ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 199 ซุ่มยิง

บทที่ 199 ซุ่มยิง

บทที่ 199 ซุ่มยิง

ผ่านไปหนึ่งวัน

หลินอิ่งออกจากเกาะเทียม ตั้งแต่เช้าตรู่ ขับรถไปยังอาคารเป่าติ่ง

เมื่อวานแบบเครื่องประดับที่ปรึกษากับฉีโม่ ยังมีบางจุดที่ต้องปรับแก้ สองวันนี้เขาจึงคิดจะช่วยฉีโม่จัดการงานในมือก่อน

ปี๊น! ปี๊น!

ตอนที่รถแท็กซี่กำลังจะขับออกจากซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง ตรงหน้าได้มีรถออฟโรดสองคันจอดอยู่ข้างทาง เจ้าของรถไม่อยู่ ทำให้ปิดขวางทางไว้ทั้งหมด

“คุณครับ ตรงหน้าไปไม่ได้ กลับรถเปลี่ยนทางมันยุ่งยาก ผ่านซอยนี้ไปก็เป็นอาคารเป่าติ่งแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นคุณเดินไปได้ไหม?” คนขับรถถามอย่างเกรงใจ

“ได้สิ” หลินอิ่งพยักหน้า จ่ายค่ารถ เปิดประตูลงไป

ห่างไปไม่ถึงร้อยเมตร ออกจากซอยเล็กๆ นี้ไป ตรงหน้าก็คืออาคารเป่าติ่ง

ตึกๆ หลินอิ่งเดินไปตามทาง จู่ๆ มือถือก็ดังขึ้นมา

เขากำลังจะรับสาย สายตากวาดมองไปรอบๆ อย่างเคยชิน จู่ๆ กลับถูกเงาร่างสีดำสองร่างที่อยู่บนดาดฟ้าตึกทางซ้ายดึงดูดความสนใจเข้า

พริบตาที่มองเห็นคนชุดดำ เขาก็หันหลังกลับพุ่งออกไปโดยสัญชาตญาณ ด้วยความเร็วถึงขีดสุด

ปัง!

เกิดเสียงแหลมคมดังขึ้น

จากนั้น เสียงรัวกระสุนปืนดังเปรี้ยงปร้างก็ถี่กระชั้นขึ้น ที่ดาดฟ้าตึกทางด้านซ้ายมีเสียงปืนดังไม่หยุด กราดยิงเล็งไปทางที่หลินอิ่งวิ่งห้อตะบึงอยู่

ช่วงเวลาสายฟ้าแลบ ต่อเนื่องถึงหนึ่งนาทีเต็ม ปลอกกระสุนกองหนึ่งตกลงเกลื่อนถนน หลินอิ่งพุ่งเข้าไปในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง ใบหน้าเขาราวกับน้ำลึก แววตาเย็นเยียบถึงขีดสุด

“ระยำ ไอ้หมอนี่ดวงแข็งจริงๆ แกเองก็สบายใจเกินไปแล้ว กระสุนไม่โดนเป้าหมายสักนัด พวกเราต้องตามไปฆ่าไหม?” บนดาดฟ้าตึก ชายชุดดำที่ถือปืนไรเฟิลคนหนึ่งใช้ภาษาต่างประเทศกล่าวอย่างชะล่าใจ

“แกเป็นอะไรไปล่ะ แกยิงคนแรกก็ไม่เห็นระเบิดหัวเขาให้ตาย เขารู้สึกตัวแล้วยังจะไม่วิ่งอีกเหรอ ฉันจะยิงไม่โดนก็เป็นเรื่องธรรมดา” ชายชาวต่างชาติที่ถือปืนยาวอีกคนหนึ่งแสดงท่าทางไม่พอใจเอามากๆ “ไม่ต้องตามฆ่าเขาหรอก เปลี่ยนที่ซ่อน ไอ้หมอนี่จะต้องมาอาคารเป่าติ่งอีกแน่ นี่เป็นบริษัทของตระกูลเขา ไม่หนีไปไหนหรอก”

“ก็ได้ เดี๋ยวโทรบอกคุณชายเซียวก่อน” ชายอีกคนใช้ห่อสีดำเก็บปืนไรเฟิล ล้วงโทรศัพท์ออกมากำลังจะต่อสาย

เพิ่งจะต่อสาย ท่าทางเขากลับชะงักค้างขึ้นมาทันที พบว่าชายที่คุ้นหน้าคนหนึ่ง ได้ขึ้นบันไดจากตึกมาถึงดาดฟ้าแล้ว

พอหลินอิ่งหาตึกเจอ ก็รุดมายังดาดฟ้าชั้นหกทันที

คนที่กล้าเล่นงานตัวเอง เขาไม่มีทางปล่อยไปเด็ดขาด

ชายชาวต่างชาติชุดดำสองคนมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รีบวางมือถือลงทันที เปิดห่อสีดำกำลังจะล้วงเอาปืนออกมาจากด้านในอีกครั้ง

ผลัวะ

หลินอิ่งพุ่งเข้ามา วาดเท้าหวดไปสองที เกิดเป็นเสียงลมอันแข็งแกร่ง ถีบคนทั้งสองจนล้มคว่ำ หมุนไปในอากาศร้อยแปดสิบองศาแล้วล้มลงบนพื้น กระอักเลือดออกมาหนึ่งที กระดูกถูกเตะจนแหลก

“พูด ใครส่งพวกแกมา?” หลินอิ่งกุมลำคอของชายคนหนึ่งไว้ ถามเสียงเหี้ยม

ชายชาวต่างชาติสองคนแสดงท่าทางหวาดกลัวอย่างยิ่ง ปากอ้ากว้าง พูดละล่ำละลักออกมาชุดใหญ่

“คนของประเทศM” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะได้ยินเป็นภาษาต่างประเทศ พวกเขากำลังพูดอะไรสักอย่างถึงคนจ้างวาน

พลั่กๆ

หลินอิ่งคร้านจะฟังอีกต่อไป ใช้สองหมัดต่อยคนทั้งสองที่อยู่บนพื้น นอนสลบไสลอยู่ตรงนั้น

หลังจากแน่ใจว่าสองคนนี้เป็นคนประเทศM เขาก็เดาได้แล้วว่าใครเป็นคนส่งมา

ครืด~

มือถือยังดังไม่หยุด หลินอิ่งรับสายด้วยสีหน้าปกติ

“ฮัลโหล ท่านหลิน คุณไม่เป็นไรนะ?” ที่ปลายสาย เป็นเสียงร้อนใจของเสิ่นซานดังออกมา

“เกิดอะไรขึ้น? ถึงได้โทรมาอย่างร้อนใจขนาดนี้?” หลินอิ่งถามอย่างสงสัย

สายแรกที่เสิ่นซานโทรมาตนเองไม่ได้รับ จากนั้นก็มีสายโทรเข้ามาเรื่อยๆ อีกหลายสาย ดังต่อเนื่องไม่หยุด นี่ไม่ใช่นิสัยปกติของเสิ่นซาน คาดว่าน่าจะมีเรื่องด่วนอะไร

“ท่านหลิน ขออภัยด้วยครับ เป็นเรื่องด่วนจริงๆ เป็นเรื่องใหญ่” เสิ่นซานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อสิบกว่านาทีก่อนผมถูกคนลอบยิง โชดดีที่รถผมติดตั้งระบบใหม่กันกระสุนได้ คนที่ลงมือ ผมให้หลิวจุนจับตัวไว้แล้ว เค้นถามออกมาได้ เป็นคนที่ลาตินกรุ๊ปส่งมาครับ”

“สิบกว่านาทีก่อน? นายเองก็ถูกคนลอบยิงด้วย?” หลินอิ่งถามอย่างสงสัย

ตอนแรกเขาคิดว่าคนที่ลงมือเป็นคนที่เซียวจวงส่งมา ก่อนหน้านี้เจ้าโง่นั่นยังปล่อยให้เขาอยู่สามวันแล้วถึงจะฆ่าเขา คิดไม่ถึงว่าจะลงมือกับเสิ่นซานไปพร้อมกันด้วย

แต่พอลองคิดดูอีกที ก็เข้าใจแล้วเช่นกัน เซียวจวงเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของลาตินกรุ๊ปในเมืองตุงไห่ ก่อนหน้านี้ตนเองสั่งให้เสิ่นซานคอยสร้างความยุ่งยากให้ลาตินกรุ๊ปมาตลอด คาดว่าคงถือโอกาสลงมือแก้แค้นไปพร้อมกับตัวเขาเลย

“ท่านหลิน ไม่ใช่แค่ผม เจียงฉีก็เกิดเรื่องด้วย” เสิ่นซานพูดด้วยน้ำเสียงหนักหน่วง “เมื่อกี้ตอนที่ผมโทรหาเจียงฉี มือถือเขาก็โทรไม่ติดแล้ว จากนั้นเลขาเขาก็โทรมา บอกว่า เจียงฉีถูกยิง ตอนนี้นำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว”

“เจียงฉีเกิดเรื่อง?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในใจความโกรธลุกโชนขึ้นมา “ตอนนี้นายให้คนมาที่อาคารเป่าติ่งที เมื่อกี้มีคนลอบทำร้ายฉันเหมือนกัน นายส่งคนมาที่นี่ พาคนไปก่อน”

“หา? ท่านหลินก็ถูกคนลอบทำร้ายด้วยเหรอครับ?” เสิ่นซานน้ำเสียงตื่นตระหนก รีบพูดว่า “ครับๆ ท่านหลิน ผมจะรีบส่งคนไปที่นั่นเดี๋ยวนี้”

ในมุมมองของเสิ่นซาน เรื่องที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้เป็นปัญหาร้ายแรงเกินไป หลินอิ่งเป็นที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของเขา หากหลินอิ่งถูกลอบทำร้าย นั่นคงจะร้ายแรงมากจริงๆ

สิบนาทีให้หลัง

แลนด์โรเวอร์สีดำสองคันก็มาถึงปากซอยเล็ก คนกลุ่มหนึ่งพาตัวชายชุดดำสองคนไป ถือโอกาสรวบรวมหลักฐานของกลางที่พวกเขาทำการซุ่มยิงไปด้วยเลย หลินอิ่งนั่งอยู่บนรถแลนด์โรเวอร์คันหนึ่ง คนขับรถขับไปยังโรงพยาบาล

หลินอิ่งนั่งอยู่เบาะหลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตาเผยไอสังหารที่ยากจะพบเห็นออกมา

เรื่องในครั้งนี้ทำให้เขาตัดสินใจจะฆ่าคนขึ้นมา ตัวเขายังไม่ไปลงมือฆ่าใครที่ลาตินกรุ๊ปด้วยซ้ำ พวกเขากลับมาที่นี่ แถมยังกล้าเป็นฝ่ายมาหาตนเองใช้อุบายที่โหดเหี้ยมเช่นนี้อีก เห็นเขารังแกง่ายงั้นหรือ?

ส่งมือปืนมาเล่นงานตนเอง เจียงฉี กับเสิ่นซานพร้อมกัน แถมยังยิงจนเจียงฉีบาดเจ็บหนัก กำลังช่วยชีวิตอยู่ในห้องฉุกเฉิน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะช่วยชีวิตได้หรือไม่

กลุ่มนายทุนต่างชาติกลุ่มนี้ กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว

ครืดๆ ตอนที่หลินอิ่งกำลังจมอยู่ในความคิดอยู่นั้น มือถือก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เขากดรับสาย

“หลินอิ่ง คุณอยู่ไหน? ทำไมยังไม่มาที่บริษัทอีก วันนี้ที่บริษัทเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย” จางฉีโม่พูดอย่างกังวล

“ผมมีเรื่องนิดหน่อย ทางบริษัทเป็นยังไงบ้าง” หลินอิ่งถาม

“ตลาดหุ้นของบริษัทกำลังเกิดปัญหาใหญ่ ฉันเรียกประชุมหุ้นส่วน ผลคือหุ้นส่วนส่วนใหญ่ล้วนปฏิเสธที่จะมาประชุม บอกว่าได้ขายหุ้นให้กับลาตินกรุ๊ปไปหมดแล้ว เกิดปัญหาก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขา” จางฉีโม่กล่าวอย่างร้อนใจ “ดูท่า ลาตินกรุ๊ปจะเล่นงานบริษัทของเรา”

“ผมเข้าใจแล้ว ฉีโม่ คุณไม่ต้องร้อนใจ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย” หลินอิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ตกลง งั้นคุณทำธุระก่อนเถอะ สายหน่อยค่อยมากินข้าวด้วยกัน จะได้คุยกันเรื่องนี้” จางฉีโม่พูด

ได้ยินคำพูดของหลินอิ่ง พลันในใจเธอก็สงบลงอย่างมาก เต็มไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย ทุกครั้งเวลามีปัญหาสำคัญ เมื่อไปหาหลินอิ่ง หลินอิ่งก็จะมีวิธีแก้ไข ไม่เคยทำให้เธอผิดหวังเลย

“อืม” หลินอิ่งวางสาย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท