ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 270 ที่ตีก็คือคนตระกูลจ้าว

บทที่ 270 ที่ตีก็คือคนตระกูลจ้าว

บทที่ 270 ที่ตีก็คือคนตระกูลจ้าว

“แกว่าอะไรนะ? ” จ้าวเจี้ยนหนิงเต็มไปด้วยความโกรธ เงยหน้าสบตาฮาเดสอย่างเดือดดาล “ไหนมึงลองพูดกับกูอีกครั้งสิ? ”

เขาไม่คาดคิดเลยว่า บอดี้การ์ดบ้านนอกที่มาจากไหนไม่รู้คนหนึ่ง ถึงกับกล้าบอกให้เขาไสหัวออกไป?

ตระกูลจ้าวแห่งตี้จิงมีชื่อเสียงขนาดนี้ แกไม่เคยได้ยินหรือไง?

“แกหูหนวกเหรอ? ฉันบอกให้แกไสหัวออกไป! ” ฮาเดสพูดเสียงขรึม

ฮาเดสอยากลงมือแต่แรกแล้ว ไอ้โง่แบบนี้ถึงกับกล้าแย่งที่นั่งของประธานหลินเชียวหรือ? เขาถึงคร้านจะสนใจตระกูลอะไรนั่น เขารู้แค่ว่า ไอ้คนแซ่จ้าวที่อยู่ตรงหน้านี้ เขาสามารถต่อยตายได้ด้วยหมัดเดียว

“ฮ่าฮ่าฮ่า” จ้าวเจี้ยนหนิงหัวเราะอย่างโกรธจัด “ช่างไม่รู้และไม่เกรงกลัวจริงๆ กบสองตัวที่ก้นบ่อ แกกำลังล่วงเกินคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้อยู่รู้ไหม? ”

“นิ่งซวน ฉันว่าแกอยู่ในวงสังคมตี้จิงอย่างสูญเปล่าจริงๆ ถึงได้ไปผูกมิตรกับคนไม่รู้จักตายเช่นนี้” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวอย่างเยาะหยัน

ในขณะที่กำลังพูด จ้าวเจี้ยนหนิงก็หยิบมือถือออกมา ราวกับเตรียมจะโทรเรียกคนมาที่นี่เพื่อจัดการหลินอิ่งกับฮาเดส

“อีกเดี๋ยวพวกแกสองคนก็จะรู้ตัวว่าผิดไปแล้ว” จ้าวเจี้ยนหนิงหยิบมือถือกล่าวอย่างชะล่าใจ

ฮาเดสมีท่าทีเฉยเมย จู่ๆ ก็เอื้อมมือออกไปบิดข้อมือของจ้าวเจี้ยนหนิงไว้ มีเสียงโครมครามเกิดขึ้น มือถือของเขากระแทกลงกับพื้น

“เฮ้ย! แกทำอะไร? ” จ้าวเจี้ยนหนิงจ้องฮาเดสอย่างโกรธจัด “ไอ้บ้านนอก ยังไม่ปล่อยมือสกปรกของแกอีก! ”

เขาไม่รู้ว่าบอดี้การ์ดคนนี้เอาความกล้ามากมายมาจากที่ไหน ถึงกับกล้ามาขัดจังหวะเขาโทรศัพท์

อีกทั้งแรงขนาดนี้มันเกินไปแล้วหรือเปล่า? แค่บีบเฉยๆ ข้อมือก็รู้สึกราวกับถูกคีมขนาดใหญ่หนีบไว้ สามารถหักได้ทุกเมื่อ

“ถ้ายังไม่ปล่อยอีก วันนี้กูจะฆ่าพวกมึงสองคนให้ตายราวกับหมาตัวหนึ่ง! ” จ้าวเจี้ยนหนิงพูดอย่างโกรธจัด จ้องฮาเดสด้วยสายตาดุร้าย

ฮาเดากล่าวเสียงเย็นว่า “โทรเรียกคนต่อหน้าประธานหลิน ฉันว่าแกคงอยากตายสินะ”

เพี๊ยะ!

สิ้นคำ ฮาเดสก็ยกมือแล้วสะบัดฝ่ามือลงบนหน้าจ้าวเจี้ยนหนิง จนสมองเขาอื้ออึงไปหมด

“โอ๊ย! ” จ้าวเจี้ยนหนิงร้องเสียงหลง รู้สึกอับอายอย่างมาก เผยสายตาไม่อยากจะเชื่อออกมา

เกิดเสียงพลั่กดังขึ้น

ยังไม่ทันที่จ้าวเจี้ยนหนิงจะได้ตอบสนอง จู่ๆ ฮาเดสก็จับไหล่เขาไว้ แล้วยกตัวเขาออกจากที่นั่งอย่างรุนแรง จนกระเด็นไปไกลถึงสิบกว่าเมตร กระแทกกับกำแพงอย่างแรง ล้มหัวคะมำ แล้วหล่นลงกับพื้นเสียงดังพลั่ก

“ที่นั่งของประธานหลินแกก็กล้าแย่งหรือ? ไสหัวไป!” ฮาเดสพูดเสียงเย็น

“ไอ้บ้านี่ กล้าลงมือเหรอ? เรื่องในวันนี้ไม่จบแน่!” จ้าวเจี้ยนหนิงยืนขึ้นใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ เผยสายตาอยากฆ่าคนออกมา ถลึงตามองหลินอิ่งกับฮาเดสอย่างดุร้าย

“คุณชายจ้าว คุณไม่เป็นไรนะ? ”

“นิ่งซวน แกจบเห่แล้ว ถึงกับกล้าร่วมมือกับไอ้บ้านนอกไม่รู้จักที่ตาย มาลงมือกับคุณชายจ้าว! ตระกูลนิ่งต้องลบชื่อแกทิ้งแน่!”

ในเวลานี้ ผู้ติดตามที่ข้างกายจ้าวเจี้ยนหนิงต่างล้อมวงกันเข้ามา แต่ละคนมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว

จ้าวเจี้ยนหนิงเป็นเจ้านายของพวกเขา ประธานหลินที่นิ่งซวนรู้จักคนนี้ถึงกับกล้าไม่เห็นคุณชายจ้าวอยู่ในสายตา ช่างกินใจหมีดีเสือมาจริงๆ

ผู้ติดตามกลุ่มนี้แต่ละคนถลึงตามองด้วยความโกรธและสบตากัน แต่หลังจากเห็นความสูงมากกว่าสองเมตรและแขนที่เต็มไปด้วยแรงระเบิดของฮาเดส ต่างก็หดตัว ไม่กล้าไปยั่วโมโหบอดี้การ์ดผู้โมโหร้ายคนนี้อีก

“ได้บอดี้การ์ดหน้าโง่คนนี้ของแก นิ่งซวน แล้วก็ไอ้คนแซ่หลินอีกคน พวกแกแต่ละคน วันนี้อย่าคิดว่าจะออกไปจากร้านน้ำชาซินสุยอย่างสงบ!” จ้าวเจี้ยนหนิงใบหน้าเต็มไปด้วยการไม่ยอมแพ้ ยกมือชี้พวกหลินอิ่ง ท่าทางอวดดีอย่างยิ่ง

“ใช่แล้ว วันนี้พวกแกแต่ละคนใครก็อย่าได้คิดจะจากไป จะต้องคุกเข่าโขกหัวชดใช้ความผิดให้คุณชายจ้าวก่อนถึงจะได้”

“ก็บอกพวกแกแล้วว่าคุณชายจ้าวเป็นคนของตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง ถึงกับยังกล้าอวดดีขนาดนี้ ช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริง!”

ผู้ติดตามข้างกายจ้าวเจี้ยนหนิงก็ช่วยพูดสำทับเช่นกัน ร้องตะโกนใส่พวกหลินอิ่งอยู่สักพัก

พวกเขาแทบจะคาดเดาจุดจบของพวกหลินอิ่งได้อย่างแน่นอนแล้ว คนที่แตะต้องตระกูลจ้าวในเขตเสิ่นหนง นั่นก็คือการกระตุกหนวดเสือดีๆ นี่เอง ไม่มีทางมีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน

ด้วยอิทธิพลของคุณชายจ้าว การอยู่ขอบเขตนี้ในเขตเสิ่นหนง คือการขานรับสนั่นเมือง

แม้แต่จักรพรรดิใต้ดินของเขตเสิ่นหนง ก็ต้องไว้หน้าให้คุณชายจ้าวหลายส่วน

“ที่ตีก็คือคนตระกูลจ้าว” หลินอิ่งพูดเนิบๆ “ให้พวกเขาหุบปาก และโยนพวกเขาทั้งหมดออกไป”

เขาไม่สนใจที่จะเสวนาเรื่องไร้สาระกับคนตระกูลจ้าวไปมากกว่านี้

พฤติกรรมของตระกูลจ้าว เป็นที่รู้จักกันดีในตี้จิง จากเบื้องบนถึงเบื้องล่าง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลชั้นสุงหรือตระกูลต่ำต้อย ก็ล้วนมีท่าทางราวกับราชาแห่งสวรรค์ เห็นตี้จิงเป็นสวนหลังบ้านของตระกูลจ้าว จะทำตามอำเภอใจอย่างไรก็ได้

“ครับ” ฮาเดสพยักหน้าอย่างนอบน้อม จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปหาพรรคพวกของจ้าวเจี้ยนหนิง

“โยนออกไป? แม่แกสิ กูยังไม่เคยเห็นใครที่กำเริบเสิบสานอย่างมึงเลย!” จ้าวเจี้ยนหนิงใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ คิดจะพุ่งเข้าไปตบหน้าสักฉาด กลับถูกฮาเดสข่มไว้จนไม่กล้าขยับเขยื้อน

เขาไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมถึงได้มีคนสมองทึบแบบนี้ได้ แถมที่ตีก็คือคนตระกูลจ้าว? คนแซ่หลินคนนี้ต้องมีชีวิตอีกกี่ชีวิตกันถึงจะเพียงพอให้ทรมาน?

เกิดเสียงเพี๊ยะดังขึ้น

ฮาเดสพุ่งเข้าไปตบหน้าพวกขาสุนัขที่ยังร้องตะโกนกลุ่มนั้นจนฟกช้ำดำเขียว พวกเขาจึงปิดปากแต่โดยดี

“แก! แก!” จ้าวเจี้ยนหนิงมองฮาเดสอย่างตื่นตระหนกอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าฮาเดสจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้ ลงมือเร็วเกินไปแล้ว

“ไสหัวไป! ”

ฮาเดสจับจ้าวเจี้ยนหนิงไว้ ราวกับโยนขยะ สะบัดมือหนึ่งที จ้าวเจี้ยนหนิงก็ถูกโยนออกไปนอกห้อง ล้มลงบนระเบียงทางเดินยาวกลิ้งไปหลายตลบ

จากนั้น ฮาเดสก็โยนพนักงานตัวเล็กๆ ที่ปากพล่อยเหล่านั้นออกไปจากที่นั่งวีไอพีทีละคนราวกับหิ้วไก่ พวกเขาร้องตะโกนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด

“ไปเฝ้าข้างนอกประตู อย่าให้คนมารบกวนฉันคุยธุระ” หลินอิ่งกล่าวเสียงเรียบ

อาเดสพยักหน้า เดินออกจากห้องน้ำชาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พลิกมือปิดประตู เฝ้าอยู่หน้าประตู ลดสายตาลงมองพวกจ้าวเจี้ยนหนิง

“แกตายแน่! อย่าคิดว่าร่างกายสูงใหญ่แล้วจะทำตัวโอหังได้ การสูงสามารถหยิ่งได้! ” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว

ฮาเดสมองเขาอย่างเย็นชา จ้าวเจี้ยนหนิงรีบกุมใบหน้าที่บวมเป่งของเขาแล้วหลบฉากออกไป เพราะกลัวว่าชาวต่างชาติคนนี้จะพุ่งเข้ามาตบเขาอีกสองครั้ง

“ไปก่อน! ” จ้าวเจี้ยนหนิงพูดอย่างไม่ยอมแพ้ เรียกผู้ติดตามข้างกาย “พวกแกจับตาดูร้านน้ำชาซินสุยไว้ ตอนนี้ฉันจะโทรหาคน ไอ้คนแซ่หลินกับนิ่งซวน หนีไม่พ้นแน่ วันนี้ฉันจะต้องจัดการพวกแกสองคน!”

“คุณชายจ้าว เราจะจับตาดูห้องพวกเขาไว้อย่างแน่นอน นิ่งซวนกับไอ้คนแซ่หลินคนนั้นก็คือกลุ่มคนโง่ แตะต้องคุณแล้ว ยังกล้านั่งดื่มชาอยู่ที่นี่อีก ช่างอวดดีเกินไปแล้ว ด้วยอิทธิพลของคุณ ต้องการจัดการพวกเขา ก็ง่ายดายเหมือนบี้มด” ผู้ติดตามคนหนึ่งกล่าวอย่างประจบ

ด้วยเหตุนี้ จ้าวเจี้ยนหนิงจึงเดินลงไปชั้นล่างด้วยสีหน้าเย็นเยียบ รีบโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว ติดต่อผู้ช่วย

วันนี้เขาต้องคิดวิธีหาทางกลับไปที่นั่น สุนัขจรจัดอย่างนิ่งซวน ถึงกับกล้าร่วมมือกับไอ้บ้านนอกคนหนึ่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ภายใต้หน้าตาเขา ตีคนแล้วถึงกับยังกล้านั่งดื่มชาอยู่ที่นี่อีก นี่ถือเป็นการไม่เห็นคุณชายตระกูลจ้าวผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง

จ้าวเจี้ยนหนิงยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ต่อสายอยู่หลายครั้ง เพื่อต้องการหาคนมาล้อมร้านน้ำชาซินสุยไว้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท