ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 158 ผมรักษาได้ทั้งโรคภัยและสันดาน

บทที่ 158 ผมรักษาได้ทั้งโรคภัยและสันดาน

บทที่ 158 ผมรักษาได้ทั้งโรคภัยและสันดาน

“หึ” หลินอิ่งขำอย่างไม่ชอบใจ แล้วมองหน้าเจิ้งหยวนเป่าอย่างน่าสนใจ “แล้วคุณเป็นใครล่ะ?”

“ไอ้คนโง่เง่า เดี๋ยวพ่อจะพูดให้ฟัง ในเมืองเกาหยางแห่งนี้ นอกจากหัวหน้าที่อาวุโสกว่า ใครก็ตามที่เห็นหน้าฉันมีใครบ้างที่จะไม่ทำตัวนอบน้อม? แล้วกะอิแค่ไอ้บ้านนอกที่มาจากเมืองตุงไห่อย่างแกยังกล้ามาวางท่ากับฉันอีกอย่างนั้นเหรอ?” เจิ้งหยวนเป่าคำรามออกมาอย่างเดือดดาล

“บอดี้การ์ด มานี่!” เจิ้งหยวนเป่ากวักมือเรียกบอดี้การ์ดตัวสูงใหญ่ที่เป็นชาวต่างชาติมาสองคน พวกเขาใส่แว่นดำ สีผิวดำคล้ำ กล้ามแขนเป็นมัดๆ

“ตอนอยู่ที่สนามบินแกเก่งนักใช่มั้ย? เดี๋ยวฉันจะสั่งสอนแกเอง อยู่ที่มณฑลเกาหยางแห่งนี้ ก็ควรรู้จักกฎเกณฑ์ของมณฑลเกาหยางด้วย พ่อไม่สนหรอกว่าตอนอยู่ที่เมืองตุงไห่แกโกหกจนมีชื่อเสียงขนาดไหน จนทำให้กงซุนชิวอวี่ยังหลงเชื่อแก” เจิ้งหยวนเป่าพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“คุกเข่าลงมาขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ จากนั้นก็สารภาพมาซะว่าแกเป็นแค่นักต้มตุ๋นที่มากประสบการณ์เท่านั้น” เจิ้งหยวนเป่าข่มขู่ด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็หยิบกล้องออกมาตัวหนึ่งเตรียมที่จะถ่ายคลิปตอนที่หลินอิ่งคุกเข่าลงมาขอโทษและสารภาพว่าตัวเองเป็นนักต้มตุ๋น พอถึงตอนนั้นค่อยเอาไปให้กงซุนชิวอวี่ดู

เขาไม่มีทางเชื่อหรอกว่าคนอย่างหลินอิ่งจะมีวิธีแพทย์ที่สูงขนาดนั้น แล้วยังจะให้ไปรักษานายท่านกงซุนอีก นี่มันบ้าชัดๆ

“พ่อจะนับหนึ่งถึงสิบ พอถึงสิบเดี๋ยวจะอัดแกให้คุกเข่าเอง!” เจิ้งหยวนเป่าพูดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

เขาทนรอที่จะเห็นหลินอิ่งคุกเข่าลงไม่ไหวแล้ว กล้ามาทำตัวเด่นต่อหน้าผู้หญิงของเขา โทษตายสถานเดียว! ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเจ็บใจ เขาตามจีบกงซุนชิวอวี่มาตั้งหลายปี ใช้มาหมดแล้วทุกวิธี ไม่ว่าเขาจะแสดงความรักด้วยวิธีไหนก็ตาม กงซุนชิวอวี่ก็ยังเมินเฉยอยู่ดี

แล้วไอ้ต้มตุ๋นที่ต่ำต้อยคนนี้มีสิทธิ์อะไรทำให้กงซุนชิวอวี่ต้องต้อนรับมันด้วยรอยยิ้มด้วย แถมยังดูเป็นกันเอง ยังนั่งด้วยกันอีกด้วย

หลินอิ่งส่ายหน้า จุดบุหรี่มวนหนึ่ง ช่างเป็นเรื่องที่วุ่นวายจริงๆ เขาเข้าใจเรื่องราวแล้ว เจิ้งหยวนเป่านี้มันเป็นพวกที่ชอบทำตัวเก่งต่อหน้าคนเยอะๆ สินะ

“ไอ้เชี่ยเอ๊ย อยู่ต่อหน้าฉันแล้วยังจะมาแสดงอีก? จุดบุหรี่เหรอ?” เจิ้งหยวนเป่าถลกแขนเสื้อขึ้น โมโหอย่างสุดขีด การกระทำของหลินอิ่งนี่มันไม่ได้มีเขาอยู่ในสายตาเลยนี่นา

“แกรนหาที่ตายเองนะ กระทบจนกว่ามันจะยอมคุกเข่าลง!” เจิ้งหยวนเป่าพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมกับดีดนิ้วไปทีหนึ่ง

บอดี้การ์ดตัวใหญ่สองคนก็หักข้อนิ้วตัวเองจนเกิดเสียงดัง พร้อมกับเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่เยาะเย้ย

ท่าทางอ่อนแอซะขนาดนั้น ตบที่เดียวก็กระเด็นแล้ว

ฟู่!

บอดี้การ์ดทั้งสองมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วมาก ฝ่ามือทั้งสองถูกเหวี่ยงออกไปอย่างรวดเร็ว จนเกิดเสียงแหวกอากาศดังขึ้น

ตุ๊บ!

ทันใดนั้น หลินอิ่งก็ได้ถีบขาออกไป ทำเอาบอดี้การ์ดทั้งสองกระเด็นออกไปไกลสิบกว่าเมตร แล้วกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง เลือดสดๆ ทะลักออกจากปาก แว่นดำแหลกละเอียดอยู่ที่พื้น แววตาเต็มไม่ด้วยความตะลึง

การโจมตีในครั้งนี้ มันเป็นการถีบโดยใช้กำลังภายใน พลังในการทำลายล้างของมันทำให้ร่างกายส่วนล่างถึงกับพิการไปเลย

หลินอิ่งมองมาที่เจิ้งหยวนเป่าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

“นี่? นี่แก?” เจิ้งหยวนเป่ายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วหันไปมองบอดี้การ์ดทั้งสองที่ถูกซัดจนกระเด็นไปแล้ว

ด้วยสรีระของหลินอิ่ง เขาสามารถถีบคนที่หนักสองร้อยปอนด์ให้กระเด็นได้ยังไง?

สองคนนี้เป็นถึงนักชกแชมเปี้ยนที่เขาจ้างมาอย่างแพงจากลาตินอเมริกาเลยนะ

เพรี๊ยะ!

เสียงแสบหูดังขึ้น ฝ่ามือหนักๆ ตบเข้าที่บ้องหู ตบจนเจิ้งหยวนเป่าหมุนวนอยู่กับที่ เห็นดาวระยิบระยับ จากนั่นก็ล้มลงพื้นพร้อมกับใบหน้าที่บวมไปครึ่งหนึ่ง

“อะไรเนี่ย? นี่แกกล้าตบหน้าฉันเหรอ?” เจิ้งหยวนเป่าไม่อยากจะเชื่อ เขารับไปไม่ได้ เขาอยู่มาตั้งยี่สิบกว่าปี ยังไม่เคยถูกใครตบหน้าแบบนี้มาก่อนเลย! นี่มันหน้านะ หน้าของเขาที่เป็นถึงคุณชายให้แห่งมณฑลเกาหยางผู้สูงศักดิ์ยังกล้าแตะต้องเหรอ?

“แกตายแน่ ที่กล้ามาทำร้ายฉันถึงในมณฑลเกาหยางแบบนี้? แกไอ้ปลาเน่า…” เจิ้งหยวนเป่าเริ่มแหกปากออกมาเหมือนกับราวกับเพิ่งถูกทำให้อับอายขายหน้าอย่างถึงที่สุด แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลินอิ่งก็ได้กระทืบเท้าลงมาเหยียบอยู่บนใบหน้าของเขา เหยียบจนเขาร้องโหยหวน เหยียบจนเลือดกำเดาเริ่มไหล

“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ? จะกระทืบผมเหรอ?” หลินอิ่งมองจ้องหน้าเจิ้งหยวนเป่าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย

“ฉะ ฉัน……” เจิ้งหยวนเป่าอยากจะตะโกนด่า แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นแววตาที่เยือกเย็นของหลินอิ่งแล้ว ใจก็เต้นรัวด้วยความหวาดกลัว จนต้องก้มหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว

“ตั้งแต่ลงเครื่องมาคุณก็เอาแต่พูดไม่หยุด พูดเก่งนักใช่มั้ย ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ?” หลินอิ่งกับแววตาที่เย็นชา เขาเองก็ถูกพูดจนทนไม่ไหวแล้ว

ตุ๊บ!

หลินอิ่งเตะเท้าออกไป เตะจนเจิ้งหยวนเป่ากระเด็นออกไปกว่ายี่สิบเมตร แล้วกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่เจ็บปวด เอามือกุมเป้ากางเกงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพล่าน

ถึงการโจมตีนี้จะไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้เขาเป็นหมัน แต่ในช่วงปีสองปีนี้เขาคงทำตัวให้สมเป็นผู้ชายไม่ได้แล้ว เพราะมันต้องใช้เวลาฟื้นฟู

การลงมือของหลินอิ่งนั้น เขาค่อนข้างมั่นใจในผลลัพธ์อยู่เสมอ

“ฮือออ! อ้า ฉันจะให้คนมาฆ่าแกให้ตาย!” เจิ้งหยวนเป่าตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงที่เล็กแหลมกังวานไปทั่ววิลล่า

พรึบพรับ

เพียงครู่เดียว ก็ได้มีบอดี้การ์ดที่ใส่สูทสิบกว่าคนวิ่งเข้ามาด้วยความแตกตื่น ชายหญิงวัยกลางคนที่ดูดีอีกหลายคนก็ได้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ซีเรียสเหมือนกัน

“ที่นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามขึ้น เหลียวไปมองเจิ้งหยวนเป่าที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่ทีหนึ่งจากนั้นก็หันมาจ้องเขม็งที่หลินอิ่งด้วยแววตาที่มีแต่ไฟแห่งโทสะ

“คุณลุงครับ! พ่อครับ! ไอ้บ้านนอกนี่มันกล้าเข้ามาทำร้ายผมถึงที่นี่เลยครับ แถมยังเตะกล่องดวงใจผมด้วย ผมจะตัดตอนมัน!” พอเจิ้งหยวนเป่าให้คนที่มาช่วยเขาก็แหกปากออกมาอีกครั้ง

“พ่อครับ ลุงครับ รีบสั่งให้คนมาจับตัวมันไว้เร็วครับ ผมจะกระทืบมันให้พิการไปเลย! ตัดตอนมัน!” เจิ้งหยวนเป่าโอดครวญออกมาด้วยความเดือดดาล

ในชั่วขณะหนึ่งทุกคนที่นั่นต่างจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาที่โกรธแค้น

“กล้ามาทำร้ายลูกชายของฉันถึงที่นี่เลยเหรอ จับตัวมันเอาไว้! แล้วหักแขนมันซะ!” ชายวัยกลางคนโบกมือให้บอดี้การ์ดสิบกว่าคนพุ่งเข้าใส่โดยที่ยังไม่ทันได้ถามหาข้อเท็จจริงเลยสักนิด

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ตอนแรกก็คิดจะพอแล้ว แต่คนพวกนี้ก็เข้ามารนหาที่เอง

ตุ๊บตั๊บตุ๊บตั๊บ!

เห็นแต่กำปั้นที่พุ่งออกมาราวกับพายุ กับฝ่าเท้าอีกสามสี่ห้าหกที ครั้งละคนละคน จนบอดี้การ์ดสิบกว่าคนลงไปนอนกองกับพื้น เลือดพุ่งออกจากปาก กลุ่มวัยกลางคนพวกนั้นตกใจจนหน้าซีดไปหมดแล้ว

ภายใต้แววตาของทุกคนที่กำลังตะลึงอยู่นั้น หลินอิ่งก็ได้เดินเข้าไปยื่นมือไปดึงคอเสื้อของเจิ้งหยวนเป่าขึ้น

“กะ แกคิดจะทำอะไร?” เจิ้งหยวนเป่าถามออกมาอย่างหวาดวิตก หลินอิ่วคนนี้ฝีมือร้ายกากเกินไปแล้ว

“ทำอะไรเหรอ? ปากดีนักไม่ใช่เหรอคุณน่ะ?” หลินอิ่งขำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วมองไปที่พ่อของเจิ้งหยวนเป่า “ผมจะตีลูกของคุณต่อหน้าพวกคุณนี่แหละ”

พูดจบ เพรี๊ยะๆๆ เขาตบหน้าเจิ้งหยวนเป่ารัวๆ สามที ทำเอาถึงกับกระอักเลือด แก้มบวมอย่างกับซาลาเปาลูกใหญ่

“แกยังกล้าทำร้ายฉันอีกเหรอ? แกได้ตายจริงๆ แน่ ไอ้ปลาเน่าเอ๊ย!” เจิ้งหยวนเป่ายังคงไม่พอใจ เขาพูดออกมาด้วยสายตาที่แสนโกรธแค้น

ซิ่ว หลินอิ่งเอามือบีบลำคอของเจิ้งหยวนเป่าเอาไว้ จากนั้นก็จิ้มสองนิ้วเข้าไปในปาก แล้วก็มีฟันสามซี่กระเด็นออกมาเจ็บจนเขาสะดุ้งไปทั้งตัว ลิ้นเกร็งไปหมด พร้อมกับเสียงโหยหวนที่แสนเจ็บปวด

“แกกล้าทำถึงขนาดนี้! แกเป็นใครกันแน่?” พ่อของเจิ้งหยวนเป่าที่สีหน้าตกตะลึง กำลังเสียขวัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

“หลินอิ่ง” หลินอิ่งตอบไปอย่างเรียบเฉย แล้วเตะเจิ้งหยวนเป่าที่เหมือนหมาหัวเน่าออกไป

“นี่? หลินอิ่ง คุณคือหมอวิเศษที่กงซุนชิวอวี่เชิญมาอย่างนั้นเหรอ?” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้น “คุณมาช่วยรักษาโรคไม่ใช่เหรอคะ? แล้วทำไมถึงมาทำร้ายคนอื่นอย่างนี้ล่ะคะ?”

หลินอิ่งตอบมาอย่างเรียบเฉยว่า “ผมรักษาทั้งโรคภัยและสันดานครับ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท