ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 170 กำลังต่างประเทศเข้ามายุ่งเกี่ยว

บทที่ 170 กำลังต่างประเทศเข้ามายุ่งเกี่ยว

บทที่ 170 กำลังต่างประเทศเข้ามายุ่งเกี่ยว

ณ สนามบินนานาชาติแห่งเมืองชิงหยูน เมืองตุงไห่

หลินอิ่งลงจากเครื่องบินเพียงลำพัง เสิ่นซานและเจียงฉีจัดขบวนรถไว้เรียบร้อยแล้ว กำลังรอการมาถึงของเขา

หลินอิ่งเข้าไปที่เบาะหลังของรถและมุ่งหน้าไปยังเกาะเทียมของแม่น้ำชิงหยูน

เรื่องราวของตระกูลกงซุนก็จบลงไปชั่วขณะแล้ว กงซุนชิวอวี่ยังอยู่ที่มณฑลเกาหยางเพื่อดูแลคุณปู่ของเธอ เธอบอกว่าอีกไม่กี่วันจะมาอีกรอบ

หลินอิ่งไม่ได้คิดจะมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งกับเรื่องของตระกูลกงซุน อย่างไรก็ตาม กงซุนฉงหลงก็มาจากเขตแดนสงครามมาครึ่งชีวิตเลย ตอนนี้จิตใจของเขามีสติแล้ว ปัญหาเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังพอที่จะแก็ไขได้

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถโรลสรอยซ์ แฟนธอม ของเสิ่นซานขับไปที่สะพานแขวนล็อกเหล็กและมาถึงบนเกาะเทียม

หลังจากที่ผ่านการปรับปรุงและการก่อสร้างมาหลายวัน เกาะเทียมของแม่น้ำชิงหยูนนี้ได้เข้าที่เข้าทางแล้ว วิลล่าคฤหาสน์และภูมิทัศน์ต่างๆ มีเสน่ห์มาก.

ห้านาทีต่อมา หลินอิ่งได้เข้าไปนั่งในสวนหน้าคฤหาสน์ ด้านหน้าเขามีชาดําวางอยู่บนโต๊ะไม้จันทน์ เสิ่นซานนั่งตรงข้าม สีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อย

หลินอิ่งจิบชาดําไปหนึ่งคำ แล้วค่อยๆ วางแก็วชาลง มองไปที่เสิ่นซานแล้วถามว่า “เรื่องของตระกูลลาตินที่เล่าให้ฟังเมื่อคืนนี้ มันเกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อคืนตอนอยู่บนเครื่องบิน เสิ่นซานโทรมารายงานเหตุการณ์สำคุญ

บอกว่าทางละตินอเมริกามีตระกูลร่ำรวยมา ภูมิหลังของพวกเขามีอิทธิพลมาก ดูเหมือนว่ามาเพื่อให้กำลังสนับสนุนกับธุรกิจของตระกูลโจ

ว่ากันว่า กลุ่มคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนมีอำนาจที่ตระกูลโจพัฒนาขึ้นตอนนี้โจปิงกำลังขยายกิจการในละตินอเมริกา

อะไรคือตนะกูลลาติน ในพื้นที่วุ่นวายของละตินอเมริกา มีอำนาจมากในโลก พวกเขามีสิทธิ์พูดในใต้ดินทางการเมือง และธุรกิจของพวกเขาครอบคลุมไปทั้งอเมริกาใต้ แทบจะเป็นตระกูลที่เป็นที่รู้จักกันดีของทุกๆ ครัวเรือน

“ท่านหลิน ครั้งนี้ตระกูลลาตินส่งคนมาที่เมืองตุงไห่ นับว่าเป็นสะพานสำคัญในการปกป้องรักษาธุรกิจ พวกเขาคิดจะพัฒนาขุมกำลังไปประเทศหลุง” เสิ่นซานกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “สืบได้หรือยังว่าพวกเขาทำธุรกิจอะไร?”

“ท่านหลิน คนพวกนั้นมันเป็นพวกเสือดาวหมาป่า พวกเขามาที่ประเทศหลุงของพวกเราพวกเขาไม่ได้มีความหวังดีอยู่แล้ว” เสิ่นซานขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมได้ตรวจสอบแล้วว่า ตระกูลลาตินมาที่เมืองตุงไห่ ภายนอกดูเป็นบริษัทนําเข้าและส่งออกการค้าต่างประเทศที่มีทรัพยากรทางการเงินมากมาย แต่ความจริงแล้วกลับทำธุรกิจ ‘ยา’ อยู่เบื้องหลัง นั่นเป็นธุรกิจเก่าแก่ของตระกูลพวกเขาที่ทำให้ตระกูลเติบโตขึ้น”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของหลินอิ่งก็เผยประกายออกมา จิตสังหารพลุ่งพล่านขึ้นมา

“กลุ่มตระกูลโจไม่มีศีลธรรมเลย ถึงกับร่วมมือกับตระกูลลาตินเพื่อเงิน พวกเขาจึงเริ่มที่จะประจบสมาคมข้ามชาตินี้ขึ้นมา ไม่ไม่ศักดิ์ศรีเลย ไปเลียนิ้วเท้าให้ชาวต่างชาติเพื่อทำร้ายประชาชน” เสิ่นซานกล่าวเสียงต่ำ แม้ว่าเขาจะสร้างทุกอย่างขึ้นจากการอำนาจใต้ดิน แต่เขาก็ยังเป็นชายผู้ดีในป่าเขียวขจร เขาไม่เคยแตะต้องสิ่งของแบบนั้นเลย

แต่คิดไม่ถึงว่าตระกูลโจ ตระกูลร้อยปีนี้จะรวมมือกับกลุ่มคนต่างชาติด้วยกัน เพื่อเงินพวกเขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ช่างบ้าบออะไรเสียจริง

“จริงสิ ท่านหลิน และตระกูลซูนนั้น ช่วงนี้ก็ก็าวกระโดดโลดเต้นเหมือนกัน” ทันใดนั้นเสิ่นซานก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “คนของตระกูลซูนไม่รู้ใช้ความสัมพันธ์จากอะไร จึงได้เข้าสนับสนุนตระกูลลาตินด้วยตัวเอง และยังขายอาคารพาณิชย์เพื่อสร้างกรุ๊ปให้กับตระกูลลาติน และชื่อว่าลาตินกรุ๊ป ตอนนี้อยู่ในใจกลางเมืองชิงหยูน”

หลินอิ่งจิบชาไปหนึ่งคำ แล้วส่งสัญญาณให้เสิ่นซานพูดต่อ คิดไม่ถึงว่าช่วงที่ไม่อยู่ในเมืองชิงหยูน มีอสูรสัตว์ประหลาดโผล่มาเยอะเลย

เสิ่นซานกล่าวว่า”ตามการตวรจสอบของผม เมื่อลาตินกรุ๊ปนี้ก่อตั้งขึ้น ก็ใช้เงินทุนที่แข็งแกร่งไปซื้อและแบนกลุ่มบริษัทในทุกอุตสาหกรรม มีความร่วมมือจากตระกูลโจและตระกูลซูน ภายในไม่กี่วันนี้พวกเขากวาดเอาวงการธุรกิจไปเกือบหมด พวกเขาแทบจะมีส่วนร่วมในทุกๆ ธุรกิจแล้ว” ตระกูลซูนต้องการที่จะแก็แค้นเจียงฉี มีการโยนแผนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เมืองศตวรรษใหม่ออกมา และเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ซึ่งทำให้ไห่หยางกรุ๊ปของเราเสียหายไปอย่างมาก”

“คนพวกนั้นยุ่งแม้แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์งั้นเหรอ? ” หลินอิ่งถาม

เขาเองไม่ขาดแคลนเรื่องเงิน และไม่ได้รักเงินทอง แต่คนของเขาที่ติดตามเขามาต้องใช้เงินกินข้าว

อุตสาหกรรมเหล่านี้ของไห่หยางกรุ๊ปถูกสร้างขึ้นจากเงินทอง จะยอมให้คนอื่น ๆ มายุ่งวุ่นวายได้อย่างไร?

“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ด้วยเรื่องการประกาศราคาสินค้า พวกเขาลงมือกับเจียงฉีไปด้วย ตอนนั้นผมพาคนและหลิวจุนไปพร้อมกันสามคน ผมเคยปะทะมือกันแล้ว ในกลุ่มพวกชาวต่างชาติกลุ่มนั้นก็มียอดฝีมืออยู่ด้วย พวกเรายังเสียเปรียบอยู่เล็กน้อย” เสิ่นซานพูดอย่างจนปัญญา “แม้แต่การประกวดราคาก็แย่งชิงมาไม่ได้ เห็นได้ว่าทีมธุรกิจของคนกลุ่มนี้มีวิธีการที่ยอดเยี่ยมมาก”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เดี๋ยวเราไปเจอกับพวกเขาหน่อย”

การที่ลาตินกรุ๊ปนี้ต้องการมาที่เมืองชิงหยูนเพื่อสร้างรายได้มันก็ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลย แต่หากกล้ายื่นมือมายุ่งเกี่ยวกับไห่หยางกรุ๊ป และยังแอบทำธุรกิจที่ไร้ยางอายอยู่เบื้องหลังแล้วก็ ก็ต้องจัดการสักหน่อยแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลโจและตระกูลซูนทั้งสองตระกูลที่ไร้ยางอาย ได้ร่วมมือกับบริษัทกองกำลังข้ามชาติเช่นนี้ คงเป็นสิ่งที่เป็นพิษภัยอย่างมาก

ดังที่กล่าวไว้ว่า ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไหร่ ความรับผิดชอบก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หลินอิ่งเคยได้ยินอาจารย์สอนมาตั้งแต่เด็ก ถ้าจนก็จงทำตัวเองให้ดี แต่ถ้าร่ำรวยก็จงช่วยเหลือชาวโลก

ถึงแม้จะไม่มีจิตใจเยี่ยงนักปราชญ์ที่ช่วยประคองใต้หล้า แต่เรื่องที่อยู่ภายใต้สายตาของตนเองนั้น เขาไม่ยุ่งเกี่ยวไม่ได้แล้ว

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินอิ่งก็ออกคำสั่งให้เสิ่นซานอย่างเคร่งขรึม ให้เขาไปทำอย่างเต็มที่ จัดการเรื่องของลาตินกรุ๊ปให้ชัดเจนขึ้น

เขาโทรไปหาฉีโม่ ให้ฉีโม่มาเที่ยวเกาะเทียมตอนกลางคืน และกินข้าวด้วยกัน

ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากที่ฉีโม่รับช่วงต่อจากจางซื่อกรุ๊ป เธอจัดการกิจการของบริษัทได้เป็นยังไงบ้าง

ณ บริษัทเครื่องประดับจางซื่อ อาคารเป่าติ่ง

ใบหน้าของจางฉีโม่เต็มไปด้วยความสุข เธอเดินออกจากห้องโถงไปพร้อมดวงตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

งานในช่วงนี้เป็นไปอย่างราบรื่น นี่สิคือชีวิตที่เธอใฝ่ฝัน ไม่มีข้อจํากัดของคน

เมื่อกี้ได้ยินหลินอิ่งโทรมา บอกว่าจะไปกินข้าวที่เกาะเทียม? ไม่รู้ว่าเขากำลังเล่นอะไรอยู่

“ประธานจางครับ คุณมีเวลาคุยเรื่องงานไหมครับ? ”

ขณะนั้น เสียงทุ้มลึกก็ดังขึ้น จางหงซวนและจางหงจูนยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าที่แย่มาก และถามด้วยน้ำเสียงขอร้อง

ตั้งแต่จางฉีโม่กลายเป็นประธานของจางซื่อกรุ๊ป อิทธิพลของทั้งสองคนในคณะกรรมการก็แย่ลงเรื่อยๆ ผู้บริหารใหญ่ส่วนใหญ่ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ถูกจัดการเรียบร้อย อย่าพูดถึงเลยว่ามันคับขันแค่ไหน

ดังนั้น ต่อให้เป็นรุ่นน้องของจางฉีโม่ ทั้งสองคนก็ไม่กล้าเรียกชื่อเธอโดยตรง ทำได้แค่เรียกเธอว่าท่านประธานเท่านั้น

“มีเรื่องอะไรเหรอ? ” จางฉีโม่ถามด้วยสีหน้าปกติ

สำหรับสองคนนี้แล้ว เธอไม่มีความเกรงใจใดๆ เลย ก็เป็นแค่ญาติสนิทบ้าๆ สองคน

“อะแฮ่ม” จางหงเซวียนไอแห้งๆ ไปสองที แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ประธานจาง เป็นแบบนี้นี่เอง ลาตินกรุ๊ปที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในเมืองชิงหยูน มีธุรกิจเครื่องประดับ ทางเราผมมีความสัมพันธ์กับพวกเขา ไม่ทราบว่าคุณสนใจที่จะมาคุยเรื่องธุรกิจหรือไม่?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท