ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 172 คุณฮาพิ

บทที่ 172 คุณฮาพิ

บทที่ 172 คุณฮาพิ

ใจกลางเมืองชินหยูน บนท้องถนนที่เจริญรุ่งเรืองเต็มไปด้วยผู้คน

อู่เจิ้งขับรถในที่นั่งคนขับ หลินอิ่งกับจางฉีโม่นั่งอยู่ข้างหลัง

“หลินอิ่ง ช่วงนี้คุณหายไปไหนมา? ทำไมถึงได้ดูลึกลับแบบนี้?” จางฉีโม่ถาม

เมื่อกี้เธอไปเกาะกับหลินอิ่ง ได้ยินหลินอิ่งบอกให้เธอย้ายเข้าไป ทำให้เธอตกใจ

แล้วได้ยินว่า หลินอิ่งลงทุนกับเพื่อนคนหนึ่ง ตอนนี้ความรู้สึกคือตกใจมาก

นั่นมันเป็นเกาะแห่งหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ยังมีสะพานขนาดใหญ่และสนามจอดเฮลิคอปเตอร์ อย่างน้อยต้องเป็นที่ดินราคาเป็นพันล้าน และมีโอกาสพัฒนาสูงมาก

หลินอิ่งพูด “มีเรื่องธุรกิจต้องจัดการ คุณละ เรื่องในบริษัทจัดการได้ยังไงบ้าง?”

“ก็ราบรื่นดี ล้วนพึ่งความสัมพันธ์ของคุณ แนะนำเจียงฉีให้รู้จัก ลงทุนเงินมหาศาลขนาดนี้ บริษัทเครื่องประดับ ตั้งแต่ฉันรับช่วงมา ก็ดำเนินไปได้ค่อนข้างดี” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้ามีความสุข

ราบรื่น กิจกรรมก็เริ่มขยายใหญ่โตขึ้น สร้างช่องทางการตลาดของเมืองอื่นได้แล้ว ธุรกิจไม่ได้จำกัดแค่ในเมืองตุงไห่แล้ว

เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน หลังจากนิ่งซื่อเข้าร่วมบริษัทเครื่องประดับจางซื่อแล้ว บวกกับการลงทุนเงินก้อนใหญ่นี้ กิจการก็ขยายใหญ่โตขึ้นหลายเท่า รวมถึงผลกระทบก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ยืนอย่างหนักแน่นในแวดวงเครื่องประดับในเมืองตุงไห่แล้ว ชื่อเสียงก็โด่งดังไปถึงเมืองอื่น

นี่เป็นสิ่งที่จางฉีโม่อยากเห็นที่สุด เธอสามารถใช้ความสามารถได้เต็มที่ ออกแบบเครื่องประดับทุกชิ้นได้อย่างสร้างสรรค์ ทำให้ผู้คนมากมายเริ่มรู้จักผลงานของเธอ

“งั้นก็ดี” หลินอิ่งพยักหน้า “ครั้งนี้ ลูกค้าที่คุณนัดครั้งนี้สำคัญมากเหรอ? ที่ไปที่มายังไง?”

ตอนแรกหลินอิ่งอยากไปกินข้าวกับจางฉีโม่ที่ร้านอาหารฟองซัมเมอร์ แต่ฉีโม่บอกคืนนี้ต้องไปพบลูกค้าคนสำคัญ ให้เขาไปคุยด้วยกัน

“ลูกค้ารายใหญ่คนนี้เป็นคนของ Allenst กรุ๊ป เขาเป็นบริษัทเครื่องประดับสิบอันดับต้นๆของโลกเลย เป็นบริษัทที่เปิดมามากกว่าร้อยปีแล้ว” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้ฉันอยากทำให้ชื่อเสียงของบริษัทจางซื่อโด่งดัง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักลูกค้าระดับนี้”

เป็นคนที่มีจุดมุ่งหมาย เป้าหมายเธอไม่ได้อยู่เพียงวงการเครื่องประดับในเมืองตุงไห่ แต่อยากทำให้ชื่อเสียงของจางซื่อเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศจนถึงทั่วโลก ตอนนี้คนของAllenst กรุ๊ปเสนอว่าอยากร่วมงานกัน เพราะฉะนั้นเธอจึงให้ความสำคัญมาก

หลินอิ่งพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรอีก หลับตาพักผ่อน

Allenst เป็นบริษัทเครื่องประดับระหว่างประเทศ ต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว แน่นอน เรื่องของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อเขาไม่อยากก้าวก่าย ให้ฉีโม่จัดการและดูแลเองทั้งหมด

สิบนาทีผ่านไป รถจอดอยู่หน้าตึกหรูแห่งหนึ่ง

จุดหมายคือร้านอาหารที่ตกแต่งแบบพิเศษแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยรสชาติแบบตะวันตก เหมือนกับปราสาทสีทองแห่งหนึ่ง ชื่อว่า “คฤหาสน์หลัวเต๋อ”

อู่เจิ้งเปิดประตูรถ แล้วกลับรถไปจอดที่ลานจอดรถ หลินอิ่งกับจางฉีโม่ทั้งสองคนเดินเจ้าไปในคฤหาสน์หลัวเต๋อ โดยมีสาวผมทองสองคนนำทาง

ไม่นานก็เดินไปถึงห้องอาหารหรู

ทั้งสองคนนั่งอยู่บนโซฟาสีแดง ตรงข้ามเป็นชายผิวขาวผมทอง ท่าทางสง่าสีหน้ามีรอยยิ้ม

บนโต๊ะจัดเรียงอาหารและของว่างหลายอย่าง เมนูพิเศษทางร้านคือไวน์ขึ้นชื่อสองขวดราคาตั้งร้อยล้าน

“โอ้ สวัสดีตอนเย็น ประธานจาง ผู้ช่วยหลิน ผมขอแนะนำตัวหน่อย ผมเป็นผู้ตรวจสอบการตลาดที่Allenst กรุ๊ปส่งมาประจำอยู่ที่เมืองตุงไห่ชื่อหลัวเต๋อ” ผู้ชายผมทองใช้ภาษาประเทศหลุงที่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ จางฉีโม่พยักหน้า พูดว่า “คุณหลัวเต๋อ หนังสือการร่วมงานที่คุณส่งมาให้บริษัทจางซื่อฉันดูแล้ว ฉันสนใจในข้อเสนอของบริษัทคุณ ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะได้ผลสรุป?”

เธอมาครั้งนี้ก็เพื่อจะตกลงเรื่องสัญญาการร่วมงานกับAllenst กรุ๊ป เซ็นสัญญาการร่วมงานกัน และอยากขยายบริษัทไปสู่ต่างประเทศ

“ประธานจาง เอาอย่างนี้ ผมตัดสินใจเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ ต้องเชิญคุณคุยกับผู้บริหารของผม”

หลัวเต๋อสีหน้ายิ้มเล็กน้อย ลุกขึ้นเดินไปอีกฝั่ง

ผู้ชายวัยกลางคนไว้หนวดคนหนึ่งเดินเข้ามา เดินเข้าไปนั่งบนโซฟา มองไปที่หลินอิ่งสองคนด้วยสีหน้าล้อเล่น

“คุณ? เป็นหัวหน้าของคุณหลัวเต๋อ?” จางฉีโม่ขมวดคิ้วถาม

ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินคุณหลัวเต๋อบอกว่ามีหัวหน้าอยู่ในเมืองตุงไห่ และเธอรู้สึกว่าชายมีหนวดคนนี้เหมือนจะไม่ได้มาดี สายตาดูชั่วร้าย

“ผมเป็นรองประธานของลาตินกรุ๊ป ฮาพิ” ฮาพิพูดอย่างมั่นใจ เป็นสำเนียงของประเทศหลุงอย่างชัดเจน น่าจะอาศัยอยู่ในประเทศหลุงเป็นเวลานาน

“ประธานจาง ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องแนะนำตัวเองแล้วนะ? ก่อนหน้านี้บริษัทเราเคยส่งบัตรเชิญให้คุณ แต่ก็ถูกคุณปฏิเสธแล้ว ดูเหมือนว่า คุณจะไม่ค่อยสนใจลาตินกรุ๊ปของเราเลย?” สีหน้าฮาพิเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

เขาไม่เข้าใจ ประธานบริษัทเล็กๆอย่างจางฉีโม่ทำไมถึงปฏิเสธการเชิญของลาตินกรุ๊ป

จางฉีโม่มองไปที่หลินอิ่ง รู้สึกเหมือนสถานการณ์ไม่ค่อยปกติ

“คุณฮาพิ ร่วมงานกับใครเป็นสิทธิ์ของบริษัทเรา ไม่เกี่ยวกับคุณ” จางฉีโม่พูดอย่างไม่เกรงใจ

ก่อนหน้านี้เธอได้รับบัตรเชิญจากลาตินกรุ๊ปหลายครั้งแล้ว รู้ว่าคนกลุ่มนี้เบื้องหลังใหญ่โต ทุกวันนี้จางฉีโม่ก็ถือว่าเป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองชินหยูนแล้ว ก็ต้องได้ยินเรื่องที่ลาตินกรุ๊ปทำกับไห่หยางกรุ๊ปแน่นอน ไม่แค่แย่งผลงานประมูลทำให้ชื่อเสียงไห่หยางกรุ๊ปเสื่อมเสีย ยังเปิดเผยโครงการใหญ่ของเมืองซื่อจี้ อยากจะตีตลาดธุรกิจในเมืองตุงไห่

เธอรู้ดีว่าเป็นเพราะเพื่อนของหลินอิ่ง เจียงฉีลงทุน เพราะฉะนั้นถึงได้ทำให้จางซื่อกรุ๊ปยืนได้อย่างหนักแน่น คนของลาตินกรุ๊ปต้องการเจาะจงเจียงฉี จึงได้มาหาเรื่องกับประธานบริษัทเล็กๆอย่างเธอ

“ไม่เป็นไร? คุณนี่ก็ล้อเล่นเก่งนะ” ฮาพิพูดและหัวเราะเย็นชา “ผมพูดอย่างเปิดอกเลยละกัน คุณจาง ผมหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับลาตินกรุ๊ป ถีบเจียงฉีออกจากหุ้นส่วนทั้งหมดของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ”

“เชื่อผม ร่วมงานกับลาตินกรุ๊ปของเรา คุ้มกว่าการร่วมมือกับเจียงฉีแน่นอน คุณจะได้ผลกำไรมากกว่า” ฮาพิพูดอย่างไม่ให้ช่องว่างในการปฏิเสธ

“นี่…..” จางฉีโม่สีหน้าไม่ดี คิดไม่ถึงกว่าเป้าหมายฮาพิเด่นชัดขนาดนี้

“คุณฮาพิ ฉันมาหาAllenst กรุ๊ปเพื่อคุยเรื่องธุรกิจ สำหรับเรื่องที่คุณพูด ฉันไม่อยากพูดถึงอีก” จางฉีโม่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “อีกอย่าง คุณใช้นามของผู้บริหารAllenst กรุ๊ปมาพบฉัน พฤติกรรมแบบนี้ไร้ความจริงใจ ฉันไม่มีวันร่วมมือกับพวกคุณ”

พูดไป จางฉีโม่ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปพร้อมหลินอิ่ง

“วันนี้เรื่องการร่วมมือคุยไม่เสร็จ พวกคุณออกจากประตูนี้ไม่ได้”

ทันใดนั้น บอดี้การ์ดสิบกว่าคนล้อมเข้ามา ขวางทางของจางฉีโม่กับหลินอิ่ง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท