ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 171 แอบซ่อนพายุ

บทที่ 171 แอบซ่อนพายุ

บทที่ 171 แอบซ่อนพายุ

“ลาตินกรุ๊ป?” จางฉีโม่ขมวดคิ้ว ตั้งแต่เธอได้เลื่อนขั้นเป็นประธาน ก็ได้ไปมาหาสู่กับคนในแวดวงธุรกิจบ่อยๆ ก็ต้องได้ยินเป็นธรรมดาเกี่ยวกับบริษัททุนต่างชาติในเมืองชินหยูน ลาตินกรุ๊ป

“ไม่ต้อง บริษัทเรามีเงินทุนเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับนายทุนต่างชาติ”

จากฉีโม่ปฏิเสธทันที

เธอเพิ่งรับช่วงบริษัทเครื่องประดับจางซื่อมาใช้เงินหมุนเวียนจากไห่หยางกรุ๊ปมาสองพันล้านแล้ว ถึงแม้ว่าอยากหาคนลงทุนร่วมหุ้นด้วย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้จางหงซวนแนะนำแน่นอน ใครจะไปรู้ว่าใจเขาคิดแผนการอะไรอยู่

“นี่? ประธานจางไม่พิจารณาสักนิดเหรอ? ลาตินกรุ๊ปตอนนี้ถือเป็นบริษัทระดับต้นๆในวงการธุรกิจของเมืองชินหยูนเลยนะ” จางหงซวนพูด

“ไม่ต้องพิจารณา” จางฉีโม่พูดอย่างเด็ดขาด ไม่ได้สนใจสองคนนั้นอีก แล้วเดินขึ้นรถไป อู่เจิ้งเปิดประตูเรียบร้อยแล้ว รีบเดินขึ้นรถ

รถขับออกไป ขับออกไปบนถนนที่คึกคัก ไม่ให้โอกาสจางหงซวนสองคนพูดอะไรเลย

“ยโสจริงๆ ไม่มีเราสองคนผู้ใหญ่อยู่ในสายตาเลย” จางหงจูนโมโหจนกัดฟันแน่น มองรถที่ขับไปด้วยความไม่พอใจ

สถานการณ์พลิกผันแล้ว จางฉีโม่ตัวเล็กๆ ตอนนี้กลับเชิดหน้าต่อหน้าพวกเขาได้แล้ว?

ไม่รู้ว่าจางฉีโม่เอาความสัมพันธ์พวกนี้มาจากไหน เชิญมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองตุงไห่เจียงฉีมาได้ เปิดหุ้นทั้งหมดของจางซื่อได้ ยังลงทุนให้จางฉีโม่ รับซื้อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ

ทำให้กรรมการอย่างเขาสองคนต้องตกต่ำลงเรื่อยๆ สูญเสียทรัพย์สินมากมาย

“ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง นึกว่ามีเส้นสายอย่างเจียงฉี ก็ทำอะไรตามใจได้” จางหงซวนสีหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา พูดอย่างเย็นชา “หวางจื่อเหวินก็ไม่รู้ทำอะไร ติดต่อไม่ได้เลย สองวันก่อนฉันไปหาถึงบ้าน แต่กลับไม่รับแขก”

“เห้อ อย่าพูดเลย คนตระกูลหวางพึ่งไม่ได้หรอก ทำอะไรก็แค่เล่นๆ” จางหงจูนถอนหายใจพูด “ช่วงนี้ตระกูลหวางก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ธุรกิจก็ไม่ค่อยทำ คนตระกูลหวางก็ไม่ค่อยเข้าสังคมแล้ว ฉันถามคนของตระกูลหวางหลายคน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแค่ว่าพ่อของหวางจื่อเหวินถูกถีบออกจากบ้านแล้ว…..ไม่ต้องหวังจะพึ่งตระกูลหวางแล้ว”

จางหงจูนสองคนมองหน้ากัน สีหน้าเคร่งเครียด

ตอนแรกคิดว่าได้เกาะขาหวางจื่อเหวิน แล้วถีบอูหยางออก แย่งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อมาครอง แล้วค่อยๆแก้แค้นครอบครัวจางฉีโม่ ให้พวกเขาก้มหัวขอโทษ

แต่คิดไม่ถึง ว่าจะมีเจียงฉีโผล่มากลางทาง กลับให้จางฉีโม่ขี่อยู่บนหัวพวกเขา ความคิดที่อยากจะแก้แค้นครอบครัวจางฉีโม่ ต้องสลายไปกลางอากาศ

“หวังจะพึ่งตระกูลหวางไม่ได้แล้ว แต่ว่า ช่วงนี้บริษัททุนต่างชาติอย่างลาตินกรุ๊ปฉันเริ่มมีเส้นสายบ้างแล้ว” จางหงซวนพูดอย่างจริงจัง “ได้ข่าวมาว่า ลาตินกรุ๊ป กับครอบครัวเมียฉันฝั่งตระกูลโจกำลังทำธุรกิจกัน และกำลังขยายธุรกิจในด้านต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจด้านเครื่องประดับ”

“โดยเฉพาะลาตินกรุ๊ปเข้ามาในเมืองชินหยูนก็เผชิญหน้ากับไห่หยางกรุ๊ปเลย เพราะฉะนั้น พวกเราสามารถหาโอกาสมารับมือกับจางฉีโม่” จางหงซวนวิเคราะห์อย่างมีหลักการ

“ข่าวนี้ฉันก็ได้ยินมาจากซูนเหิงเหมือนกัน บริษัทนี้เบื้องหลังใหญ่โต เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับสามต้นๆในลาตินอเมริกา แม้แต่เจียงฉี ก็ไม่ได้มีเงินเหมือนลาตินกรุ๊ป” จางหงจูนพูดอย่างจริงจัง “เจียงฉีสักวันก็ต้องถูกลาตินกรุ๊ปทำให้ล่มแน่นอน ถึงเวลาจางฉีโม่ไม่มีที่พึ่งแล้ว ยังจะยโสโอหังได้อีกไหม”

“เฮอะ” จางหงจูนทำเสียงสูง สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ใช่ หัวหน้าระดับสูงของลาตินกรุ๊ป ออกหน้าเชิญจางฉีโม่ด้วยตัวเอง ยังปฏิเสธอย่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง พวกเราเอาเรื่องนี้เป็นหัวข้อ รออีกสองวันพวกเราติดต่อไปเอง เชิญคุณฮาพิของลาตินกรุ๊ปกินข้าว ขอแค่คุณฮาพิยอมช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือกับพวกเรา ก็เอาบริษัทเครื่องประดับจางซื่อกลับมาได้แน่นอน”

พูดไป ทั้งสองก็สบตากันยิ้ม รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เหมือนความสำเร็จอยู่ในเอื้อมมือ เสมือนตัวเองได้อำนาจในการครอบครองบริษัทเครื่องประดับจางซื่อแล้ว

บริษัทเครื่องประดับจางซื่อเป็นบริษัทที่คุณปู่สืบทอดลงมา พวกเขาสองคนต้องเป็นผู้สอบทอดที่แท้จริง จางฉีโม่คนรุ่นหลังไม่รู้ที่ต่ำที่สูง นับประสาอะไรพวกเขาสองคนต้องทำงานภายใต้เธอแล้วฟังคำสั่งเธอ?

“ไม่ทราบว่า ใช่คุณจางหงซวนกับจางหงจูนใช่ไหมครับ?”

เวลาเดียวกัน ผู้ชายชุดดำสีหน้าเย็นชาเดินเข้ามา มีรถ Bentley สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ที่ไม่ไกล ในรถมีคนนั่งอยู่ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโต

“คุณเป็นใคร? รู้จักพวกเราได้ยังไง?” จางหงซวยมองชายชุดดำอย่างระวังตัว

พวกเขาสองคนฟังออกแล้ว ว่าชายชุดดำมีสำเนียงของคนต่างพื้นที่ ชัดเจนมากว่าเป็นคนตุงไห่ แถมยังรู้จักพวกเขาสองคนอีก รู้สึกแปลกมาก

“อันนี่คุณสองคนไม่ต้องใส่ใจ เถ้าแก่ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณสองคน เชิญมากับผม” ชายชุดดำพูดด้วยสีหน้าเฉยชา เหมือนเป็นการออกคำสั่ง ซึ่งทำให้จางหงซวนสองคนไม่พอใจอย่างมาก

“เถ้าแก่นายเป็นใคร? ใหญ่โตมาตากไหน?” จางหงซวนพูดแล้วยิ้มอย่างเย็นชา “ให้ลูกน้องมาทำตัวใหญ่โต? ดูถูกเราสองคนเหรอ?”

มันช่าง เพิ่งถูกจางฉีโม่ต่อล้อต่อคำ ยังรู้สึกโมโหอยู่ นายคนนี้ก็เข้ามาทำตัวโอหัง?

“จากฐานะคุณสองคน เถ้าแก่ผมจะดูถูกก็เป็นเรื่องปกติ” ชายชุดดำเหมือนพูดเรื่องปกติ ท่าทางหยิ่ง

“ผมขอถามคุณสองคนหน่อย พวกคุณรู้จักหลินอิ่งใช่ไหม? มีความแค้นกับหลินอิ่งสองผัวเมีย?” ชายชุดดำถามอย่างจริงจัง

พอได้ยินคำนี้ จางหงจูนสองคนอารมณ์โกรธที่กำลังจะระเบิดออกมาก็กลั้นเอาไว้ สบตากัน รู้สึกว่าเรื่องมันไม่ธรรมดา คนต่างถิ่นนี้มาหาจางฉีโม่กับหลินอิ่ง?

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ?” จางหงจูนถามเสียงต่ำ “อย่ามาทำลึกลับกับพวกเรา มาหาพวกเราเรื่องอะไร?”

“สิ่งที่ควรให้พวกคุณรู้ เถ้าแก่ต้องบอกพวกคุณแน่นอน ตามผมมาก็พอ” ชายชุดดำพูดเสียงเย็นชา “พวกคุณสองคน ไม่มีสิทธิ์รู้มากเกินไป”

“นาย กล้ามาโอหัง…..” จางหงจูนกับจางหงซวนกำลังจะระบายความโกรธออกมา แต่สีหน้ากลับซีดไปทันที มองผู้ชายในชุดดำอย่างไม่น่าเชื่อ

ท่อนเหล็กที่ห่อด้วยหนังสือพิมพ์ อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว

“เถ้าแก่มีเรื่องจะสั่งให้พวกคุณสองคนทำ ไม่อย่างนั้น พวกคุณก็มีชีวิตไม่ถึงคืนนี้” ชายชุดดำพูดช้าๆ ยื่นมือไปดึงทั้งสองคน ลากตัวเดินไปข้างหน้า

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท