ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 260 หลินอิ่งคนนี้ฉันจัดการแน่

บทที่ 260 หลินอิ่งคนนี้ฉันจัดการแน่

บทที่ 260 หลินอิ่งคนนี้ฉันจัดการแน่

ถังฮุยพยักหน้า ทำตามคำพูดของหลินอิ่ง รับโทรศัพท์

“เหยียนหลง มีธุระอะไร?” ถังฮุยถามน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ฮุยสุง เรื่องที่ฉันบอกก่อนหน้านี้ นายตัดสินใจหรือยัง?” ทางโทรศัพท์ เป็นผู้ชายเสียงต่ำ น้ำเสียงกดดันคนอื่น และเรียกชื่อเล่นของถังฮุย

“นายหมายถึงเรื่องอะไร?” ถังฮุยถามเสียบเรียบ

“ส่งไอ้คนที่มาจากเมืองตุงไห่ หลินอิ่ง มาให้ฉันจัดการ” เหยียนหลงพูดช้าลง น้ำเสียงเคร่งขรึม

ชะงักไปครู่หนึ่ง เหยียนหลงพูดต่อ “ฮุยสุง ฉันรู้ ว่าเรื่องนี้อาจทำนายเสียหน้า แต่นายต้องรู้ ไอ้หลินอิ่งนั่นก่อเรื่องใหญ่โต คุณชายรองตระกูลสวีโกรธจนจะบ้าแล้ว ฉันก็เตือนนายด้วยความหวังดี อย่าทำให้เรื่องใหญ่ ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์จะยิ่งกว่านี้”

“ถ้าเป็นเรื่องนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว” ถังฮุยพูดหนักแน่น

ถ้าเป็นเวลาปกติ ถังฮุยจะกลัวความน่าเกรงขามของเหยียนหลง แต่วันนี้ท่านอิ่งอยู่ข้างกายเขา เขาไม่กลัวแม้แต่น้อย

“ถังฮุย เรื่องฉันก็แจ้งนายก่อนแล้วนะ ฉันให้เวลานายหนึ่งคืนในการคิด พรุ่งนี้ ฉันจะจัดคนไปจับไอ้แซ่หลินนั่น ถึงเวลาอย่าบอกว่าฉันไม่เกรงใจ” ในโทรศัพท์ฝั่งโน้นน้ำเสียงของเหยียนหลงเคร่งขรึมจริงจัง

“ตอนนี้ฉันจัดโต๊ะอาหารที่ย่านพาณิชย์เหยียนหวง คุณชายรองตระกูลสวีก็อยู่ ถ้านายอยากคุยเรื่องนี้ดีๆ คืนนี้ก็ออกมาดื่มสักแก้ว”

“ฮุยสุง นายคิดเองละกัน”

พูดจบ เหยียนหลงก็ตัดสาย

ถังฮุยหันไปมองหลินอิ่ง ถามอย่างเคารพ “ท่านอิ่ง ตอนนี้ จะจัดการเหยียนหลงยังไงครับ?”

หลินอิ่งรู้สึกน่าสนใจ พูดว่า “ไปย่านพาณิชย์เหยียนหวงตอนนี้ ไปเจอเหยียนหลงหน่อย”

“ครับ” ถังฮุยพยักหน้า

ไม่นาน ถังฮุยก็เรียกคนมารวมตัวที่โรงแรมจงเทียนจนครบ รวมขบวนรถ มุ่งหน้าไปเขตเหยียนหวง

หลินอิ่งให้จางฉีโม่พักผ่อนในห้อง ข้างกายมีเพียงฮาเดส รีบเดินทางไปเขตเหยียนหวง

ยี่สิบนาทีผ่านไป

เขตเหยียนหวง อาคารพาณิชย์เหยียนหวง

ภัตตาคารเหยียนซื่อ ภายในห้องอาหารหรูชั้นยี่สิบหก อาหารรสเลิศเต็มโต๊ะ สีสันรสชาติกลิ่นหอมเย้ายวน ขอบโต๊ะเป็นแก้วน้ำชาสองใบ

ชายวัยกลางคนในชุดจีนสีแดงนั่งตรงกลางที่นั่งประธาน ในมือถือที่สูบบุหรี่ทำจากหยกอย่างประณีต ลูกน้องข้างกายก้มตัวช่วยใส่บุหรี่

จุดไฟแล้ว ชายชุดจีนก็เริ่มสูบด้วยสีหน้าพอใจ

“ฮู้”

“ลุงเหยียน ถังฮุยเขตจงเทียนมันเรื่องอะไรกัน? หรือว่าแม้แต่ท่านยังไม่ไว้หน้า กล้าไม่มาตามนัด?​” สวีชิงซงนั่งอยู่ด้านข้างพูดอย่างรีบร้อน บนหน้ายังมีแผลบวม ดูแล้วน่าตลก

โดนหลินอิ่งจัดการอย่างหนักที่งานแสดงเครื่องประดับ สวีชิงซงกลับไปแล้วก็รีบใช้อำนาจรวบรวมคนให้มาช่วยเหลือ

และอำนาจโลกใต้ดินในเขตเหยียนหวง เหยียนหลงก็คือตัวช่วยที่สำคัญที่สุกของสวีชิงซง เหยียนหลงชื่อจริงสวีเหยียน ว่าไปแล้วก็ถือว่าเป็นคนเชื้อสายของตระกูลสวีแห่งตี้จิง เพียงแต่สายเลือดความสัมพันธ์กับตระกูลสวีตี้จิงไม่ได้เข้มข้นมาก มีชื่อเสียงได้เพราะความสามารถของตัวเอง

และพ่อของสวีชิงซง เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเหยียนหลง ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น

เหยียนหลงมือถือบุหรี่ สูบเข้าไปช้าๆ พ่นควันออกแล้วพูดว่า “ฮุยสุงทำงานให้กับหยูจื๋อเฉิง ทุกวันนี้หยูจื๋อเฉิงพึ่งตระกูลฉี ขยายอำนาจใหญ่โต คนกลุ่มนี้ทุกวันนี้ไม่มีใครเทียบได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อน มันกล้าทำอะไรหลาน ลุงพาคนไปจัดการฮุยสุงตอนนี้แล้ว”

ตำแหน่งอำนาจโลกแห่งความมืดในตี้จิง ฮุยสุงเทียบเหยียนหลงไม่ได้ ยังเป็นเพียงลูกน้อง

ต้องรู้ว่า เหยียนหลงในฐานะหัวหน้าใหญ่มีหน้ามีตาในตี้จิง ครอบคลุมทั่วประเทศหลุง เป็นเจ้าพ่อระดับต้นๆ และพวกคนใหญ่คนโตในสังคมก็มีคนคอยสนับสนุน

“แต่ลุงก็สงสัย ทำไมฮุยสุงถึงได้ช่วยไอ้แซ่หลินนั่น” เหยียนหลงพูดอย่างครุ่นคิด “ตามหลักแล้ว ไม่น่าเป็นแบบนี้”

“ลุงเหยียน เท่าที่ผมดูแล้ว ไอ้พวกเขตจงเทียนมันเหิมเกริมแล้ว นึกว่าเกาะขาตระกูลฉีแล้ว ก็ไม่มีลุงอยู่ในสายตา” สวีชิงซงพูดอย่างคาดเดา พูดยุแยง “พวกมันก็ไม่รู้จักคิด ว่าฐานะของลุงสูงขนาดไหน ตอนที่สุงใหญ่โตขึ้นมา พวกมันยังเป็นแค่นักเลงข้างถนนเท่านั้น”

“ลุงเหยียน ถ้าคืนนี้ฮุยสุงไม่มา พรุ่งนี้ก็พาคนไปจับมันถึงโรงแรมจงเทียน” สวีชิงซงพูดอย่างใจร้อน

เขารอไม่ไหวที่จะจัดการหลินอิ่งอย่างหนัก ความโมโหในใจยังไงก็ไม่มีวันหาย

ไม่ได้ซ้อมหลินอิ่งอย่างกับหมา แล้วแย่งผู้หญิงของหลินอิ่งไป เขาไม่มีวันหายแค้น

“เหอะ” เหยียนหลงหัวเราะ “ถ้าฮุยสุงไม่รู้จักเคารพกัน ไม่ยอมส่งคนมา ลุงต้องสั่งสอนให้จำแน่นอน”

ก๊อกก๊อก

เวลาเดียวกัน บอดี้การ์ดชุดสูทเดินมาเคาะประตู พูดว่า “ท่านเหยียน ฮุยสุงพาคนมาแล้ว”

“ออ?” เหยียนหลงแววตาประกาย ยิ้มพูด “ฮุยสุงยังถือว่าฉลาด ยังรู้ว่าใครใหญ่ ไปเชิญเขาเข้ามา”

บนทางเดินร้านอาหารหรู ถังฮุยกับหลินอิ่งเดินเข้าไปช้าๆ ด้านหลังถังฮุยยังมีกลุ่มชายชุดสูทสีหน้าเลือดเย็น

บนทางเดิน เป็นคนของเหยียนหลงหมด ประมาณ56คน ดูน่าเกรงขาม

“ท่านสุง คนของท่าน รออยู่ข้างนอก พวกเราจะต้อนรับอย่างดี” หัวหน้าบอดี้การ์ดยกมือพูดสีหน้าจริงจัง

“พาฉันไปหาเหยียนหลง” ถังฮุยพูดเสียงเรียบ ไม่อยากพูดมาก

ตามนั้น คนที่พามารออยู่ข้างนอกหมด ถังฮุยกับหลินอิ่งและฮาเดส สามคนเดินเข้าไปในห้องอาหาร

“ฮาฮา น้องชาย ฮุยสุง นั่งเลย” เหยียนลุงสูบบุหรี่ พูดด้วยรอยยิ้มมองไปที่ถังฮุยและหลินอิ่ง พร้อมยกมือ

ถังฮุยกับหลินอิ่งเข้าไปนั่ง ส่วนฮาเดสยืนอยู่ข้างหลังหลินอิ่งอย่างเคารพ

เมื่อหลินอิ่งเข้ามาในห้องแล้ว สายตาสีหน้าของสวีชิงซงก็เต็มไปด้วยความอาฆาต จ้องหน้าหลินอิ่งไม่ละสายตา อย่างกับจะกลืนหลินอิ่งทั้งเป็น

“น้องชายฮุยสุง ฉันก็ไม่พูดมากแล้วนะ” เหยียนหลงพูดอย่างเชื่องช้า “คืนนี้ออกมาดื่มชาแก้วนี้ ก็ถือว่าไว้หน้าฉันแล้ว สถานการณ์นายก็เข้าใจดี พี่ใหญ่อย่างฉัน ก็ไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องนาย ไอ้หลินอิ่งคนนี้ ฉันจัดการแน่”

พูดจาอย่างเป็นทางการ เหยียนหลงก็ยกน้ำชาบนโต๊ะ ดื่มก่อน

“ฉันแนะนำหน่อย นี่เป็นหลานชายฉัน สวีชิงซง แล้วก็เป็นลูกชายคนโตของสวีฉางเฟิง นายน่าจะเคยได้ยิน” เหยียนหลงพูดอย่างใจเย็น

“ชื่อคุณชายทั้งสี่แห่งตี้จิงสวีชิงซง เหอะ ผมก็ต้องเคยได้ยินอยู่แล้ว” ถังฮุยยิ้มตอบ

เหยียนหลงพยักหน้าสีหน้าพอใจ รู้สึกว่าถังฮุยยังรู้เรื่อง รู้จักเคารพ พาตัวหลินอิ่งมาด้วยตัวเอง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท