ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 224 รีบปิดตัวบริษัทที่สวมรอยของเธอซะ

บทที่ 224 รีบปิดตัวบริษัทที่สวมรอยของเธอซะ

บทที่ 224 รีบปิดตัวบริษัทที่สวมรอยของเธอซะ

“ให้ตาย ฉีโม่ ลูกต้องรีบคิดหาทาง ลุงใหญ่กับลุงสามหักหน้าเรา เอาจริงแล้ว” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ ในมือถือหมายทนายฉบับหนึ่งไว้

นับตั้งแต่ตระกูลนิ่งเข้าเป็นเจ้าของเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ป ถูกถ่ายโอนหลายครั้ง เปลี่ยนเจ้าของอยู่หลายมือ สุดท้ายลูกสาวของตัวเองได้เงินทุนจากไห่หยางกรุ๊ปนั่งขึ้นแท่นเป็นประธานกรรมการ

นึกไม่ถึง ครั้งนี้จางหงจูนกับจางหงซวนจะกล้าดึงฟืนที่เผาไหม้ออกจากใต้หม้อ เอาพินัยกรรมของคุณท่านมาอ้าง เพื่อแย่งชิงเครื่องหมายการค้าเครื่องประดับจางซื่อนี้

ไม้นี้จะโหดเกินไปแล้ว เครื่องประดับจางซื่อเป็นแบรนด์ขึ้นชื่อมาหลายปี ผลสะท้อนเรื่องของแบรนด์ในการทำธุรกิจเครื่องประดับสำคัญมาก ถ้ามีการแย่งชิงลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้า เช่นนั้นประสิทธิภาพของแบรนด์ก็จะลดลงอย่างมาก

อย่างไรก็ตามไม่ว่าผลการว่าความจะเป็นอย่างไร การส่งผลเสียต่อบริษัทของฉีโม่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิธีการนี้ช่างทุเรศจริงๆ !

“แม่ว่า ฉีโม่ ลูกไปหาเซียวซวนกับเซียวจวงด้วยตัวเองเถอะนะ? เขาอยากร่วมมือกับลูกไม่ใช่เหรอ? ในฐานะที่เซียวจวงเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของลาตินกรุ๊ป ถ้าออกหน้า ต้องสะเทือนจางหงจูนพวกคนพวกนี้ได้แน่” ลู่หย่าฮุ่ยเสนอขึ้นมา

“คือ…พ่อคะ แม่คะ คนอย่างเซียวจวงเขาสติไม่ดี พวกพ่ออย่าเห็นแก่ที่เขาให้เงินหนู ก็เห็นเขาเป็นคนดีสิคะ” จางฉีโม่พูดขึ้นมา

ตั้งแต่เซียวซวนให้เงินสดสองล้านมา วันๆ พ่อแม่ก็พร่ำพูดว่าจะไปตีสนิทกับตระกูลซื่ออย่างไร น่ารำคาญจะแย่

“ไม่ไปหาคุณชายใหญ่เซียว แล้วจะไปหาใคร? หรือลูกยังคาดหวังกับหลินอิ่ง? นั่นมันเศษสวะ ตระกูลเราประกาศแยกตัวจากเขาแล้ว!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความตำหนิ “ดูหลินอิ่งไปสอพลอใคร?คนอย่างเจียงฉี คนที่นอนรอความตายอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณชายเซียวเลยแม้แต่น้อย! ถ้าไม่เพราะคราวก่อนแม่ไปขอร้องเซียวซวน ที่หลินอิ่งไปล่วงเกินคุณชายเซียว เขาจะปล่อยบริษัทของลูกสาวแม่เหรอ?”

“แม่ แม่ไม่รู้ล่ะสิ ว่าเซียวจวงเขาไม่ได้หยุด เรื่องของบริษัทหลินอิ่งเขาไปจัดการด้วยตัวเอง” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

เมื่อวานได้รับสายจากหลินอิ่งบอกว่าไม่เป็นไร เดิมทีจางฉีโม่ก็ไม่เชื่อ ปรากฏลาตินกรุ๊ปก็หยุดที่จะกดดันบีบเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปให้ออก

ถึงจะไม่รู้ว่าหลินอิ่งทำได้อย่างไร แต่จางฉีโม่เชื่อว่า นี่เป็นฝีมือของหลินอิ่งแน่

แต่ปรากฏว่า พ่อกับแม่กลับบอกว่านี่เป็นเพราะพวกเขาไปขอร้องคุณชายเซียว เขาถึงได้เห็นแก่หน้าปล่อยตัว

“หลินอิ่งไปจัดการเหรอ? อุ๊ยตาย ลูกสาวฉัน โง่ไปแล้วจริงๆ หลงยาเสน่ห์ที่หลินอิ่งวางให้แล้ว!” ลู่หย่าฮุ่ยพูดเตือนเหมือนคนแก่ “ลูกก็ไม่ได้คิดเลย เศษสวะอย่างหลินอิ่งนั่นจะทำอะไรได้? เดิมเป็นเรื่องยุ่งยากที่เขาก่อขึ้นมา ทำให้ลูกลำบาก พวกแม่อุตส่าห์คุยกับเซียวจวงไว้แล้ว ถึงทำให้บริษัทก้าวข้ามยามทุกข์ยากได้อย่างราบรื่น”

“สุดท้าย หลินอิ่งคนหน้าไม่อาย ถึงกับบอกว่าเป็นผลงานของเขา เขาเห็นลูกหลอกง่าย เอาผลงานเข้าตัว เพื่อให้ลูกรู้สึกดี แล้วลูกก็ยังเชื่อ! เขาช่างหน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ !” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างไม่เกรงใจ พูดถึงหลินอิ่งขึ้นมาก็โมโหเป็นพิเศษ

“ลูกแม่ นี่เป็นเบอร์ที่เซียวซวนกับเซียวจวงทิ้งไว้ให้แม่ ไม่รู้ทำไมถึงโทรไม่ติดแล้ว แม่ว่า ลูกต้องเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่สักชิ้น พรุ่งนี้ไปหาคุณชายเซียวที่ลาตินกรุ๊ปให้เขาช่วยเหลือด้วยตัวเอง” ลู่หย่าฮุ่ยออกแผนการพูด “ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคุณชายเซียว ลูกสาวแม่ลูกลองคิดดู โซ่เงินทุนที่ลงทุนฝั่งไห่หยางกรุ๊ปถ้าขาดไป ลูกจะนั่งแท่นประธานกรรมการได้อย่างมั่นคงอีกเหรอ? แล้วก็ การมาที่น่ากลัวของจางหงจูนกับจางหงซวนในครั้งนี้ จะรับมืออย่างไร?”

“ตอนนี้สถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ ลูกแม่ถ้าลูกไม่หาบุคคลใหญ่โตมาออกหน้า ก็จัดการไม่ได้ ลูกแม่ กว่าลูกจะมีหน้ามีตาได้ไม่ใช่ง่ายนะ หรือจะให้หลินอิ่งที่ล่วงเกินคนอื่น ทำให้ลูกต้องเสียอนาคต?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดเป็นยัยแก่

สีหน้าจางฉีโม่จำใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี

ตอนที่คนตระกูลจางรวมตัวกันจะตั้งต้นใหม่ ฟ้องร้องจะแย่งลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้า คนแรกที่จางฉีโม่อยากขอความช่วยเหลือ ก็คือหลินอิ่ง

ฉะนั้น เธอถึงได้โทรถามสถานการณ์กับลินอิ่ง

แล้วจางฉีโม่ก็พบว่า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่หลินอิ่งเข้าครอบครองตำแหน่งที่สำคัญในใจเธอ อย่างไรก็ตามมันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างมั่นคง

เธอเชื่อว่า จากความสามารถของหลินอิ่ง ต้องจัดการกับชั้นเชิงของตระกูลจางได้แน่

“เอะ อาห้าสะใภ้ห้า พวกอามาอยู่ข้างนอกบริษัททำไมกัน? เข้ามานั่งสิ พวกคุณทั้งบ้านเป็น “แขกVIP” ของวันนี้นะ!”

อยู่ๆ เสียงที่ชวนให้คนรังเกียจก็ดังขึ้นมา

เห็นแต่ ชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดลงมาจากรถปอร์เช่ปี 91 สวมเสื้อเชิ้ตลาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องมองดูครอบครัวของจางฉีโม่

“จริงสิ แล้วก็ฉี่โม่อ่ะ เธอก็เข้ามาดูในบริษัทสิ ว่าอะไรคือความเป็นมืออาชีพในการทำเครื่องประดับ มาดูทีมงานบริษัทของฉัน!” จางเถียนไห่มองจางฉีโม่อย่างได้ใจ

ตั้งแต่ถูกหลินอิ่งทำให้อับอายที่ชุมชนเจียงฉือแล้ว จางเถียนไห่ก็อยากเอาคืนมาตลอด แต่พอเห็นชีวิตจางฉีโม่พร้อมครอบครัวยิ่งอยู่ยิ่งดี นึกไม่ถึงว่าจะเจริญรุ่งเรืองในวงการธุรกิจเมืองชิงหยูน เขาอยากแก้แค้น แต่ศักยภาพกลับไม่พอ ได้แต่มองดูครอบครัวพวกเธอทะยานสู่ที่สูงด้วยตาร้อนผ่าว

โดยเฉพาะ เดิมทีครอบครัวจางฉีโม่ก็เกือบจะล้มละลายเพราะเขา ญาติจนๆ ครอบครัวหนึ่ง ปรากฏยิ่งอยู่ก็ยิ่งร่ำรวย แล้วยังสอพลอได้ไห่หยางกรุ๊ปเป็นที่พึ่ง ขึ้นนั่งแท่นประธานกรรมการบริษัท ดีกว่าครอบครัวเขาเสียอีก แม่งเอ๊ยแล้วอย่างนี้เขาจะทนได้เหรอ?

“เถียนไห่เอ้ย อาว่านะ ทางพ่อนายน่ะ ออกมาคุยเรื่องนี้กันหน่อยได้ไหม” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน “ทุกคนล้วนเป็นคนตระกูลจาง ใยต้องให้เรื่องราวฉาวโฉ่อย่างนี้ แล้วยังจะขึ้นโรงขึ้นศาลอีก?”

“หยุดนะ!อาห้าครับ ไม่ใช่ผมไม่เห็นแก่หน้าของอานะ ตอนนั้นผมเกิดเรื่องนิดเดียว พวกอาครอบครัวก็คิดจะฟ้องร้องทับถมผม ตอนนี้น่ะ ลมเปลี่ยนทิศแล้วสินะ?” จางเถียนไห่พูดอย่างได้ใจ “ถ้าจะให้ผมพูด อาห้า บริษัทที่สวมรอยของครอบครัวอาน่ะ รีบปิดตัวซะเถอะ ยังชูป้ายเครื่องประดับจางซื่ออย่างไร้ยางอายอยู่ได้ ตระกูลพวกอาเป็นตัวแทนตระกูลจางได้เหรอ? ไม่รู้จักประเมินตัวเองเอาซะเลย!”

ถูกจางเถียนไห่ถากถางเช่นนี้ สีหน้าของจางซิ่วเฟิงกับลู่หย่าฮุ่ยถอดสีทันที แต่ก็ไม่กล้าโต้กลับอย่างรุนแรง อย่างไรตอนนี้อำนาจผู้กระทำก็ตกอยู่กับทางครอบครัวเถียนไห่ เครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปของพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลจางตั้งแต่คนระดับล่างไปจนถึงระดับบน แล้วยังเอาพินัยกรรมของคุณท่านมาเป็นหลักฐาน

“เถียนไห่จ๊ะ เดี๋ยวหลานช่วยคุยกับพ่อของหลานที เราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรก็ปรึกษากันดีๆ ต่างก็อยากหาเงินกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? นั่งล้อมวงกันปรึกษาพัฒนาแบรนด์เครื่องประดับจางซื่อกันดีๆ ไม่ดีกว่าเหรอ? ทำไมต้องก่อเรื่องให้วุ่นวายไปทั่ว?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดจาเกลี้ยกล่อม

“พูดกับผมไม่มีประโยชน์” จางเถียนไห่พูดอย่างไม่ไยดี “พ่อผมกับลุงใหญ่กำลังคุยงานกันอยู่ พวกอาเข้าไปนั่งเถอะ อีกเดี๋ยวพวกเขาจะคุยเรื่องนี้กับพวกคุณ อ้อ จริงสิ แล้วก็คนตระกูลจางก็อยู่กันหมด ทุกคนมีความข้องใจและความเห็นที่พวกอาดูแลบริษัท ผมแนะนำว่าทางที่ดีให้พวกคุณฟังความเห็นของทุกคน”

พูดเสร็จ จางเถียนไห่ก็เดินเข้าอาคารอย่างสบายอกสบายใจ

สีหน้าของครอบครัวจางฉีโม่ดูไม่จืด เดินเข้าไปที่โถงนิทรรศการ “อาคารจางซื่อ” แห่งนี้。

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท