ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 269 คนตระกูลจ้าวเก่ง?

บทที่ 269 คนตระกูลจ้าวเก่ง?

บทที่ 269 คนตระกูลจ้าวเก่ง?

หลินอิ่งสีหนาไร้ความรู้สึก มองจ้าวเจี้ยนหนิงแวบหนึ่ง

จ้าวเจี้ยนหนิงใช้สายตาอวดดีถึงขีดสุดสบตากับหลินอิ่ง สลัดข้อมือไปมา เผยนาฬิกาข้อมือยี่ห้อวาเชอรอง คองสตองแตงราคาสิบล้านรุ่นลิมิเต็ดเรือนหนึ่งออกมา ทำท่าทางเพ่งดูเวลา

“นิ่งซวน เวลาที่ฉันกับเพื่อนนัดกันใกล้จะถึงแล้ว” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวเนิบๆ “ฉันให้เวลาแกหนึ่งนาที รีบพาคนบ้านนอกที่แกนัดมาที่นี่ไปจากร้านน้ำชา อย่าทำให้เรื่องของฉันล่าช้า ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด”

นิ่งซวนแววตาโกรธขึ้ง ไม่สนใจท่าทางอวดดีของจ้าวเจี้ยนหนิง มองไปที่หลินอิ่ง กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ประธานหลิน ตรงนี้เป็นที่นั่งที่ผมจองไว้ให้คุณ แต่ว่า มีคนตาไร้แววบางคนคิดจะแย่งมันไป”

หลินอิ่งไม่ได้แสดงท่าทีอะไร

ที่นั่งที่เป็นของเขา เหมือนว่าจะถูกคนแย่งไปแล้ว

“นิ่งซวน ฉันไว้หน้าแกแล้วแกไม่ต้องการสินะ? คนตาไร้แวว? ช่างกล้าดีเหลือเกินนะ!” จ้าวเจี้ยนหนิงมองนิ่งซวนด้วยสายตาเย็นชา เปิดปากบริพาทยกใหญ่ “ฉันว่าหมาจรจัดอย่างแกคิดจะรนหาที่ตายสินะ?”

“ฮ่าๆ นิ่งซวน นายเองก็ไม่ดูเลยว่าตอนนี้นายมันน่าเวทนาแค่ไหน? ยังกล้าอวดดีต่อหน้าคุณชายจ้าวอีก?” ผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายจ้าวเจี้ยนหนิงพูดอย่างเหยียดหยาม

“ฮึๆ ช่างน่าหัวเราะจริงๆ คุณชายสี่ตระกูลนิ่งอันยิ่งใหญ่ ถึงกับตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้? เรียกคนที่ท่าทางมอซอคนหนึ่งว่าคนใหญ่คนโต แถมยังเคารพขนาดนั้น?” ผู้ติดตามอีกคนเยาะเย้ยถากถาง

ในมุมมองคนกลุ่มนี้ของจ้าวเจี้ยนหนิง นิ่งซวนก็คือคนป่วยที่ควรรีบไปพบแพทย์ พออับจนหนทาง ได้พบคนคนหนึ่งเข้า ก็บูชาราวกับเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นดาวนำโชคขนาดใหญ่

คนแซ่หลอนคนนี้ ใครมองไม่ออกบ้างว่ามีกี่ชั่งกี่ตำลึง?

สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวราวกับยังเรียนหนังสืออยู่มัธยมปลาย บอดี้การ์ดชาวต่างชาติที่ตามอยู่ด้านหลังก็เหมือนคนทึ่มทื่อไม่ขยับเขยื้อน

หน้าผากนิ่งซวนมีเหงื่อซึมออกมา มองหลินอิ่งอย่างระมัดระวัง หลินอิ่งสีหน้าสงบนิ่ง ความรู้สึกที่ลึกซึ้งยากคาดเดาส่งมาถึงเขา

จะว่าไปแล้ว กระทั่งเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจสถานะความเป็นมาที่แท้จริงของหลินอิ่งเท่าไหร่นัก รู้แต่ว่าประธานหลินเป็นยอดฝีมือที่ไม่ปรากฏที่ไหนบนโลก มีสถานะสูงศักดิ์ของผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง อีกทั้งตอนนั้นเขาเคยถามต่อหน้านายท่านนิ่งไท่จี๋ กระทั่งนายท่านตระกูลนิ่งก็ยังตอบอย่างเลี่ยงๆ ไม่ยอมเอ่ยอะไรมาก

แล้วจ้าวเจี้ยนหนิง ถึงกับกล้าคิดไปเองแล้วด่าประจานต่อหน้าประธานหลิน?

หากจ้าวเจี้ยนหนิงรู้ว่าที่ด่าอยู่ตรงหน้านี้คือผู้อาวุโสของตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง เกรงว่าเขาคงแทบอยากจะตบหน้าตัวเองสักสองที ณ ที่ตรงนั้นเลย

ประธานหลินทำอะไรยังคงเงียบเชียบเกินไป ผู้อื่นล้วนมองเงื่อนงำไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

“นิ่งซวน วันนี้เดิมทีฉันแค่ต้องการให้แกสละที่นั่งเท่านั้น แต่ว่า แกถึงกับกล้าอวดดีขนาดนี้” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวช้าๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นฉันคงได้แต่ใช้วิธีการบางอย่างแล้ว”

พูดจบ จ้าวเจี้ยนหนิงก็ดีดนิ้ว

“จับตัวนิ่งซวนให้ฉัน”

เวลานี้ ที่ด้านหลังจ้าวเจี้ยนหนิงมีรปภ.สองคนรีบเดินเข้ามา มองนิ่งซวนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

“คุณนิ่ง ขอเชิญคุณรีบออกไปจากร้านน้ำชาซินสุย ที่นั่งตรงนี้มอบให้แก่คุณจ้าวแล้ว” รปภ.ในชุดสูทกล่าวอย่างจริงจัง

“นี่พวกคุณหมายความว่ายังไง?” นิ่งซวนมองเหล่าพนักงานด้วยสายตาเย็นชา

คิดไม่ถึงว่าแม้แต่พนักงานในร้านน้ำชาซินสุย จะถึงกับกล้ารังแกเขาอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้ กระทั่งความเห็นเขาก็ไม่ถามสักคำ

ก่อนหน้านี้ก็จองที่นั่งไว้ตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนปรับเปลี่ยนเพียงแค่ประโยคเดียว เขานิ่งซวนกระทั่งหน้าตาก็ไม่เหลือแล้ว?

“นี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? ย่อมเป็นการดูถูกแกไงเล่า” จ้าวเจี้ยนหนิงทำท่าทางครุ่นคิดพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า” ฉันว่านะ นิ่งซวน นายก็อย่าอยู่ให้ขายหน้าอีกเลย ตัวนายเองไม่กลัวขายหน้า ในฐานะคนตระกูลนิ่งเหมือนกัน ฉันยังขายหน้าแทนเลย

“เอาล่ะ นิ่งซวน นายก็อย่าก่อความวุ่นวายในร้านน้ำชาผู้อื่นเลย รีบพาคนบ้านนอกคนนี้ไสหัวไปโดยเร็วเถอะ ฉันจะได้ไม่เห็นแล้วหงุดหงิด” จ้าวเจี้ยนหนิงใช้น้ำเสียงเทศนาพูดขึ้นมา

“ที่นั่งที่นิ่งซวนจอง แกมีสิทธิ์อะไรมานั่ง?” หลินอิ่งมองจ้าวเจี้ยนหนิง กล่าวเสียงเรียบ

ตอนที่เข้ามาในร้านน้ำชา หลินอิ่งก็มองท่าทีของนิ่งซวนกับอูหยาง และท่าทางอวดดีของคนแซ่จ้าว ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์บ้างแล้ว

ช่างเหนือความคาดหมายโดยแท้ คิดไม่ถึงว่านิ่งซวนอยู่ตี้จิงจะได้รับความลำบากขนาดนี้ กระทั่งออกมาดื่มชาก็ยังถูกคนกลั่นแกล้ง

อีกทั้ง นิสัยของนิ่งซวนกับอูหยางเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่มีราศีเหมือนในอดีตอีกแล้ว สามารถมองออกจากในดวงตาห่อเหี่ยวว่าแรงกดดันที่พวกเขาแบกรับมันมากมายขนาดไหน

“ฉันมีสิทธิ์อะไรมานั่ง?” บนหน้าจ้าวเจี้ยนหนิงเต็มไปด้วยความสนใจ ดวงตาพิจารณาหลินอิ่งใหม่อีกครั้งอย่างครุ่นคิด “ท่าทางการพูดของแกไม่เบาเลย? รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”

“แกเป็นใครเกี่ยวอะไรกับฉัน” หลินอิ่งกล่าวเสียงเรียบ “แกต้องเข้าใจด้วยว่า นี่ไม่ใช่ที่นั่งของแก”

“ไอหยา ท่าทางปากดีเหลือเกินนะ” มุมปากจ้าวเจี้ยนหนิงเผยรอยยิ้มเหยียดหยามออกมา กล่าวเสียงเย็นว่า “กูอยากนั่งตรงไหน มึงยุ่งได้เหรอ? นั่งที่ของมึง มึงไม่ยอมใช่ไหม?”

พูดจบ จ้าวเจี้ยนหนิงก็เดินอาดๆ ยกชากาหนึ่งขึ้นมาจากโต๊ะ จากนั้นก็รินให้ตัวเองหนึ่งแก้ว จิบด้วยท่าทางเกียจคร้าน

“จุ๊ๆ ชานี่เป็นชาหางมังกรสินะ และยังนานหลายปีด้วย นิ่งซวน ของล้ำค่าพวกนี้ แกใช้มาต้อนรับคนบ้านนอกเช่นนี้ ช่างสิ้นเปลืองจริงๆ” จ้าวเจี้ยนหนิงจิบชาอย่างเอื่อยเฉื่อย ทำท่าทางราวกับพูดเรื่องสำคัญอยู่

เห็นภาพนี้ นิ่งซวนมุมปากกระตุก ชาหางมังกรกานี้บนโต๊ะ เป็นใบชาล้ำค่าที่เขาเก็บรักษามาหลายปี ครั้งนี้ตั้งใจจะเอามาต้อนรับประธานหลิน ใบชาชั้นยอดเช่นนี้มีความพิถีพิถันมาก ก่อนที่จะดื่มจำเป็นต้องมีเทคนิค คิดไม่ถึงว่าจะถูกจ้าวเจี้ยนหนิงจะทำส่งๆ ตามอำเภอใจเช่นนี้ ทำให้เสียชาดีกาหนึ่งอย่างเปล่าๆ

จ้าวเจี้ยนหนิงมองหลินอิ่งอย่างชะล่าใจ กล่าวด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ไอ้โง่อย่างแก ยังจะยืนทำซากอยู่ทำไมอีก? รีบพาคนของแกไสหัวไปซะ รีบไปให้พ้นสายตาฉัน!”

“ลืมบอกมึงไป กูแซ่จ้าว ชื่อจ้าวเจี้ยนหนิง เป็นคนของตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส “นิ่งซวนบอกว่าแกเป็นคนใหญ่คนโต? ฮ่าๆ บางทีแกอาจจะมีเงินนิดหน่อยสินะ แต่ ทางที่ดีถามดูก่อนว่า แซ่จ้าวในตี้จิงมีความเป็นมายังไง”

หลินอิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย เขาย่อมรู้จักตระกูลจ้าว นี่ก็คือตระกูลชั้นสูงของประเทศหลงที่นั่งเทียบเคียงกับตระกูลฉี ตระกูลที่มีที่มาค่อนข้างลึกซึ้ง เพียงแต่ อุปนิสัยของตระกูลนี้ทั้งบนและล่าง ค่อนข้างใช้อำนาจบาตรใหญ่และยโสโอหัง ท่าทางคล้ายงูเจ้าถิ่นของตี้จิง

หลินอิ่งกล่าวเสียงเรียบ “แกเป็นคนตระกูลจ้าวแล้วยังไง? ”

“คนตระกูลจ้าวย่อมเก่งน่ะสิ! ” จ้าวเจี้ยนหนิงพูดอย่างทะนงตัว เหลือบมองหลินอิ่ง “นั่งที่แกเลยไม่พอใจใช่ไหม? อย่าว่าแต่ฉันจะนั่งที่ของแกเลย ต่อให้ฉันนั่งขี้บนหัวแก แกจะทำอะไรฉันได้ล่ะ?”

หลินอิ่งสีหน้าสงบนิ่ง เหลือบมองฮาเดสที่อยู่ข้างกาย

ฮาเดสเดินขึ้นหน้าไปสองก้าวด้วยท่าทางเฉยเมย หยุดอยู่ข้างโต๊ะชา จากนั้นก็มองลงมา จ้องจ้าวเจี้ยนหนิงอย่างเย็นชา กล่าวเสียงขรึมว่า “ลุกขึ้น! รีบไสหัวออกไปจากที่นี่!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท