ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 250 ข่าวของตระกูลเหวิน

บทที่ 250 ข่าวของตระกูลเหวิน

บทที่ 250 ข่าวของตระกูลเหวิน

“ค่ะ คุณชายสวี ฉันจะจับตาดูสองสามีภรรยานั่นไว้ จากอิทธิพลของคุณ ถ้าจะรับมือกับเศษสวะหลินอิ่งนั่นจริงๆ มันก็เป็นแค่เรื่องเล็ก” จูฟางพูดด้วยท่าทางสอพลอ

ในใจของเธอ คิดว่าสวีเหอต่างหากที่เป็นเสาหลัก ไอเศษสวะหลินอิ่งไม่รู้ว่าไปประจบถังฮุยที่ไหนมา ก็แค่รู้จักบุคคลใหญ่โตเท่านั้นเอง จะมาสู้กับสวีเหอที่มาจากตระกูลตี้จิงได้อย่างไร?

เดี๋ยวรอกลับไปถึงเมืองตุงไห่ เจ้าหลินอิ่งก็ต้องคืนสู่สภาพเดิม สุดท้ายก็คือผู้ชายเศษสวะที่เกาะเมียกินเท่านั้นเอง

โชคดีที่ได้รู้จักบุคคลใหญ่โตอย่างถังฮุย แล้วอย่างไรล่ะ? อย่างมากก็เป็นสุนัขให้ถังฮุยเท่านั้นเอง?

“ดี พี่จู จัดการเรื่องนี้ให้ผมเรียบร้อย ธุรกิจทางบริษัทสามีคุณ ผมจะติดต่อช่องทางการค้าใหม่ให้” สวีเหอกล่าว

“ได้ เช่นนั้นก็ขอขอบคุณคุณชายสวีมากๆ” จูฟางพูดด้วยความยินดี

เธอทุ่มสุดตัวประจบประแจงสวีเหอ ก็เพราะในมือของสวีเหอกุมทรัพยากรวงการธุรกิจเอาไว้ สามารถช่วยเหลือบริษัทอัญมณีของครอบครัวเขาได้ แล้วเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ได้โดยตรง

“จางฉีโม่กับสามีอีกไม่กี่วันจะไปร่วมงานเครื่องประดับเมืองตี้จิง ใช่ไหม? หึ ล่วงเกินฉัน แล้วยังคิดจะทำการค้าที่เมืองตี้จิง?” สวีเหอพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม เอามือถือออกมาโทร

เขาไม่สามารถทำอะไรถังฮุยได้ แต่ว่า บุคคลที่เขาพึ่งพาได้ในตระกูลสวี สามารถกดดันถังฮุยได้ในระดับหนึ่ง!

โดยเฉพาะพี่ใหญ่ฝ่ายพ่อที่มีอิทธิพลมาในตระกูลสวีคนนั้น แถมยังเป็นคนชอบเรื่องโลกีย์ ถ้าให้เขาเห็นฉีโม่หญิงสาวที่สวยงามหยดย้อย ต้องคิดหาทางลงมือแน่นอน

พอถึงเวลานั้น รอดูไอ้เศษสวะหลินอิ่งจะจัดการอย่างไร?

สวีเหอคิดแผนชั่วอยู่ในใจ สีหน้าค่อยๆ เผยยิ้มที่เย็นยะเยือกออกมา

ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งภายใต้การนำทางของถังฮุย ขึ้นลิฟต์มาที่ห้องโถงที่หรูหราบนชั้น12

ชั้น12 เป็นหอประชุมของโรงแรมจงเทียน และก็เป็นสถานที่ที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ราวกับตำหนักทอง รอบด้านเป็นวัสดุที่แพงที่สุด กระทั่งผนังก็เป็นทองคำฝังหยก

ในเวลานี้เอง แนวทางเดินมีบอดี้การ์ดยืนเรียงแถวอย่างกวดขัน พอเห็นการมาของหลินอิ่งกับถังฮุย ต่างก็ทำความเคารพ

จางฉีโม่ทำท่าฉงนตามมาข้างหลัง รู้สึกถึงอำนาจนี้ยิ่งใหญ่มาก ราวกับเป็นสถานที่สำหรับบุคคลที่ยิ่งใหญ่อาศัยอยู่ ช่างโอ่อ่าเสียจริง

แล้วก็ไม่รู้ว่า เพื่อนของหลินอิ่งคนนี้คือใคร ดูช่างยิ่งใหญ่ในตี้จิงเหลือเกิน?

แค่ลำพังโรงแรมจงเทียนแห่งนี้ ในอาณาจักรตี้จิง มูลค่ากิจการแห่งนี้มีมูลค่ามหาศาลไม่จำกัด ถึงขั้นมีแต่เงินก็ไม่สามารถที่จะทำธุรกิจเช่นนี้ได้

“ท่านอิ่ง!”

ขณะเดินตามแนวทางเดิน หยูจื๋อเฉิงยืนรออยู่ที่หน้าประตูสำนักงาน โค้งคำนับทักทาย ตั้งใจรอการมาถึงของหลินอิ่ง

หลินอิ่งค่อยๆ พยักหน้า มองไปยังจางฉีโม่ พูดอย่างจริงจังว่า “ฉีโม่ คุณนั่งรอข้างนอกก่อน ผมจะคุยธุระกับเพื่อนหน่อย”

“ได้ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นั่งรออยู่ที่โซฟา

เธอเห็นหลินอิ่งกับหยูจื๋อเฉิงหันหลังเข้าไปในห้องทำงาน ก็เท้าคางครุ่นคิด

ไม่นาน ถังฮุยก็พาบริกรสองคนเข็นรถอาหารมา นำขนมที่ประณีตบนรถเข็น ติ่มซำ น้ำซุป ผลไม้ วางไว้บนโต๊ะตรงหน้าจางฉีโม่

“ขอบคุณ” จางฉีโม่ตอบกลับอย่างเกรงใจ มองติ่มซำอันโอชะแต่ละจานที่ประณีตบนโต๊ะด้วยความฉงน

“คุณนายหลิน เชิญรับประทานขอรับ นี่เป็นสิ่งที่พวกเราผู้ใต้บังคับบัญชาควรทำ ไม่ต้องเกรงใจ” ถังฮุยกล่าวด้วยความนอบน้อม

คนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้า เป็นถึงผู้มีชื่อเสียงสะท้านประเทศหลุง คุณผู้หญิงของฉีหยิ่นตระกูลฉีอยู่ยิ่่งใหญ่ เป็นลูกพี่ของลูกพี่อีกที จำเป็นต้องให้ความเคารพอยู่แล้ว

จางฉีโม่มีสีหน้าประหลาดใจ มีความรู้สึกปลื้มปริ่มที่พูดไม่ออก

ความรู้สึกที่ได้รับความเคารพอย่างจริงใจเช่นนี้ ไม่มีใครที่จะปฏิเสธ

เธอมองดูติ่มซำที่วางอยู่บนโต๊ะ มีทั้งสไตล์จีนแล้วก็สไตล์ตะวันตก รวมแล้วทั้งหมด20กว่าอย่าง วัตถุดิบที่ใช้ก็ค่อนข้างแพง เรียกว่าหรูหราเลยทีเดียว ถ้าคิดราคาอาหารตามโรงแรมจงเทียน โต๊ะนี้ก็ประมาณหลายหมื่นหยวน

“เอ่อ ประธานถัง นั่งลงทานด้วยกันสิ” จางฉีโม่พูดด้วยความเกรงใจ

“คุณนายหลิน โปรดอย่าได้เกรงใจผมเลย ผมเป็นแค่ลูกน้องของท่านอิ่ง โรงแรมนี้เป็นกิจการของท่านอิ่ง ถือซะว่ากลับบ้านตัวเองละกัน อย่าได้เกรงใจขอรับ” ถังฮุยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

ได้ยินเสร็จ สายตาของจางฉีโม่ก็ส่องประกาย อดคิดถึงเงาของหลินอิ่งไม่ได้

โรงแรมจงเทียนเป็นกิจการของหลินอิ่ง?

แม้แต่ถังบุคคลที่มีอิทธิพลในเมืองตี้จิงเช่นนี้ ก็เป็นลูกน้องของเขา?

เวลานี้ในใจจางฉีโม่อยากรู้ตัวตนที่แท้จริงของหลินอิ่งมากกว่าสิ่งใด

เธอตามหลินอิ่งมาที่โรงแรมจงเทียน เรียกว่าได้รับปรนนิบัติแบบราชาเลย

ประธานผู้รับผิดชอบโรงแรมจงเทียนผู้ยิ่งใหญ่ ถังฮุย มาเป็นบริกรยกน้ำเสิร์ฟชาให้เอง แล้วยังมีบอดี้การ์ดอีกมากมายคอยคุ้มกัน เรียกว่าเป็นสัญลักษณ์ของมหาเศรษฐีของตี้จิงก็ว่าได้

จางฉีโม่คิดแล้วคิดเล่า จึงลองสอบถามดู “อย่างนั้น ถังฮุย คุณรู้ที่มาที่ไปของหลินอิ่งไหม?”

“คือ……” ถังฮุยมีท่าทางสงสัย ไม่คิดว่าคุณนายหลินจะถามเช่นนี้

บอกตามตรง ถังฮุยก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของหลินอิ่งนัก รู้แต่ว่าเป็นฉีหยิ่นแห่งตระกูลฉี แน่นอน ความลับนี้ไม่สามารถบอกได้ ในเมืองตี้จิงมีแต่หยูจื๋อเฉิงคนผู้นี้ กับญาติของท่านอิ่ง ที่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของฉีหยิ่น

เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงครอบครัวท่านอิ่ง จะพูดไปเรื่อยได้อย่างไร? ขนาดท่านอิ่งยังไม่บอกคุณนายหลิน แล้วถังฮุยจะกล้าเล่าได้อย่างไร?

“คุณนายหลิน ค่อยๆ รับประทาน มีอะไรจะรับสั่งให้บอกผม” ถังฮุยพูดด้วยความเคารพ เปลี่ยนหัวข้อเรื่องแล้วขอตัวออกไป

จางฉีโม่คีบเต้าหู้ปลามาชิมหนึ่งชิ้น จิบน้ำชา จากนั้นปลายนิ้วเท้าคาง ทำท่าครุ่นคิดบางอย่าง

ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลินอิ่งกับหยูจื๋อเฉิงก็เข้าไปในห้องทำงาน

หลินอิ่งนั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย หยูจื๋อเฉิงยืนด้านข้างด้วยความเคารพ รอรับคำสั่ง

“หยูจื๋อเฉิง ในโทรศัพท์นายบอกฉันว่ามีข่าวของตระกูลเหวิน เรื่องราวเป็นอย่างไร?” หลินอิ่งเปิดประเด็นถาม

การมาเจอหยูจื๋อเฉิงในครั้งนี้ สิ่งสำคัญคือการถามถึงแหล่งข่าวให้ชัดเจน

หยูจื๋อเฉิงครุ่นคิดสักพัก เรียบเรียงความคิดเสร็จ ก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านอิ่ง ข่าวคราวของตระกูลเหวิน ผมได้รับแจ้งมาจากการสอดแนมที่วางตัวไว้ในเมืองตี้จิง มาจากปากเศษรฐีรายหนึ่งที่เดินทางจากเมืองก่างมายังเมืองตี้จิง”

“เศษรฐีเมืองก่าง?” หลินอิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ถามด้วยความสงสัย

“ถูกต้อง ความร่ำรวยของเศรษฐีรายนั้นก็ติดสิบอันดับแนวหน้าของเมืองก่าง มีอิทธิพลมากทีเดียว ผมเลยไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือพาเขามาสอบสวน” หยูจื๋อเฉิงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข่าวที่ได้ยินมา คือเศรษฐีคนนี้เมื่อก่อนเดิมทีเคยทำธุรกิจที่ลึกซึ้งกับตระกูลเหวิน การมาตี้จิงครั้งนี้ ยังรับช่องทางธุรกิจเมื่อก่อนของตระกูลเหวินด้วย ทำจนเป็นรูปเป็นร่าง เหมือนกับเป็นตัวแทนของตระกูลเหวิน”

“หึ คิดจะยืมร่างคืนวิญญาณสินะ?” หลินอิ่งแสยะยิ้ม สายตาส่อประกายเย็นชา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท