ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 193 จัดการใหม่ทั้งหมด

บทที่ 193 จัดการใหม่ทั้งหมด

บทที่ 193 จัดการใหม่ทั้งหมด

เกาจีไท่ที่คุกเข่าอ้อนวอน หยางลี่ที่สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขาคุกเข่าอยู่แทบเท้าหลินอิ่งอย่างไม่อายเลยสักนิด

“ประธานหลิน ฉันขอโทษด้วยจริงๆ! ฉันไม่ได้ตั้งใจสร้างความลำบากให้คุณเลยนะคะ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าคุณมีฐานะสูงส่ง!” หยางลี่อ้อนวอนอย่างทุกข์ใจ ท่าทางหวาดกลัวอย่างแท้จริง ท่าทางอวดดีก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว

หากไม่ใช่เพราะประธานเจียงพูดต่อหน้า เธอก็คงคิดไม่ได้โดยสิ้นเชิง ว่าหลินอิ่งจะเป็นคนใหญ่คนโตถึงระดับนี้?

คิดไม่ตกจริงๆ คนที่มีความสามารถอย่างหลินอิ่ง ก็ควรจะทำตัวโอ้อวดอย่างมากไม่ใช่หรือ? ทำไมออกไปไหนถึงทำตัวเงียบเชียบขนาดนี้?

หลินอิ่งยิ้มเย็นไม่กล่าวอะไร ตนเองยังไม่โวยวายเลยด้วยซ้ำ คนทั้งสองก็คุกเข่าลงไปเองเสียแล้ว เข่าอ่อนเกินไปแล้ว

“พวกคุณสองคนต่อไปอย่าอยู่ในวงการโทรทัศน์อีกเลย ธาตุแท้เป็นแบบนี้ จะผลิตสื่อโทรทัศน์และภาพยนตร์น้ำดีออกมาให้คนดูได้ยังไงกัน?” หลินอิ่งยิ้มเย็นกล่าว

“หา? ประธานหลิน คุณปล่อยผมไปเถอะ ผมถูกนังสารเลวนี่ให้ร้าย! ผมกับคุณไม่มีความแค้นต่อกัน ทุกอย่างเป็นเพราะเธอเป่าหูผม!” เกาจีไท่โขกศีรษะไม่หยุด สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เริ่มด่าหยางลี่ที่อยู่ข้างตัว

“ประธานหลิน เรื่องราวไม่ใช่แบบนี้! เป็นเกาจีไท่ต่างหากที่ไม่รู้จักที่ตายคิดจะเล่นงานคุณ ฉันไม่ได้คิดจะเล่นงานคุณเลยนะคะ!” หยางลี่รีบโต้แย้ง เพียงไม่นานสุนัขก็กัดกัน เสียงดังเอะอะวุ่นวายไปหมด ท่าทางอัปลักษณ์สิ้นดี

หลินอิ่งสีหน้าไร้อารมณ์พลางหมุนกาย ยกแก้วชาดำแก้วหนึ่งขึ้นมาดื่ม

“หุบปากให้หมดเดี๋ยวนี้!”

เจียงฉีตะคอก ทำเอาเกาจีไท่สองคนรีบหุบปากทันที

“นับแต่นี้ไป พวกเธอสองคนไสหัวออกไปจากเมืองโลกซะ” เจียงฉีพูดเสียงเฉียบขาด “กลับไห่หยางกรุ๊ปให้ทำงานจากระดับล่างสุดลงไป!”

“นี่ ประธานเจียง……คุณช่วยให้โอกาสผมได้แก้ตัวอีกครั้งได้ไหม ละครโบราณเรื่องนี้อยู่ระหว่างการถ่ายทำ ยังต้องการ……” เกาจีไท่กล่าวด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

“ไม่มีนาย ทีมโปรดักชั่นนี้ก็เดินหน้าต่อไม่ได้แล้วเหรอ?” เจียงฉีพูดตัดบทเสียงเย็น “กระทั่งการเคารพผู้อื่นที่เป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่สุดนายก็ยังไม่มี สันดานต่ำตมเช่นนี้ นายยังจะไปสอนใครเป็นผู้กำกับอีก?”

บริภาษไปชุดหนึ่ง เกาจีไท่กับหยางลี่ถูกด่าจนเหมือนเอาเลือดหมามารดหัว* ทั้งสองจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก เผยท่าทางประจบสอพลอออกมา

“ไป! อย่ามาอยู่ให้รกหูรกตา!” เจียงฉีตะคอก

“ครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้! ขอบคุณประธานหลินกับประธานเจียงที่ให้โอกาส!” เกาจีไท่และหยางลี่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม เหมือนยกภูเขาออกจากอก เหมือนได้รับพรจากสวรรค์ ลุกขึ้นโค้งคำนับถึงค่อยจากไป

ในมุมมองของเขา ล่วงเกินคนใหญ่คนโตอย่างเจียงฉีกับหลินอิ่ง แค่ให้พวกเขาคุกเข่าโขกศีรษะเท่านั้น ก็นับว่าเป็นบุญของพวกเขาแล้ว!

หลังรอจนทั้งสองคนจากไป เจียงฉีก็มายืนอยู่ข้างกายหลินอิ่ง สีหน้าเก้อกระดาก ไม่รู้ว่าควรอธิบายกับประธานหลินยังไง

โครงการเมืองโลกเป็นโครงการที่ประธานหลินตัดสินใจทำขึ้นมา ผู้ดูแลทั้งสองทำผลลัพธ์ได้แย่เช่นนี้ แถมยังทำขายหน้าต่อหน้าประธานหลิน ทำให้เขารู้สึกเสียหน้าเช่นกัน

หลินอิ่งกล่าวเสียงเรียบ “เรื่องของเมืองโลก คุณไปจัดการใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเอง ฐานภาพยนตร์นี้เชิญคนที่เป็นมืออาชีพสักสองสามคนมาดูแล”

“ครับ ประธานหลิน” เจียงฉีพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ในใจ จากนั้นก็หมุนตัวไปยังห้องทำงานของทีมโปรดักชั่นเพื่อจัดการงาน

หวางหงหลิงมองอย่างประหลาดใจอยู่ด้านข้าง มองสำรวจหลินอิ่งใหม่อีกครั้งด้วยดวงตาเป็นประกาย

“เขาคงไม่ใช่นายทุนใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังไห่หยางกรุ๊ปหรอกนะ?” หวางหงหลิงพูดกับตัวเองในใจ

การแสดงออกของเจียงฉีเหมือนเป็นน้องเล็กคนหนึ่ง ที่เห็นหลินอิ่งเป็นเหมือนเจ้านายผู้สูงส่ง

ความสามารถอันใหญ่โตเช่นนี้ของหลินอิ่งมาจากไหนกัน? ตระกูลกงซุนแห่งตี้จิง?

เป็นดังคาด หลินอิ่งกับกงซุนชิวอวี่ไม่ได้มีความสัมพันธ์เฉกเช่นเพื่อนธรรมดาที่แสดงออกมาให้เห็น ไม่อย่างนั้นทำไมกงซุนชิวอวี่ถึงช่วยเขา แอบมอบผลประโยชน์มากมายให้เขาเช่นนี้กันล่ะ?

คิดไปคิดมา แววตาหวางหงหลิงก็เปลี่ยนเป็นริษยาขึ้นมา ในใจเต็มไปด้วยความชิงชัง

หลินอิ่งมองหวางหงหลิงแวบหนึ่ง กล่าวว่า “คุณกับเจียงฉีเจรจาธุรกิจกันไปถึงไหนแล้ว?”

“คุณไม่รู้ก็ไปถามเจียงฉีสิ? เขาเป็นพาร์ตเนอร์ของคุณ คุณมาถามฉันทำไม?” หวางหงหลิงแค่นเสียงพูดอย่างเย็นชา

“งั้นถือเสียว่าผมไม่ได้ถามแล้วกัน” หลินอิ่งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ผมยังมีธุระ ขอไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้วกัน”

พูดจบ หลินอิ่งก็หมุนกายเดินไปทางฐานภาพยนตร์ เขาไม่อยากจะเสวนากับคนอารมณ์ฉุนเฉียวเท่าไหร่นัก

“เดี๋ยวสิ” หวางหงหลิงรีบขวางหลินอิ่งไว้ พูดว่า “ธุระทั้งวันของคุณนี่ทำอะไรกันล่ะ? คราวก่อนบอกว่าจะดื่มชากับฉัน ก็ไม่มีเวลาอีก”

“แล้วก็ยังมีครั้งก่อนนู้นอีก คุณบอกกับฉันว่าคุณกับกงซุนชิวอวี่เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา แล้วจากนั้นล่ะ หายไปอยู่เมืองชิงหยูนหลายวัน ไม่รู้ไปสมคบคิดกันทำอะไร” หวางหงหลินแค่นเสียงเย็น “คุณเองก็เสแสร้งเกินไปหรือเปล่า?”

“เสแสร้ง?” หลินอิ่งถามอย่างสงสัย ไม่รู้จริงๆ ว่าในหัวของหวางหงหลิงกำลังจินตนาการถึงอะไรอยู่กันแน่ เรื่องของกงซุนชิวอวี่เมื่อคราวก่อนยังจดจำไม่ยอมลืม

หลินอิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ความคิดของคุณมีปัญหาหรือเปล่า?”

“ฮ่าๆ” หวางหงหลินยิ้มเย็น ทำสีหน้าท่าทางไม่ยอมแพ้ “คนของเมืองชิงหยูนต่างรู้กันทั่ว คุณกับจางฉีโม่ไม่ได้ลงรอยกันอย่างที่เห็นสินะ? มิหนำซ้ำ คุณอยากจะพัฒนาให้ดีขึ้น ก็เลยมาพึ่งกงซุนชิวอวี่ คุณรู้ไหม? เทียบกับจางฉีโม่และกงซุนชิวอวี่แล้ว ฉันช่วยเหลือธุรกิจคุณให้ใหญ่โตได้ดีกว่านั้นมาก!”

หลินอิ่งมองหวางหงหลิงแวบหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ

แววตาหวางหงหลิงโกรธเคืองอย่างมาก มือที่กำหมัดอยู่กำลังสั่น ทั้งยังรู้สึกหวาดหวั่นหลินอิ่งเล็กน้อย ราวกับเกรงกลัวอะไรหลินอิ่งสักอย่าง

เธอรับรู้ได้ถึงเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างหนึ่งจากบนตัวหลินอิ่ง หรือจะบอกว่ามันทำให้เธอรู้สึกถึงกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่น

ลักษณะพิเศษเช่นนี้ เธอยังไม่เคยพบเห็นจากตัวของผู้ใด

“ไม่มีเรื่องอะไรแล้วคุณก็กลับไปเถอะ คุณเคยช่วยผม หากทางเซียวซื่อกรุ๊ปมีปัญหายุ่งยาก ผมอาจจะช่วยคุณได้บ้าง” หลินอิ่งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็หมุนกายเดินจากไป

หวางหงหลิงกัดริมฝีปาก เอาแต่จ้องมองเงาหลังของหลินอิ่ง ท่าทางไม่ยินยอมอย่างยิ่ง

ไม่รู้จริงๆ ว่าหลินอิ่งกำลังเสแสร้งอะไรอยู่! เห็นๆ อยู่ว่าเขากำลังพึ่งพาบารมีของกงซุนชิวอวี่แห่งตี้จิงมาพัฒนาธุรกิจ แต่ก็ยังคอยแต่จะปฏิเสธเธออยู่ร่ำไป

ในมุมมองของหวางหงหลิง เธอต่างหากถึงจะเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับหลินอิ่งที่สุด

ตามสืบมาหลายวันขนาดนี้ เธอสามารถมองออกว่า จางฉีโม่ไม่เคยยอมรับหลินอิ่งเป็นสามีโดยสิ้นเชิง ส่วนกงซุนชิวอวี่คงไม่ต้องพูดถึง เขาจะเต็มใจช่วยหลินอิ่งได้ยังไง? มีเพียงเธอต่างหาก ที่ยินดีทำเพื่อหลินอิ่งอย่างสุดจิตสุดใจ!

แต่นึกไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะปฏิบัติกับเธออย่างเฉยชาเช่นนี้?

หวางหงหลิงแววตาเด็ดเดี่ยว ราวกับตัดสินใจบางอย่างได้ จากนั้นก็หมุนกายเดินไปทางรถยนต์ส่วนตัว เธอตัดสินใจแล้วว่า จะต้องพิสูจน์ให้หลินอิ่งเห็น ว่าเธอต่างหากที่เป็นคนที่ดีที่สุดคนนั้น

อีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งมาถึงห้องทำงานประธานของฐานภาพยนตร์ เจียงฉีกำลังจัดการงานอยู่ภายในห้องทำงาน เพิ่งจะหาคนของทีมโปรดักชั่นมาเทศนาไปชุดหนึ่ง

“ประธานหลิน ผมหาผู้ดูแลกับผู้กำกับมาใหม่แล้ว” เจียงฉีลุกขึ้นพูดอย่างนอบน้อม

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เดินอาดๆ ตรงมายังที่นั่ง จากนั้นก็พลิกดูรายงานผลการทำงานสองสามแผ่น

ก๊อกๆ!

เวลานี้เอง มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามา จากนั้นก็มีหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่งสวมชุดโบราณตามสมัยนิยมคนหนึ่งเดินเข้ามา ดูท่าทางไม่พอใจอย่างมาก

“เป็นคนของไห่หยางกรุ๊ปใช่ไหม? ฉันบอกแล้วไงว่า ฉันปี้ซินหยู่ถ่ายละคร สต๊าฟและผู้กำกับของทีมโปรดักชั่น จะต้องทำตามที่ฉันพูด พวกคุณเป็นถึงฝ่ายลงทุน ไม่แจ้งฉัน ก็เปลี่ยนตัวผู้กำกับใหม่แล้ว? พวกคุณไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาใช่ไหม? คุณรู้ไหมว่าค่าตัวฉันแพงมากแค่ไหน? นี่เป็นการฉีกสัญญา! พวกคุณรู้ไหม?”

———————————

*เอาเลือดหมามารดหัว หมายถึง ถูกด่าจนเละเทะ ถูกด่าไม่มีชิ้นดี

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท