ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 159 พวกคุณขอโทษอาจารย์หลินเดี๋ยวนี้

บทที่ 159 พวกคุณขอโทษอาจารย์หลินเดี๋ยวนี้

บทที่ 159 พวกคุณขอโทษอาจารย์หลินเดี๋ยวนี้

“นี่แก! ไอ้หนูแกมาจากไหน ถึงได้พูดจาสามหาวขนาดนี้? ทำร้ายลูกชายของเจิ้งทงคนนี้แล้วยังกล้าทำตัวโอหังอยู่ตรงนี้อีก!” เจิ้งทงพูดด้วยสีหน้าที่เดือดดาล อยากจะกัดกินหลินอิ่งให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

พอเห็นเจิ้งหยวนเป่าที่อยู่ในสภาพแบบนั้น มันก็ทำให้เขาโกรธจนแทบระเบิดออกมา แต่เขาก็เกรงกลัวในฝีมือของหลินอิ่งมาก จึงไม่กล้าที่จะเข้าไปทำร้ายหลินอิ่ง

“ถ้าไม่มีคนทำร้ายผม ผมก็จะไม่ทำร้ายใครก่อน” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย แล้วเดินไปนั่งดื่มชาต่อ

ยิ่งเจิ้งทงเห็นหลินอิ่งทำตัวแบบนั้น เขาก็ยิ่งโมโหขึ้นมาอีก ไอ้บ้านนอกคนนี้เห็นเขาเป็นตัวอะไรกัน?

แค่คนที่จะมารักษาโรคเท่านั้น ฝึกวิชามานิดหน่อย ก็กล้าวางท่าใหญ่โตแบบนี้แล้วเหรอ?

ทำไมถึงจะล่วงเกินแกไม่ได้ สิ่งที่ตระกูลเจิ้งมีก็คือเงิน ถ้าจะล่วงเกินแกแล้วมันจะทำไม? การทำงานหาเงินได้เยอะแยะแบบนี้ก็เพื่อสร้างภาพอยู่แล้ว

“วันนี้พ่อจะล่วงเกินแกแล้วมันจะทำไม?” เจิ้งทงพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เขาโบกมือให้สัญญาณ “พวกแกรีบไปเอาอาวุธที่อยู่ในโรงรถมาเร็ว!”

บอดี้การ์ดสิบกว่าคนรีบทำตามคำสั่งทันที พวกเขาหันหลังแล้วเดินออกจากวิลล่าไป เพื่อไปหาอาวุธเข้ามา

“ไอ้หนูแซ่หลิน แกอย่าคิดว่าการที่คุณหนูกงซุนเชิญแกมาให้ช่วยรักษาโรค แล้วแกจะทำอะไรก็ได้นะ แกมันก็แค่หมอชั้นต่ำที่คอยให้บริการคนรวยอย่างเราก็เท่านั้น” เจิ้งทงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ พร้อมกับความรู้สึกที่มั่นใจในตัวเองมาก

หลินอิ่งขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ จากนั้นก็เหวี่ยงแก้วชาในมือออกไป แก้วใบนั้นลอยไปกระแทกเข้าที่ท้องของเจิ้งทงอย่างจัง แรงกระแทกทำให้เขาขดตัวลงไปทันที เขาส่งเสียงแหวะ แล้วของเหลวมากมายก็ถูกสำลอกออกมา อ้วกจนเลอะไปหมดทั้งตัว ดูทุกข์ทรมานมาก

“แคร็กๆ “เจิ้งทงจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาที่โกรธแค้น พร้อมกับกัดฟันแน่น

“แล้วคุณคิดว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ?” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย เขาค่อยๆ ยืนขึ้น “ไสหัวออกไปให้หมด กล้ามาใช้กำลังกับผม ไม่ได้เรื่องเลยสักนิด”

“หลินอิ่ง นี่คุณทำตัวได้ใจเกินไปแล้วมั้ง? เดี๋ยวผมจะโทรเรียกคนมาเดี๋ยวนี้แหละ!” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้น จากนั้นก็ต่อสายออกไป เสียงโทรศัพท์ดังตูดๆๆ เตรียมที่จะเรียกคนจากบริษัทรักษาความปลอดภัยให้มาจัดการกับคนไม่เจียมตัวคนนี้

“ใช่! วันนี้เราห้ามปล่อยเขาไปเด็ดขาด กล้ามาทำร้ายคนอื่นถึงในวิลล่าฉงหลงแบบนี้ คิดว่าตระกูลเจิ้งของเราไม่มีตัวตนรึไง? แถมยังเป็นการไม่ใช้เกียรติตระกูลกงซุนด้วยไม่ใช่เหรอ?”

“ตระกูลกงซุนก็มีกฎของเขา กล้ามาทำร้านคนในนี้ คุณตายแน่!”

ชายหญิงวัยกลางคนกลุ่มนั้นกำลังชี้ไม้ชี้มือวิจารณ์กันใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอะไรหลินอิ่งสักคน

“เจ้าบ้านเจิ้ง พวกเราเอาของมาแล้วครับ” ในตอนนั้นเอง บอดี้การ์ดกลุ่มใหญ่ก็ได้วิ่งกลับมาพร้อมกับยื่นกระเป๋าตกปลาใบหนึ่งให้กับเจิ้งทงไป

เจิ้งทงทำตาเย็นชา ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบรับกระเป๋ามา แล้วหยิบปืนกระบอกหนึ่งออกมาชี้ไปที่หน้าของหลินอิ่ง

“คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”

แม่งเอ๊ย ไอ้บ้านนอกจากเมืองตุงไห่ กล้ามาทารุณเจิ้งหยวนเป่าลูกชายของตัวเองต่อหน้าแบบนี้ แถมยังวางท่าใหญ่โต ต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้ถ้าไม่สามารถกู้หน้ากลับมาได้ละก็ ต่อไปคงไม่มีหน้าจะอยู่ในแวดวงตระกูลชั้นสูงของมณฑลเกาหยางแล้ว

หลินอิ่งเหมือนอยากจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม

“ทำไม? ยังกล้าทำตัวกร่างอีก แกคิดว่าฉันแค่ขู่อย่างนั้นเหรอ? เมื่ออยู่ในวิลล่าของตระกูลเจิ้ง เมื่ออยู่ในมณฑลเกาหยาง ถ้าฉันจะทำให้แกหายไปจากโลกนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย” เจิ้งทงพูดออกมาอย่างเย็นชา

“ใช่ครับ พ่อ จัดการมันเลย! ไอ้บ้านี่มันคิดว่ามันแค่รู้จักกับคุณหนูกงซุน แล้วจะไม่มีใครกล้าทำอะไรมัน ไม่คิดบ้างรึไงว่าตัวเองก็แค่หมาตัวหนึ่งที่ใช้เงินซื้อมาเท่านั้น ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีของตระกูลเรากับตระกูลกงซุนต่อให้ฆ่ามันทิ้งแล้วมันจะทำไม?” เจิ้งหยวนเป่าแหกปากออกมา สีหน้าโกรธแค้น แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความได้ใจ

ถึงจะสู้เก่งแค่ไหนก็ตาม เขาคิดว่าคนๆ เดียวไม่สามารถที่จะพลิกฟ้าได้หรอก!

“น้องสี่ แกโทรหากงซุนชิวอวี่ซิ ค่อยๆ เล่าให้เธอฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นตรงนี้ พอพูดเสร็จเราค่อยเอาไอ้หน้าโง่นี่ไปให้ฉลามแม่น้ำเกาเทียนกิน” เจิ้งทงพูดอย่างไม่สบอารมณ์

ตูดตูดตูด ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ รีบหยิบมือถือออกมาต่อสายออกไปทันที เพื่อที่จะรายงานเรื่องนี้ให้กงซุนชิวอวี่รู้

เจิ้งทงมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่น่าสนุก ขอแค่บอกกับคุณหนูกงซุนสักคำ เขาก็สามารถฆ่าไอ้หน้าโง่นี่ได้ทันที ถ้าไม่มีคุณหนูกงซุนคอยให้ท้าย แล้วคนอย่างมันจะทำอะไรได้?

“ผมจะนับหนึ่งถึงห้า ถ้าคุณยังชี้มาที่ผมอยู่ ผมรับประกันได้เลยว่ามือทั้งสองข้างของคุณจะจับอะไรไม่ได้อีกเลย” หลินอิ่งจ้องหน้าเจิ้งทงด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ภายใต้น้ำเสียงที่เรียบเฉยกลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร

เจิ้งทงทั้งกลัวทั้งโกรธ แต่ก็ยังกำปืนเอาไว้แน่น เขาไม่เข้าใจเลยว่าไอ้หลินอิ่งนี่มันเอาความมั่นใจมาจากไหนนักหนาที่ยังกล้าทำตัวได้ใจได้ขนาดนี้ หรือเป็นแค่ไอ้บ้าที่ไม่ๅกลัวตายเท่านั้น? หรือคิดว่าคุณหนูกงซุนยังคุ้มกะลาหัวอยู่?

“แคร๊กๆ คิดว่าคุณหนูกงซุนยังจะคุ้มกะลาหัวแกอยู่รึไง? กับเรื่องที่แกก่อขึ้นมาในวันนี้ เพื่อแกแล้วไม่มีทางที่คุณหนูกงซุนจะยอมผิดใจกับตระกูลเจิ้งของเราหรอก” เจิ้งทงยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้รอแค่บอกกับคุณหนูกงซุนเท่านั้น จากนั้นเขาก็จะลงมือทันที

“อะไรกัน? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

ในตอนนั้นเอง เสียงที่แสนไพเราะและน่าหลงใหลก็ได้ดังขึ้น กงซุนชิวอวี่เดินเข้ามาช้าๆ

เธอเข้ามาด้วยสีหน้าที่สงสัย พร้อมกับมองไปยังเจิ้งหยวนเป่าที่ดูหมดสภาพไปทั้งตัว จากนั่นก็หันมามองสีหน้าของพวกเจิ้งทง แล้วก็ได้เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคร่าวๆ

เฮ้อ มีแต่พวกขาดสติทั้งนั้น แม้แต่พี่ชายก็ยังกล้าเข้าไปหาเรื่อง ไม่รู้หรือไงว่าตระกูลเหวินนั้นล่มสลายไปได้ยังไง?

“คุณหนูกงซุน คุณมาแล้วเหรอ? ไอ้บ้านนอกคนนี้มันทำร้ายเจิ้งหยวนเป่าจนสาหัส แถมยังเขวี้ยงแก้วใส่ผมอีก คุณหนูครับ ยังไงมันก็เป็นแค่คนที่เชิญมา ผมว่า คุณคงไม่ผิดใจกับตระกูลเจิ้งของเราเพราะคนๆ นี้หรอกใช่มั้ยครับ?” เจิ้งมงพูดออกมาอย่างสุภาพ

“ถูกต้อง นี่ชิวอวี่ครับ หลินอิ่งคนนี้มันทำเกินไปจริงๆ มันเตะกล่องดวงใจของผมด้วยนะ! ผมไม่มีทางปล่อยมันไปแน่ ชิวอวี่ เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีของเราสองคนแล้ว คุณคงไม่คิดจะหันไปช่วยคนนอกหรอกใช่มั้ย?” เจิ้งหยวนเป่าเรียกร้องหาความยุติธรรม

กงซุนชิวอวี่เอามือกุมขมับ เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้มันช่างน่าปวดหัวจริงๆ จากนั้นสีหน้าของเธอก็ดูโมโหขึ้นมา

“เห็นรึยังไอ้หน้าโง่ คุณหนูกงซุนเธอโกรธใหญ่แล้ว แกยังไม่รีบเข้ามาคุกเข่าขอโทษอีก?” เจิ้งทงหันไปพูดใส่หลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ได้ใจ

ถึงแม้ คุณหนูกงซุนจะเป็นคนที่อัธยาศัยดี แต่พอมาเจอเรื่องแบบนี้ คุณที่พามาก็ไม่รู้อะไรเอาซะเลย เธอจึงรู้สึกโกรธขึ้นมา!

“หยุดพูดสักที! วางลง!” กงซุนชิวอวี่พูดออกมาด้วยความเดือดดาล พร้อมกับชี้ไปที่เจิ้งทง

เจิ้งจงทำหน้างง แล้วถามว่า “คุณหนูนี่มัน?”

“ฉันบอกให้คุณวางของในมือลง! คุณอยากตายรึไง?” กงซุนชิวอวี่โมโหแล้ว

ยังกล้าเอาปืนมาจ่อใส่พี่ชายอีก สงสัยตระกูลเจิ้งนี่จะอยากตายจริงๆ

“ผม……” เจิ้งทงสีหน้าซีดเซียว เมื่อเห็นใบหน้าที่เดือดดาลของกงซุนชิวอวี่ เขาก็จำต้องวางปืนลง

นี่มันเรื่องอะไรกัน? ถึงแม้ว่าตำแหน่งของกงซุนชิวอวี่จะสูงศักดิ์มากก็ตาม แต่ปกติแล้วเธอก็จะพูดกับผู้อาวุโสอย่างเขาด้วยความเคารพอยู่เสมอ แล้วทำไมวันนี้เธอถึงมาชี้หน้าด่าเขาแบบนี้ได้ล่ะ?

หรือจะเป็นเพราะไอ้บ้านนอกหลินอิ่งนั่น?

“พวกคุณทุกคน รีบขอโทษอาจารย์หลินเดี๋ยวนี้!” กงซุนชิวอวี่พูดออกมาอย่างไม่ชอบใจ

“อะไรนะครับ! ให้ขอโทษเขาเหรอ?”

“ไม่มั้งครับ? จะให้เราขอโทษไอ้นักต้มตุ๋นคนนี้เนี่ยนะ? นี่มัน……”

“เขาทำร้ายเจิ้งหยวนเป่าจนอาการสาหัสเลยนะครับ แล้วยังจะให้เราทั้งตระกูลหันมาขอโทษมันเนี่ยนะ?”

ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างพากันทำหน้าตกใจด้วยความไม่คาดคิด

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท