ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 244 เธอพาเศษสวะภาระนี่มาทำไม

บทที่ 244 เธอพาเศษสวะภาระนี่มาทำไม

บทที่ 244 เธอพาเศษสวะภาระนี่มาทำไม

“ฉีโม่จ๊ะ ฉันต้องขอเตือนเธอก่อน คนที่มากินเลี้ยงในครั้งนี้ ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในตี้จิงทั้งนั้น ต้องระวังในเรื่องการต้อนรับ” จูฟางเดินไปก็สั่งสอนไป “บริษัทของเธอจะเปิดตลาดที่ตี้จิงได้หรือไม่ ต่อไปต้องดูจากสีหน้าคนพวกนี้แล้ว”

“ค่ะ พี่จู ที่พี่พูดมาทั้งหมดฉันเข้าใจ” จางฉีโม่ตอบด้วยความเกรงใจ

“เข้าใจก็ดี ฉีโม่ มาถึงตี้จิงแล้วน่ะ ต้องเชื่อฟังฉันทุกเรื่อง รับรองว่าจะให้เธอได้เก็บเกี่ยวมหาศาลแน่” จูฟางวางท่าใหญ่โตพูด ราวกับตัวเองเป็นลูกพี่

พูดเสร็จ จูฟางก็เหลือบดูหลินอิ่งกับฮาเดสอย่างไม่ไยดี

“ฉีโม่ สองคนนี้ที่เธอพามาด้วยเป็นใคร?” จูฟางพูดด้วยท่าทางยโส “ถ้าเป็นบอดี้การ์ดกับเลขาฯ ของเธอล่ะก็ ให้พวกเขารออยู่ข้างนอก ไม่ต้องตามมาแล้ว ในงานเลี้ยงไม่ใช่ใครก็จะเข้าไปได้”

จางฉีโม่พูดด้วยหน้าตาจริงจังว่า “พี่จู นี่คือสามีฉันกับบอดี้การ์ด เขาตั้งใจมาเป็นเพื่อนฉัน จะไปร่วมงานกินเลี้ยงกับฉันด้วย ส่วนบอดี้การ์ดคนนั้นฉันจะให้เขารออยู่ข้างนอก”

พอได้ยินสิ่งที่พูด จูฟางก็มองหลินอิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเซอร์ไพรส์ สายตาเหยียดหยามพูดว่า “ฉีโม่ เขาก็คือสามีที่เธอเล่าให้ฟัง หลินอิ่ง?”

จางฉีโม่พยักหน้า ถามด้วยความสงสัย “ค่ะ ทำไมเหรอคะ?”

เธอค่อยๆ ยอมรับในสถานะของหลินอิ่ง แม้ว่าต่อหน้าคนอื่นก็ให้เกียรติหลินอิ่งเต็มที่ ไม่อย่างนั้น ครั้งนี้คงไม่จงใจให้หลินอิ่งออกมาข้างนอกกับเธอ

“ให้ตาย ฉีโม่ ทำไมเธอถึงพาเศษสวะตัวภาระนี้มาด้วย?” จูฟางพูดขึ้นมาอย่างไม่กระดากปาก ท่าทางเบื่อหน่าย “ครั้งนี้ตั้งใจจะแนะนำเส้นสายให้เธอ เธอพาเศษสวะนี่มา จะไม่ขายหน้าเหรอ?”

“ฉี่โม่ ฉันล่ะยอมใจเธอจริงๆ เมื่อก่อนฉันเคยบอกเธอแล้วไง หลินอิ่งเป็นพวกเศษสวะ ไม่คู่ควรกับเธอ ทำไมยังจะพาเขามาเมืองตี้จิงอีก?” จูฟางพูดจาวิพากษ์วิจารณ์

จูฟางเคยได้ยินคนอื่นพูดว่า หลินอิ่งสามีของจางฉีโม่ เป็นลูกเขยเศษสวะที่ขึ้นชื่อในเมืองชิงหยูน เห็นว่าเป็นเลขาฯ ผู้ช่วยให้จางฉีโม่ ไม่มีความสามารถอะไร เป็นแค่เศษสวะ

ฉะนั้น เธอจึงดูถูกคนพรรค์นี้ เพราะไม่มีเงินไม่มีอำนาจ จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคุยเสมอตัวกับเธอได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการร่วมกินเลี้ยงกับเธอ

พอได้ยิน สีหน้าของจางฉีโม่ก็ไม่สู้ดี

ถือว่าเธอเกรงใจจูฟางเป็นพิเศษ แต่คนผู้นี้ จะยุ่มย่ามมากเกินไปเลย ยุ่งมาถึงเรื่องครอบครัวของเธอ ดูจะเห็นเป็นเรื่องของตัวเองเกินไปแล้ว

โดยเฉพาะ ว่าหลินอิ่งต่อหน้าอย่างนี้ จะกำเริบกันเกินไปแล้วหรือเปล่า?

หลินอิ่งมองดูจูฟางพูดว่า “คุณจะยุ่งมากเกินไปหรือเปล่า?”

“หึ พูดถึงนาย ก็รู้สึกเสียหน้า เสียศักดิ์ศรีสินะ?” จูฟางแสยะยิ้ม ท่าทางเหยียดหยามเป็นที่สุด “ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงมีหน้ามางานใหญ่ในเมืองตี้จิงกับฉีโม่ได้ ช่างหน้าด้านไร้ยางอายเสียจริง ไม่ส่องกระจกดูตัวเองเสียบ้าง ว่าคู่ควรกับฉีโม่ไหม?”

“อยากให้คนอื่นเคารพนาย? อยากมีเกียรติ? จำไว้ เกียรติของตัวเองต้องคว้าหามาเอง ตัวเองเป็นเศษสวะ ก็อย่าโทษคนอื่นที่เขาดูถูก” จูฟางเสียงเอื่อยเฉื่อย ไม่เห็นหลินอิ่งอยู่ในสายตาเลย

พูดจบ เธอก็มองไปยังฉีโม่ พูดจาสั่งสอนว่า “ฉีโม่ เธอต้องควบคุมหลินอิ่งคนนี้ให้ดีๆ ผู้ชายเศษสวะอย่างนี้ เห็นชัดๆ ว่าเกาะเธอกิน เรื่องไร้อนาคตฉันไม่ว่า แต่ปากดีนี่สิ เธอต้องรู้จักสั่งสอนเขาซะบ้าง!”

จางฉีโม่ขมวดคิ้ว ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้ว

เธอก็ไม่ชอบกิริยาท่าทางของจูฟางที่ทำเป็นสูงส่งอย่างนี้

“พี่จู นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน วันนี้พวกเรามาเรื่องงาน คุยเรื่องพวกนี้ดูจะไม่ค่อยเหมาะกระมัง?” จางฉีโม่พูดเสียงแข็ง

“ปัทโธ่ ฉีโม่ นี่ก็เรื่องงานนะ” จูฟางพูดเตือนเป็นยัยแก่ “เธอคิดดู พาคนที่ไม่รู้จักกำลังตัวเอง ไม่เคยเห็นคนในสังคมไปร่วมกินเลี้ยงงานระดับสูงอย่างนี้ จะไม่ทำให้เธออายเหรอ? อีกอย่าง เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงภาพลักษณ์ของแต่ละคนด้วย ผู้ชายเศษสวะอย่างนี้ พูดออกไปก็น่าเกลียด ให้คนอื่นดูถูกเปล่าๆ”

“เอาอย่างนี้ หลินอิ่ง นายไปรออยู่ริมๆ วันนี้ฉันจะแนะนำเส้นสายให้ฉีโม่ นายอย่ามาทำเสียเรื่องให้เธอต้องขายหน้า” จูฟางพูดจาจัดแจง “ไปหาที่ใกล้ๆ แถวนี้รอไป งานอย่างนี้ไม่เหมาะที่นายจะเข้าร่วม”

หลินอิ่งยิ้มอย่างเยือกเย็นเงียบเสียง จูฟางคนนี้คงเห็นตัวเองเป็นลูกพี่ เห็นเขากับฉีโม่เป็นพวกบ้านนอก ต้องฟังเธอจัดแจงไปทุกอย่าง

“พี่จู ในเมื่อยุ่งยากอย่างนี้ พาญาติไปร่วมงานด้วยไม่ได้ อย่างนั้นฉันก็ไม่ไปกินเลี้ยงงานนี้แล้ว” จางฉีโม่พูดตัดบท “ไว้เราค่อยเจอกันในงานเครื่องประดับ งานกินเลี้ยงนี้ไม่ก็ได้”

เธอเป็นคนเรียกให้หลินอิ่งมาตี้จิงเอง แต่ไม่อยากให้หลินอิ่งต้องอึดอัดใจอย่างนี้

พูดเสร็จ จางฉีโม่กับหลินอิ่งเตรียมตัวจะจากไป

“เอะ เดี๋ยวก่อน! ฉีโม่ เธอเป็นอะไรของเธอ” จูฟางกุลีกุจอห้ามไว้ สีหน้าไม่ค่อยเข้าใจ “ทำไมเธอต้องโกรธเพื่อผู้ชายเศษสวะพรรค์นี้ด้วย ไม่คุ้มเลยนะ”

“ก็ได้ ก็ได้ ฉีโม่ เธอก็พาเขาไปร่วมกินเลี้ยงด้วยก็แล้วกัน ฉันช่วยเธอนัดเอาไว้แล้ว เธอไม่ไป ฉันก็ขายหน้าแย่สิ?” จูฟางพูดจาเกลี้ยกล่อม

สำหรับจูฟางแล้ว จางฉีโม่เวลานี้ถือเป็นคลื่นลูกหลังที่เก่งในวงการอัญมณีเมืองตุงไห่ เป็นทรัพยากรสำคัญที่สามารถใช้ประโยชน์ได้มาก ไม่อยากทิ้งไปเปล่าๆ เช่นนี้

แล้วยิ่งไปกว่านี้ แม้ว่าจางฉีโม่จะทำธุรกิจเครื่องประดับในเมืองตุงไห่ได้ดี แต่ยังขาดแคลนทรัพยากรในต่างเมือง ถ้าเธอใช้เส้นสายในเมืองตี้จิง ก็สามารถกอบโกยเงินจากจางฉีโม่ได้ จะพลาดโอกาสหาเงินดีๆ อย่างนี้ไม่ได้

โดยเฉพาะ จางฉีโม่ยังขาดประสบการณ์ในห้างอีกมาก ไร้เดียงสาหลอกง่าย ทำการค้ากับเธอ เอาเปรียบได้ง่ายมาก

เห็นจางฉีโม่ยังไม่แสดงท่าทีอะไร จูฟางก็พูดจาด้วยเสียงอิดออด “ฉีโม่จ๊ะ พี่จูก็แค่ออกตัวแทนเธอ ทนดูผู้ชายเกาะผู้หญิงกินอย่างนี้ไม่ได้ น่าคลื่นไส้จริงๆ ในเมื่อเธอยินดีให้เขาไป อย่างนั้นก็ทำตามเจตนาของเธอก็แล้วกัน ฉันแค่ตั้งใจจะแนะนำเธอกับเพื่อนๆ ตอนนี้เธอไม่ไป ฉันก็เสียหน้าสิจ๊ะ”

สีหน้าของจางฉีโม่ลังเล ครุ่นคิดสักพัก พูดว่า “อย่างนั้นก็ไปกัน”

“โอเค” จูฟางพูดจายิ้มแฉ่ง แล้วก็เดินนำทาง

ไม่นาน ทุกคนก็เดินมาถึงหอประชุมใหญ่โรงแรมที่ดูเจิดจรัส เดินตามบันไดที่ตกแต่งสไตล์ย้อนยุคไปยังห้องVIPที่อยู่ชั้นสาม

“หลินอิ่ง ฉันว่าเธอคงต้องยอมแพ้ คนในงานเลี้ยงไม่ใช้มหาเศรษฐีของตี้จิงก็เป็นลูกหลานข้าราชการใหญ่ นายไม่มีคุณสมบัติที่จะทัดเทียมกับเขาได้ มาแล้ว ก็นั่งเจียมตัวให้ดี อย่าก่อเรื่องให้ฉัน ได้ยินไหม?”

พอมาถึงหน้าห้องVIP จูฟางกระซิบข้างๆ หลินอิ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

หลินอิ่งยิ้มเงียบ ขี้เกียจพูด

เปิดประใหญ่ออก ในห้องVIPเรียงรายไปด้วยสุราชั้นดี ที่นั่งอาหาร ดูหรูหราไปหมด มีชายหญิงบางส่วนเข้านั่งประจำที่ ล้วนเป็นหนุ่มสาวที่แต่งตัวไม่ธรรมดา

“พี่จู มาแล้วเหรอ? คนข้างๆ คุณ เป็นคนที่คุณเคยแนะนำว่า มีชื่อเสียงในวงการเครื่องประดับเมืองตุงไห่ จางฉีโม่สินะ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน