ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 196 นายก็นับเป็นคนได้เหรอ?

บทที่ 196 นายก็นับเป็นคนได้เหรอ?

บทที่ 196 นายก็นับเป็นคนได้เหรอ?

“เซียวซื่อ?” หลินอิ่งยิ้มเย็น “เซียวซื่อสอนคุณแบบนี้เองเหรอ? พอเห็นผู้หญิงก็ติดสัดขึ้นมา?”

“แกว่าอะไรนะ?” เซียวจวงพูดด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ ยกมือชี้หลินอิ่ง “ช่างเป็นกบในกะลาจริงๆ แกคิดว่าฉันจะทำอะไรแกไม่ได้เหรอ? ฉันพูดแค่คำเดียว ก็สามารถทำลายอนาคตแกได้แล้ว!”

“หึๆ คุณชายเซียว คุณจะไปพูดกับสวะที่ดีแต่เกาะผู้หญิงกินอย่างเขาไปทำไมกันคะ? ขนาดเขาเกาะผู้หญิงกินยังมั่นใจตัวเองขนาดนี้เลย” ปี้ซินหยู่พูดด้วยท่าทางเหยียดหยาม ซบไหล่เซียวจวงพลางยิ้มประจบ “คุณชายเซียว ด้วยความสามารถของคุณ คิดจะได้ภรรยาของเขาจางฉีโม่มาครอง นั่นยังไม่ใช่เรื่องเล็กอีกเหรอคะ?”

เซียวจวงยิ้มอย่างลำพองใจ มองไปทางหลินอิ่ง กล่าวว่า “นั่นมันแน่อยู่แล้ว นายจะเอาอะไรมาสู้กับฉัน? ฉันอยากฆ่านายให้ตาย ก็ง่ายดายเหมือนบี้มดแมลงตัวหนึ่ง”

ไม่เข้าใจจริงๆ สวะอย่างหลินอิ่ง ทำไมถึงได้ผู้หญิงโดดเด่นอย่างจางฉีโม่มาเป็นภรรยา เขาอยู่ต่างประเทศมาหลายปีขนาดนี้ ดาราพื้นเมืองของแต่ละประเทศล้วนพบเจอมาหมดแล้ว ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่มีลักษณะโดดเด่นขนาดนี้มาก่อน

ช่างเป็นดอกไม้ปักอยู่บนกองขี้วัวจริงๆ

หลินอิ่งส่ายศีรษะ ของประเภทเดียวกันมักอยู่ด้วยกัน สุนัขเหมือนกันก็มักอยู่ด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าปี้ซินหยู่จะยังคงเป็นดาราสาวตัวท็อป โลดแล่นในสื่อโทรทัศน์ให้คนดูอีก? อย่างเธอยังสู้หญิงชนบทไม่ได้ด้วยซ้ำ

“หลินอิ่ง ให้โอกาสนายแล้ว ตัวนายไม่รักษาไว้เอง งั้นก็เอาเถอะ นายรอไว้เลย ฉันจะเอาเมียนายมาครอบครอง ทำให้นายร้องไห้มาคุกเข่าขอร้องฉัน!” เซียวจวงพูดอย่างอวดดีถึงขีดสุด

ในมุมมองของเซียวจวง ด้วยอำนาจและเงินทองของเขา การจะกวาดล้างทั้งเมืองตุงไห่ล้วนเป็นเรื่องเล็ก คนชั้นต่ำเช่นนี้ ไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าอำนาจเงินทองแข็งแกร่งขนาดไหน ในฐานะคุณชายของเซียวซื่อกรุ๊ปแห่งประเทศM เขาเข้าใจดีว่าการเอาเงินมาเล่นกับคนธรรมดานั้น เขาจะทำอะไรก็ได้ สามารถทำให้หลินอิ่งตายทั้งเป็นยังได้เลย!

แววตาของหลินอิ่งเย็นเยียบถึงขีดสุด ยิ้มเย็นกล่าวว่า “เซียวซื่อคงไม่ได้สอนคุณว่าจะหลุดพ้นจากการเป็นเดรัจฉานอย่างไรสินะ งั้นผมจะสอนคุณให้กลายเป็นคนเอง”

“ฮ่าๆ สอนฉันให้เป็นคน? ปากดีเหลือเกินนะ!” เซียวจวงเยาะหยัน พูดอย่างเนิบๆ ว่า “ฉันจะคอยดูซิว่า เขยไม่ได้เรื่องอย่างนาย จะทำอะไรฉันได้? ฉันขอบอกนายให้ชัดเจนนะ ฉันนี่แหละที่ไม่เห็นนายเป็นคน เพราะคนระดับอย่างนาย ในสายตาฉันก็ไม่ต่างอะไรกับหมูกับหมา ฉันอยากเชือดก็เชือด อยากเอาเมียนายก็ได้เอา นายเข้าใจไหม?”

พลั่ก!

สิ้นน้ำเสียงเขา หลินอิ่งก็ลุกขึ้นยกฝ่ามือสะบัดไปบนหน้าเขาอย่างรุนแรง!

เวลานี้เซียวจวงที่โดนตบหน้ากลิ้งตกลงมาจากเก้าอี้ รอยนิ้วมือทั้งห้าประทับอยู่บนใบหน้าเป็นสีแดงก่ำ ทั้งตกใจทั้งโกรธเกรี้ยว เผยแววตาไม่อยากจะเชื่อออกมา

“แก! แกกล้าตบฉัน?” เซียวจวงกุมแก้ม ความโกรธพุ่งทะยานขึ้นฟ้า “แกตายแน่! ฉันจะฆ่าแกให้ตาย!”

หลินอิ่งเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เท้าข้างหนึ่งเล็งไปที่อกเซียวจวง ถีบเขากระเด็นไปสิบกว่าเมตร กระแทกกับฝากำแพงเสียงดังโครม จนกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง

“หา? แก แกถึงกับกล้าลงไม้ลงมือกับคุณชายเซียวเชียวเหรอ?” ปี้ซินหยู่ตกใจจนสีหน้าซีดขาว ยืนมองหลินอิ่งอยู่ด้านข้างอย่างตกตะลึง

โดยไม่มีใครคาดคิด หลินอิ่งไม่พูดอะไรสักคำ ก็คว่ำโต๊ะทันที เซียวจวงที่โดนทั้งหมัดทั้งเท้าทุบตีกระอักเลือด นี่ลงมือหนักไปหน่อยหรือเปล่า? เขาไม่รู้หรือว่าคุณชายเซียวเป็นใคร?

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันและป่าเถื่อนเกินไป ปี้ซินหยู่ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่า สวะที่เกาะผู้หญิงกินคนหนึ่งจะแข็งกร้าวขนาดนี้? เป็นไปได้ยังไงกัน เขาไม่ใช่พวกกระดูกอ่อนหรอกเหรอ?

“ไอ้แมงดา ยังไม่คุกเข่าขอโทษคุณชายเซียวอีก! ไม่อย่างนั้นทั้งตระกูลแกได้ถูกฝังไปพร้อมกับแกแน่ รู้ไหม? คุณชายฐานะสูงศักดิ์ของประเทศMอย่างคุณชายเซียว ใช่คนชั้นต่ำอย่างแกจะต่อกรได้เหรอ?” ปี้ซินหยู่กล่าวอย่างเดือดดาล

ในมุมมองของเธอ คุณชายใหญ่เซียว เซียวจวง เป็นลูกครึ่งยุโรปเหนือกับประเทศM ไม่เพียงมีเงินมีอำนาจ สายเลือดก็สูงส่งด้วยเช่นกัน! เศษสวะชั้นต่ำอย่างหลินอิ่ง แม้แต่ด่าคุณชายเซียวก็เป็นการล่วงเกินอย่างมากแล้ว เขาจะลงไม้ลงมือกับคุณชายเซียวผู้สูงศักดิ์ได้ยังไง?

“คนชั้นต่ำ?” หลินอิ่งมองปี้ซินหยู่อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง สะบัดแขนคว้าถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะรวดเร็วราวกับพายุ เขวี้ยงออกไปเสียงดังขวับ

เกิดเสียงพลั่กดังขึ้น ถ้วยชาเขวี้ยงถูกท้องของปี้ซินหยู่ เธอที่ถูกโจมตีอย่างแรงล้มลงไปบนพื้น ท่าทางเจ็บปวด อาเจียนอาหารออกมาเปรอะเสื้อคลุมตัวเองไปหมด ทั่วร่างดูบอบช้ำ

“แก! แก!” ปี้ซินหยู่ยังคิดจะอ้าปากด่าหลินอิ่งอีก กลับพบว่าในท้องเกิดคลื่นลมปั่นป่วน เจ็บจนแทบขาดใจ อาเจียนออกมาไม่หยุด แรงที่คิดจะด่าคนก็ไม่มีแล้ว

“ปกติฉันไม่ลงมือกับผู้หญิง แต่เธอไม่อยู่ในประเภทคน” หลินอิ่งกล่าวเสียงเรียบ

คนคนหนึ่งที่เกิดต่างประเทศเรียกว่าสูงศักดิ์ แต่เรียกคนในประเทศหลงของตัวเองว่าคนชั้นต่ำ นี่นับเป็นสิ่งมีชีวิตอะไรกัน?

หน้าตาปี้ซินหยู่ทำให้คนรู้สึกเหม็นเน่าและสะอิดสะเอียนนัก น่าเสียดายที่เธอยังเป็นดารามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก บรรจุให้คนแบบนี้เป็นบุคคลอัจฉริยะของสังคม? บรรทัดฐานของสังคมช่างลดต่ำลงทุกวันจริงๆ!

“อ๊าก! สวะอย่างแกทำชั่วโดยไม่สนสิ่งใดจริงๆ ฆ่ามันให้ฉัน!” เซียวจวงคำรามออกมาอย่างเสียสติ พูดภาษาต่างประเทศอย่างทุลักทุเล

มีเสียงดังครึกโครม บอดี้การ์ดต่างชาติร่างกำยำสูงใหญ่สิบกว่าคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู บุกเข้ามาพร้อมกัน แต่ละคนถลึงตามองหลินอิ่งด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย

ขวับๆๆ บอดี้การ์ดสิบกว่าคนคันไม้คันมือ กวัดแกว่งแขนที่เต็มไปด้วยพละกำลัง แต่ละคนดูท่าทางเป็นบอดี้การ์ดที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี

พวกเขาล้อมวงเข้ามา แทบจะลงมือพร้อมกัน หมัดล้วนส่งไปที่หลินอิ่งอย่างรุนแรง

บอดี้การ์ดระดับนี้สำหรับหลินอิ่งแล้ว แทบไม่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ อย่างมากทักษะการต่อสู้ของพวกเขาก็แค่ทหารหน่วยรบพิเศษที่ปลดประจำการแล้ว ใช้จัดการคนธรรมดายังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง

หลินอิ่งเอียงตัว ยกมือกำหมัดตั้งท่า มองเห็นการกระทำไม่ชัด ร่างก็โถมเข้ามาแล้ว

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

เสียงหมัดกระทบเนื้อสะท้อนอยู่ภายในห้องอาหาร บอดี้การ์ดชาวต่างชาติที่ร่างกายสูงร้อยเก้าสิบกว่าเซ็น พออยู่ใต้หมัดของหลินอิ่งก็ไม่ต่างอะไรกับแป้งเปียก หนึ่งหมัดล้มหนึ่งคน ลงไปนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น กระดูกหักเสียแล้ว

ต่อสู้อยู่พักหนึ่ง สามนาที บอดี้การ์ดข้างกายเซียวจวงก็ถูกจัดการจนหมด

หลินอิ่งหมุนกาย เดินไปหาเซียวจวงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ได้ยังไงกัน สวะอย่างแกฝีมือดีขนาดนี้เชียว?” เซียวจวงกล่าวอย่างตกตะลึง คิดไม่ถึงเลยว่าลูกเขยไร้ค่าอย่างหลินอิ่งจะต่อสู้ได้ขนาดนี้

แม้บอดี้การ์ดสิบกว่าคนนี้จะแค่เลือกมาอย่างขอไปที แต่อย่างไรก็เป็นหน่วยรบทางบกที่ปลดเกษียณแล้วของประเทศMเชียวนะ โดยเฉพาะทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก สมรรถภาพทางร่างกายก็ดีมากเช่นกัน ทำไมถึงถูกหลินอิ่งที่ดูอ่อนแอสอยร่วงในหมัดเดียวได้?

เซียวจวงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา มองสำรวจหลินอิ่งใหม่อีกครั้ง ภายในใจรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

เดิมนึกว่าจะแค่มาขู่คนชั้นต่ำกระดูกอ่อนประเทศหลงที่เกาะผู้หญิงกินคนหนึ่งให้หวาดกลัว พอประกาศฐานะก็จะขู่หลินอิ่งให้ตกใจจนคุกเข่าร้องขอความเมตตาได้ ใครจะรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ จากนั้นก็คว่ำโต๊ะลงไม้ลงมือกัน

หากรู้แต่แรก จะได้นำมือดีของลาตินกรุ๊ปมาที่นี่ด้วย หรือพกปืนมาบ้างก็คงไม่ย่ำแย่ถึงขนาดนี้!

เซียวจวงเสียใจจนลำไส้เขียวไปหมด มองหลินอิ่งอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“แกจะเอายังไงกันแน่?” เซียวจวงซักถามอย่างดุดัน ค่อนข้างไม่ยอมแพ้ “กลางวันแสกๆ แบบนี้ แกกล้าฆ่าฉันเหรอ? หากไม่กล้า ไม่ช้าก็เร็วแกจะต้องมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฉัน! วันนี้แกลงมือกับฉัน เซียวซื่อกรุ๊ปก็จะตามฆ่าแกไปชั่วชีวิต!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท