็นไปได้!

“หือ? นี่มันรองประธานจางไม่ใช่เหรอ? ทำไม สติเลอะเลือนแล้วเหรอ? ถึงมาก่อความวุ่นวายที่จางซื่อกรุ๊ปแบบนี้? เอาแบบนี้แล้วกัน ถ้าเธอไม่มีเงินละก็ ฉันจะแนะนำวิธีดีๆ ให้นะ ไปขายตัวซะ ผู้หญิงหน้าตาดีๆ แบบเธอ ไม่แน่อาจจะได้ราคาก็ได้นะ “ซูนเหิงเดินออกมาจากห้องทำงานของรองประธาน พร้อมกับทำหน้าล้อเรียนจางฉีโม่

“รีบไล่ยัยบ้านี่ออกไปเดี๋ยวนี้ ช่างน่าอับอายซะจริง” จางหงจูนแสร้งทำเป็นส่ายหน้า แต่แววตาเต็มไปด้วยความไม่ให้เกียรติ

จางฉีโม่สีหน้าเคร่งเครียด คนพวกนี้นี่มันหยาบคายจริงๆ

“ดูซิว่าใครกล้า!”

เสียงที่โมโหเสียงหนึ่งดังขึ้น เจียงฉีเดินเข้ามาพร้อมกับทนายด้านธุรกิจกลุ่มหนึ่ง แล้วยืนอยู่ที่ด้านหลังของจางฉีโม่อย่างนอบน้อม

“ประธานจางครับ เอกสารทุกอย่างจัดถูกจัดการเรียบร้อยหมดแล้วครับ ตอนนี้ทรัพย์สินทุกอย่างในอาคารเป่าติ่งแห่งนี้ได้เปลี่ยนเป็นชื่อของคุณหมดแล้วครับ คุณสามารถสั่งการได้ตามใจชอบเลยครับ อยากไล่ใครออกไปจากที่นี่ก็ได้!” เจียงฉีพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

จางฉีโม่พยักหน้าเบาๆ เธอกำลังรู้สึกตื่นเต้น พร้อมกับรับรู้ได้ถึงอำนาจที่เงินทองสามารถให้ได้!

“ต่อไปพวกคุณควรระวังคำพูดให้มากกว่านี้ และควรเรียกเธอว่าประธานกรรมการจาง” เจียงฉีพูดออกมาด้วยความซีเรียส

“แล้วแกละใครอีก? ปากกล้ามาจากไหน? จางฉีโม่ มันคงไม่ใช่นักแสดงที่แกจ้างมาหรอกนะ?” จางเถียนไห่พูดล้อเรียนและเริ่มต่อว่าออกมา

“นี่มัน คือ……” จู่ๆ ซูนเหินก็หน้าซีด และมองมาที่เจียงฉีอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

หลังจากที่ถูกเจียงฉีสั่งสอนไปที่หน้าฉินหยุนโล๋แล้ว ซูนเหินกลายเป็นคนหวาดระแวงไปเลย พอเห็นหน้าเจียงฉีก็รู้สึกกลัวจนฉี่แทบราดแล้ว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท