ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 230 ดื่มไม่ได้ก็ไสหัวไป

บทที่ 230 ดื่มไม่ได้ก็ไสหัวไป

บทที่ 230 ดื่มไม่ได้ก็ไสหัวไป

“ขอโทษ ฉันไม่ดื่มเหล้าสองแก้วนี้” จางฉีโม่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ในใจรู้สึกโมโห

“ดื่มไม่ไหวเหรอ? ฉีโม่อ่ะ นี่คือนายหลุยส์แห่งลาตินกรุ๊ปเลยนะ ไหนจะยังมีประธานอาวุโสซูนอยู่ตรงหน้าอีก เธอปฏิเสธการดื่มคารวะเหล้า? อย่างนี้ไม่เป็นการดูถูกลูกพี่ทั้งสองเหรอ?” จางหงซวนพูดด้วยความถากถาง

สายตาของหลุยส์กับซูนเฉียงเห็นได้ชัดว่ามองดูจางฉีโม่ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความดูแคลน ท่าทางตัวเองดูสูงส่ง

หลุยส์เป็นชายอ้วนผิวขาวรูปร่างท้วมคนหนึ่ง สวมเสื้อแจ็คเก็ต ใส่นาฬิกาปาเต๊ะฟิลลิป แต่งตัวโดดเด่นมีสไตล์ ส่วนซูนเฉียงเป็นชายวัยกลางคน สวมสูทพอดีตัว หน้าตาดูมีสง่าราศี

“พี่ใหญ่ พี่สาม ฉีโม่เด็กคนนี้ไม่ใช่คนดื่มเหล้าอะไร เป็นคนคอไม่แข็ง ดื่มไม่ได้หรอกนะ” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยสีหน้าดูไม่ได้ รู้สึกอึดอัดใจ

ต่อหน้าซูนเฉียงกับหลุยส์สองพี่ใหญ่นี้ ครอบครัวเขาก็ไม่กล้าล่วงเกินอยู่แล้ว

สองคนนี้ไม่ว่าคนไหน ก็เป็นบุคคลทรงอิทธิพลในเมืองชิงหยูน แค่ขยับปลายนิ้วมือ ก็พอให้พวกเขาครอบครัวลำบากแล้ว

อีกด้านหนึ่ง ก็พอจะเห็นได้ว่าเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปที่จางหงจูนก่อตั้งขึ้นมาใหม่ มีการเตรียมการมาก่อนแล้ว อัญเชิญพระพุทธรูปสององค์นี้มาคุมสถานการณ์ ต่อไปเกรงว่าตัวเองและครอบครัวจะอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว

“ฉันไม่สนว่าเธอจะดื่มเหล้าได้หรือไม่ได้ ขนาดเหล้าก็ไม่ดื่ม แล้วครอบครัวนายยังจะมาอยู่ในวงการค้า? จางฉีโม่เป็นคนแบบไหน? ไม่ดื่มคารวะเหล้าต่อรุ่นพี่ทั้งสอง?” จางหงซวนสั่งสอนอย่างไม่เกรงใจ “ทำตระกูลจางขายหน้าสิ้นดี!”

“เอาอย่างนี้ ฉันจะขอร้องประธานอาวุโสทั้งสองให้ ว่าจะให้ใครดื่มแทนได้บ้าง อย่างไรก็ตาม เหล้าก็รินแล้ว เหล้าขาวเต็มสองแก้วนี้ยังไงก็ต้องดื่ม!” จางหงจูนพูดอย่างมาดมั่นเต็มที่

“นี่……” สีหน้าจางฉีโม่เขียวปัด กัดริมฝีปาก

จางหงจูนนี่มันวางท่าข่มเหงรังแกกันชัดๆ

เดิมทีเธอมาหาจางหงจูนกับจางหงซวนเพื่อเจรจาเรื่องแบรนด์เครื่องประดับจางซื่อ นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะเชิญบุคคลสองผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้มา คราวนี้ยิ่งเป็นการฉวยโอกาสหาข้ออ้างสร้างความลำบาก

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรไปล่วงเกินคนทั้งสองนี้ บริษัทเกิดเหตุการณ์วิกฤติหลายอย่างแล้ว แล้วยังมาล่วงเกินคนทั้งสองนี้ เกรงว่าต่อไปปัญหาจะใหญ่ยิ่งขึ้น

เอะ ไม่รู้ว่าหลินอิ่งมาถึงแล้วเหรอยัง จะต้านคนชั่วร้ายทั้งสองคนนี้ได้หรือเปล่านะ

จางฉีโม่มีความกระวนกระวาย ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่คิดถึงหลินอิ่งให้มาช่วย

“ประธานจาง นายหลุยส์ รองประธานจางฉีโม่แห่งเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปดื่มเหล้าไม่ได้ วางท่ามากจริงๆ ท่านทั้งสองว่า ให้พ่อแม่ของเขามาดื่มคารวะแทนดีไหม?” จางหงซวนพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ มองไปยังหลุยส์กับซูนเฉียง

“อ้อ คุณจางดื่มเหล้าไม่ได้ใช่ไหม? อย่างนั้นก็ไปจากโต๊ะกินเลี้ยงเถอะ จากระดับของเธอก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งเสมอโต๊ะเสมอเก้าอี้เดียวกับโต๊ะกินเลี้ยงฉันได้ ขนาดเหล้ายังดื่มไม่ได้ อย่างนั้นก็ไสหัวไปซะ ต่อไปฉันจะไม่ให้พวกเธอได้ทำธุรกิจอัญมณีในเมืองตุงไห่” หลุยส์ไม่พอใจอย่างมาก มองดูจางฉีโม่พูดอย่างไม่เกรงใจ

ซูนเฉียงทำเสียง “หึ” เย็นชา วางมาดพูดว่า “ไม่ต้องหาคนดื่มคารวะแทนแล้ว การให้เธอดื่มถือว่าเป็นการให้เกียรติครอบครัวพวกเธอแล้ว ไอ้เครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปของพวกเธอ ก็ช่างมันเถอะ ต่อไปอย่าทำให้น้องหงจูนต้องขายหน้าคนอื่น พวกเธอไม่มีคุณสมบัติเป็นตัวแทนตระกูลจาง”

เห็นได้ชัด สองคนนี้มาเพื่อเสริมฉากให้กับจางหงจูน ฉะนั้นพูดจาเลยไม่ไว้หน้ากัน เห็นชัดๆ ว่าจงใจทำให้ครอบครัวจางฉีโม่หนักใจ

“ไม่ ท่านประธานอาวุโสทั้งสอง ครอบครัวเราไม่ได้หมายความว่าเช่นนี้” ลู่หย่าฮุ่ยลนลานพูด ตระหนกตกใจเอาอย่างมาก กลัวจะล่วงเกินคนอื่น

“ซิ่วเฟิง คุณมัวยืนทื่ออะไรอยู่ รีบมาดื่มคารวะประธานอาวุโสทั้งสองสิ ดื่มเหล้าแค่นี้ จะสักเท่าไหร่เชียว?” ลู่หย่าฮุ่ยรีบชี้นิ้วบงการขึ้นมา

สีหน้าจางซิ่งเฟิงขมขื่น มองดูเหล้าขาวสองแก้วใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะ ก็รู้สึกหน้ามืดตาลายขึ้นมา

“ท่านประธานอาวุโสทั้งสองอย่าถือสานะ เหล้าสองแก้วนี้ผมขอดื่มละกัน” จางซิ่วเฟิงเผยยิ้ม แข็งใจพูด ยกเหล้าขาวขึ้นมาหนึ่งแก้ว

ช่วยไม่ได้ ไม่ควรล่วงเกินคนอื่นนี่ เหล้านี่ต่อให้ลงคอลำบาก ก็ต้องดื่มลงไป

ท่าทางของจางหงจูนเผยให้เห็นการเย้ยหยันพูดว่า “น้องห้าอ่ะ เหล้าสองแก้วแจกแจงเป็นการคารวะประธานอาวุโสทั้งสอง ถ้านายจะดื่ม ก็ต้องดื่มรวดเดียวให้หมดถึงจะได้สิ”

“เอ่อ……ลุงใหญ่ อย่างนี้จะไม่รังแกกันเกินไปหน่อยเหรอ!” จางฉีโม่พูดด้วยความโมโห

“รังแกคน?ฉีโม่ ดูเธอสิพูดอะไรของเธอน่ะ?” จางหงซวนพูดด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา “ได้ดื่มเหล้าคารวะท่านประธานอาวุโสทั้งสอง ถือเป็นความโชคดีของครอบครัวพวกเธอแล้ว ดื่มเหล้าไม่ได้ ก็รีบไสหัวไปซะ อย่ามาทำขายหน้าคนที่นี่!”

ฟังแล้วเหมือนจะเมินหน้ากัน จางซิ่วเฟิงจึงลนลานพูดขึ้นว่า “ฉีโม่ พี่สาม พวกเธอไม่ต้องพูดแล้ว เหล้าแก้วนี้ฉันจะดื่มเอง”

พูดเสร็จ จางซิ่วเฟิงก็ยกเหล้าขาวขึ้นมาหนึ่งแก้ว หลับตากรอกคอลงไปรวดเดียว อึกๆ อึกๆ ประมาณ 250 มิลลิลิตได้ ดื่มไปตั้งหลายอึก ยังเหลืออีกนิดเดียว ก็แข็งใจดื่มไม่ไหวแล้ว ไถลวางแก้วเหล้าลง ท่าทางทรมาน ใบหน้าแดงก่ำ

ระดับเหล้าของจางซิ่วเฟิงก็ทั่วไป อยู่เหล้าขาว500มิลลิกรัมก็ลงสู่ท้อง ท้องไส้ปั่นป่วนแทบจะอาเจียนกันเลย

“ประธานซูน นายหลุยส์ ต่อไปต้องให้คุณช่วยดูแลในวงการธุรกิจด้วย” สีหน้าจางซิ่วเฟิงเขียวปัดแต่พูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ท่าทางของซูนเฉียงกับหลุยส์ราบเรียบ มองดูเหล้าขาวที่อยู่ในแก้วอย่างเฉยเมย ส่ายหน้า เหมือนไม่ค่อยพอใจ

“น้องห้า ไม่ใช่ว่าฉันจะว่านายนะ มิน่าหลายปีมานี้ ถึงได้ไม่มีอนาคต ดื่มเหล้าขาวแค่นี้ก็ไม่หมด ยังต้องเหลือแค่นี้ไว้ทำไมกัน? ช่างน่าขายหน้าและก็ผิดหวัง!” จางหงซวนถากถางอย่างไม่เกรงใจ ชี้นิ้วไปที่เหล้าขาวในแก้วไวน์

ใบหน้าจางซิ่วเฟิงแดงก่ำ พูดอย่างกระอึกกระอัก “แค่นี้… ผม… ผมจะดื่มตอนนี้เลยแล้วกัน”

เมื่อกี๊เหล้าที่เขาดื่มไปถึงขีดจำกัดแล้ว เหลือแค่นั้นไม่ใช่ว่าไม่อยากดื่ม แต่กรอกลงไปไม่ได้แล้วจริงๆ !

“พ่อ!ไม่ต้องดื่มแล้ว พวกเราไปเถอะ เหล้าอย่างนี้จะดื่มไปทำไม?” จางฉี่พูดขึ้นมาด้วยความโมโห แล้วก็รู้สึกถูกสบประมาท

ลุงใหญ่กับลุงสามทำเกินไปแล้วจริงๆ นี่เรียกว่าดื่มเหล้าที่ไหนกัน?เป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพ่อหนูชัดๆ !

“ไม่ได้นะ ฉีโม่ ถ้าไปแล้ว จะเกิดปัญหาได้นะ” ลู่หย่าฮุ่ยรีบพูดขึ้น เพราะกลัวจะล่วงเกินคนอื่น จึงส่งสายตาให้จางฉีโม่

“ดื่มเหล้าไม่ได้แล้วยังจะมาโมโห?เป็นพวกที่เชิดหน้าชูตาไม่ได้จริงๆ หึ ดื่มไม่ได้ก็ไสหัวไปซะ!” ซูนเฉียงพูดด้วยเสียงเย็นชา ท่าทางไม่แยแส

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท