ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 157 ไม่มีเรื่องสร้างแต่เรื่อง

บทที่ 157 ไม่มีเรื่องสร้างแต่เรื่อง

บทที่ 157 ไม่มีเรื่องสร้างแต่เรื่อง

หลินอิ่งทำหน้าเรียบเฉย เขาเหลือบไปพิจารณาชายหนุ่มในชุดสูทคนนั้นแวบหนึ่ง

ชายหนุ่มคนก็ดูดีใช้ได้เลย ติดแค่สายตาที่เป็นประกายคู่นั้นดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ โดยเฉพาะตอนที่มองมาที่เขา

“นี่คุณกำลังมองอะไรอยู่? ไม่พอใจรึไงที่ผมว่าคุณแบบนั้น? ถ้ายังไม่เลิกมองเดี๋ยวก็ตบหัวทิ่มเลย!” ชายหนุ่มวางท่าโอ้อวด ทำเหมือนไม่มีใครสู้ตัวเองได้

เขาคิดว่า คนต้อยต่ำแบบนี้มีสิทธิ์ตรงไหนที่จะไปยืนข้างๆ กงซุนชิวอวี่แบบนั้น? แถมยังกล้ามองตัวเองด้วยสายตาที่ไม่ให้เกียรติได้ยังไง?”

กงซุนชิวอวี่นั้นเป็นนางในฝันของเขาเลยนะ เขาไม่ยอมให้ปลาเน่าชั้นต่ำแบบนี้เข้าใกล้เธอหรอก!

“เจิ้งหยวนเป่า ช่วยระวังปากหน่อย!” กงซุนชิวอวี่ไม่พอใจแล้ว เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ว่า “ฉันบอกคุณไปแล้วนี่ ว่าคุณหมอหลินเป็นหมอวิเศษที่ฉันเชิญมาจากเมืองชิงหยูน เขาเป็นแขกคนสำคัญของฉัน คุณช่วยระวังคำพูดหน่อย หรือคุณไม่ให้เกียรติฉัน?”

สำหรับเจิ้งหยวนเป่าคนนี้ กงซุนชิวอวี่ไม่ได้มีภาพจำที่ดีของเขาสักเท่าไหร่ ครั้งนี้ยิ่งชวนให้คนรำคาญเข้าไปอีก มาถึงก็ตำหนิพี่ฉีหยิ่นใหญ่เลย แล้วมองตัวเองเป็นอะไร?

ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ชายทำตัวไม่เด่น เธอคงจะบอกฐานะที่แท้จริงของพี่ชายไปแล้ว บอกให้เจิ้งหยวนเป่ารู้ไปเลยว่านี่คือฉีหยิ่นแห่งตี้จิง เขาคงได้ตกใจจนช๊อตตายแน่

“ก็ได้ก็ได้ ชิวอวี่ เรื่องนี้ผมจะเชื่อคุณแล้วกันครับ” เจิ้งหยวนเป่าพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วมองหลินอิ่งด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์เอามากๆ

“แต่ว่านะ ชิวอวี่ คุณเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกไม่นานเอง คงจะไม่ค่อยรู้ทันคนเท่าไหร่หรอก ในสังคมตอนนี้มีคนที่แอบอ้างว่าตัวเองเป็นหมอนั้นมีเยอะมาก คุณต้องระวังให้มากๆ นะครับ” เจิ้งหยวนเป่ายังคงจิกกัดไม่เลิก

เจิ้งหยวนเป่ายิ่งมองหลินอิ่งก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ กับชายหนุ่มที่เพิ่งอายุยี่สิบต้นๆ ยังกล้าอ้างตัวว่าเป็นหมอวิเศษอีกเหรอ? แถมยังคิดที่จะไปรักษานายท่านกงซุนให้หายอีก นี่มันคิดว่ากำลังเล่นหนังตลกอยู่รึไง?

ต้องรู้ก่อนว่า เพื่อรักษาอาการป่วยของคุณท่านกงซุน ตระกูลกงซุนนั้นได้ใช้เส้นสายมากมาย ทั้งในและนอกประเทศหมอที่มีชื่อเสียงที่สุด แพทย์แผนโบราณแผนตะวันตก จนไม่รู้ว่าเชิญหมอมาดูอาการแล้วกี่คน และยังใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดด้วย

ผลที่ได้คือ แม้แต่สาเหตุการป่วยของนายท่านกงซุนเกิดจากอะไรยังตรวจหาไม่ได้เลย แล้วกับไอ้เด็กเหลือขอแบบนี้อายุคงจะไม่มากไปกว่าตัวเอง ก็อยากอ้างตัวว่าเป็นหมออีกเหรอ?

“คุณช่วยพูดให้น้อยลงหน่อยได้มั้ยคะ?” กงซุนชิวอวี่ตำหนิอย่างไม่ชอบใจ เธอไม่อยากได้ยินคำพูดแบบนี้

เจิ้งหยวนเป่าที่ยังอยากพูดเอาใจเธออยู่ แต่ก็ถูกเบรกจนพูดไม่ออก สีหน้าเลยดูแย่เอามากๆ

“อาจารย์หลินคะ เราไปที่วิลล่าฉงหลงกันก่อนนะคะ” กงซุนชิวอวี่บอกกับหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่จริงจัง

หลินอิ่งพยักหน้า ทั้งสองก็เดินตรงไปที่รถไมบัคคันหนึ่งโดยที่ไม่ได้สนใจเจิ้งหยวนเป่าอีกเลย คนขับเปิดประตูทันที

“เฮ้อ รอเดี๋ยวครับ ชิวอวี่ นั่งรถผมไปก็ได้นะครับ” เจิ้งหยวนเป่าพูดเอาใจอย่างเต็มที่ และเผยรอยยิ้มที่แสนเป็นมิตรออกมา

“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญคุณขับรถกลับไปคนเดียวเถอะค่ะ” กงซุนชิวอวี่ตอบไปอย่างเรียบเฉย แล้วขึ้นไปนั่งตรงฝั่งคนขับ

ส่วนหลินอิ่งก็เขาไปนั่งตรงที่นั่งหลังคนขับ

“แต่……” เจิ้งหยวนเป่าสีหน้าดูแย่มาก เขารู้สึกไม่พอใจสุดๆ

ทั้งที่อยากจะเอาใจกงซุนชิวอวี่แท้ๆ แต่กลับถูกเมินใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเป็นช่วงปกติก็จะไม่ว่าอะไร แต่ไอ้คนลวงโลกอย่างหลินอิ่งนี่มันมีสิทธิ์อะไรที่ไปนั่งในรถคันเดียวกับกงซุนชิวอวี่?

แถมยังไม่รู้จักเจียมตัว ไปนั่งในตำแหน่งของเจ้านายแล้วให้กงซุนชิวอวี่นั่งตรงที่นั่งข้างคนขับเนี่ยนะ?

นี่มันคิดว่ามันเป็นใคร? ยังเรียกว่าหมอวิเศษใช่มั้ย?

“คนแซ่หลิน แกอยากตายนักใช่มั้ย? แถมยังกล้าให้คุณหนูอย่างชิวอวี่นั่งตรงข้างคนขับอีก แล้วแกก็ไปนั่งตรงที่นั่งของเจ้านาย? แกคิดว่าแกเป็นใคร?” เจิ้งหยวนเป่าพูดใส่หลินอิ่งด้วยความโมโห เพื่อระบายความโกรธออกมา

“ทำไมคุณถึงพูดจาแบบนี้?” กงซุนชิวอวี่เปิดประตูรถมา แล้วต่อว่าไปอย่างไม่ชอบใจ จากนั้นก็เปิดประตูหลังออกแล้วเข้าไปนั่งข้างๆ หลินอิ่ง แถมยังนั่งชิดมากด้วย

“ออกรถค่ะ!”

พอได้รับคำสั่งคนขับก็ขับรถออกไปทันที

“นี่แก!” ไฟโทสะในตาของเจิ้งหยวนเป่ากำลังลุกโชน กงซุนชิวอวี่นั่นเป็นเทพธิดาของเขาเลยนะ คนไร้ค่าอย่างหลินอิ่งมันมานั่งใกล้เทพธิดาแบบนี้ได้ยังไง? มันต้องเป็นเขาสิถึงจะคู่ควรที่จะได้รับสิทธิ์นั่น!

“” ไป ไปที่วิลล่าฉงหลงกัน!” เจิ้งหยวนเป่าบอกกับบอดี้การ์ดของตัวเอง จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งในรถลัมโบร์กีนี อะเวนตาโดร์ แล้วขับตามหลังรถของหลินอิ่งไป

“คนที่ชื่อเจิ้งหยวนเป่าเมื่อกี้ เขาเป็นคุณชายอันดับหนึ่งของมณฑลเกาหยางค่ะ เป็นเพื่อนตายกับลูกพี่ลูกน้องที่เป็นผู้ดีของชั้นคนนั้น เขาเคยชินกับการทำตัวกร่างในมณฑลเกาหยางไปแล้ว เพราะปกติไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาเลย” กงซุนชิวอวี่พูดขึ้น “พี่คะเดี๋ยวฉันจะบอกเขาให้นะคะ ว่าห้ามไม่ให้เขาหาเรื่องพี่อีก ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเจิ้งกับตระกูลกงซุนของเรานั้นถือว่าดีเลยค่ะ”

หลินอิ่งทำเสียงฮึดฮัด “ตัวประกอบเล็กๆ แบบนี้ ฉันไม่เสียแรงไปยุ่งด้วยหรอก”

กงซุนชิวอวี่พยักหน้ายิกๆ แววตาเต็มไปด้วยความนับถือ

เคยเจอคุณชายผู้ดีของตี้จิงมาก็ตั้งเยอะ ยังไงก็พี่ฉีหยิ่นนี่แหละที่ดูมีบารมีที่สุด ไม่มีใครเทียบได้เลยสักคน ทั้งหล่อทั้งยิ่งใหญ่

แล้วรถก็มุ่งไปสู่วิลล่าฉงหลงที่อยู่ใจกลางเมืองเกาเทียน

ระหว่างทาง กงซุนชิวอวี่ก็ได้เล่ารายละเอียดของมณฑลเกาหยางกับที่มาที่ไปของตระกูลเจิ้งที่เจิ้งหยวนเป่าคนนั้นโตมาให้ฟัง

ที่แท้ ในมณฑลเกาหยางแห่งนี้ก็มีตระกูลเจิ้งเป็นศูนย์กลางนี่เอง ใบบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหมดพวกเขาสามารถกินเรียบเลย ตระกูลดั้งเดิมระดับสูงสุดก็มีเพียงแค่ตระกูลเจิ้งแค่ตระกูลเดียว ส่วนตระกูลที่รองลงมาก็เป็นแค่พวกที่ตามมาทีหลังเท่านั้น แน่นอนว่าตระกูลกงซุนไม่ได้รวมอยู่ในนั้นด้วย เพราะอำนาจกับกิจการนั้นอยู่ที่ตี้จิง

อีกอย่างต้นกำเนิดของตระกูลเจิ้งก็มาจากตี้จิงเหมือนกัน ในตี้จิงพวกเขาก็อยู่ระดับเดียวกับตระกูลนิ่งตระกูลฉีที่เป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของประเทศหลุงเลย ดังนั้นพวกเขาถึงมีสิทธิ์ที่จะพูดคุยสื่อสารกับตระกูลกงซุนนี่ไง

ที่สำคัญ เจิ้งหยวนเป่าคนนี้ยังเป็นผู้สืบทอดที่แน่นอนด้วย ความสามารถสูงมาก ตอนนี้เขาได้เข้าไปดูแลกิจการของตระกูลเจิ้งแล้วด้วย ผู้คนในมณฑลเกาหยางต่างรู้ดีว่าชายหนุ่มที่ยึดมั่นในคำพูดคนนี้ ในวงการทายาทของตี้จิง เจิ้งหยวนเป่าก็ถือว่าค่อนข้างมีสิทธิ์มีเสียงเหมือนกัน

ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เจิ้งหยวนเป่ามีความมั่นใจมากพอที่จะมาตามจีบกงซุนชิวอวี่นั่นเอง

ในทางกลับกัน คนในตระกูลกงซุนเองก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ ถึงขั้นมีบางผู้อาวุโสของตระกูลรับผลประโยชน์ก้อนโตจากตระกูลเจิ้ง เพื่อเป็นการสนับสนุนเจิ้งหยวนเป่า ช่วยพูดช่วยเชียร์

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว รถก็ถูกขับมาถึงที่วิลล่าฉงหลง

วิลล่าฉงหลงนั้นตั้งอยู่ข้างๆ ทะเลสาบเกาเทียน บรรยากาศค่อนข้างโดดเด่น พื้นที่ใช้สอยค่อนข้างกว้างขวางราวกับเป็นเมืองเมืองหนึ่ง มันเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างของวิลล่า ดูอลังการมาก

ที่นี่เป็นกิจการของตระกูลกงซุน คนที่จะเข้ามาที่นี่ได้ ต้องเป็นพวกระดับสูงและเป็นมหาเศรษฐีของเมืองเกาเทียนเท่านั้น

เมื่อรถขับเข้ามาในกลุ่มวิลล่าหนึ่ง หลินอิ่งกับกงซุนชิวอวี่ก็ลงจากรถ

หลินอิ่งนั่งดื่มชาอยู่ที่ห้องรับแขกของวิลล่า กงซุนชิวอวี่ได้ไปหาคุณปู่กับผู้ใหญ่ในตระกูลก่อน เพื่อไปแจ้งเรื่องที่เธอสามารถเชิญหมอวิเศษมาได้

ชานี้เป็นชาแดงที่เก่าแก่ หลินอิ่งค่อยๆ ดื่มด่ำกับความหอมของมัน

ปั๊ง

จู่ๆ กาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะที่เขานั่งก็ถูกใครบางคนโยนมันลงกับพื้น

เจิ้งหยวนเป่าเข้ามาในวิลล่าแล้ว เขาจ้องหน้าหลินอิ่งด้วยความโหดเหี้ยม ทำท่าเหมือนอยากจะกัดกินหลินอิ่งเข้าไปทั้งเป็น

“หมายความว่ายังไง?” หลินอิ่งเงยหน้าไปมองด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย พร้อมกับวางแก้วชาลง

“แกไม่รู้จักออกไปถามดูบ้างเหรอว่าเจิ้งหยวนเป่าคนนี้เป็นใครในมณฑลเกาหยางแห่งนี้! ฉันขอเตือนแกไว้นะ ถ้านักต้มตุ๋นชั้นต่ำอย่างกล้าเข้าใกล้กงซุนชิวอวี่อีกละก็ พ่อจะกระทืบแกให้ตายเลยคอยดู!” เจิ้งหยวนเป่าคำรามออกมาอย่างไม่ไว้หน้าเลยสักนิด

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท