ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 271 ขอร้องผู้อาวุโสช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้ด้วย

บทที่ 271 ขอร้องผู้อาวุโสช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้ด้วย

บทที่ 271 ขอร้องผู้อาวุโสช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้ด้วย

ณ ผิ่นซานเหอ ภายในห้องดื่มชา

หลินอิ่งเดินอาดๆ เข้ามานั่งบนเก้าอี้หนา ยกชาหอมกาหนึ่งขึ้นมาจิบคำเล็กๆ

“ประธานหลิน ขอโทษด้วย จ้าวเจี้ยนหนิงมีความแค้นส่วนตัวกับผม วันนี้บังเอิญพบเขาเข้าพอดี ทำให้คุณขบขันแล้ว” นิ่งซวนเอ่ยอย่างขอลุแก่โทษ สีหน้ารู้สึกผิดอย่างมาก

“ประธานหลิน ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ ไม่รู้ว่าหมู่นี้คุณสบายดีไหม?” อูหยางยิ้มทักทาย แววตามีความหวาดกลัวอยู่บ้าง

เป็นฝ่ายเชื้อเชิญประธานหลินมา กลับกลายเป็นว่าในห้องพิเศษที่จองไว้จะเกิดเรื่องที่ทำให้คนรำคาญใจเช่นนี้ พวกเขาสองคนภายในใจจึงรู้สึกเคร่งเครียดไม่ใช่น้อย ไม่รู้ว่าประธานหลินจะตำหนิหรือไม่

หลินอิ่งยิ้ม กล่าวเสียงราบเรียบว่า “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องใส่ใจ”

“ครับ” นิ่งซวนพยักหน้ายิ้มๆ

“แต่ว่า ประธานหลิน อยากให้ผมจัดการให้ใหม่ไหมครับ เปลี่ยนที่คุยธุระกัน?” นิ่งซวนกล่าวอย่างระมัดระวัง “คุณให้บอดี้การ์ดเล่นงานจ้าวเจี้ยนหนิงที่นี่ ผมรู้จักนิสัยจ้าวเจี้ยนหนิงดี คนคนนี้ใจคอคับแคบ ไม่มีทางเลิกราง่ายๆ แน่ เวลานี้อาจจะกำลังโทรหาพรรคพวกกลับมายังที่นี่”

ไม่จำเป็นต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ด้วยนิสัยวางอำนาจไม่สนกฎเกณฑ์ของจ้าวเจี้ยนหนิง จะกล้ำกลืนความโกรธนี้ลงไปได้อย่างไร?

เห็นหลินอิ่งไม่แสดงท่าทีอะไร นิ่งซวนก็นิ่งไปสักพัก แล้วกล่าวว่า “ประธานหลิน ผมไม่ได้กังวลว่าคุณจะจัดการเขาไม่ได้ แต่คนอย่างจ้าวเจี้ยนหนิงอยู่ในเขตเสิ่นหนงนับว่ามีอิทธิพลอยู่มาก เรียกคนมาก่อกวนที่นี่ จะรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของคุณได้”

“คุยธุระที่นี่แหละ ไม่ต้องสนใจเจ้าคนแซ่จ้าวนั่นหรอก” หลินอิ่งพูดด้วยท่าทางสบายๆ “หากเขายังกล้ามาที่นี่อีก แค่จัดการเขาก็พอ”

นิ่งซวนผงกศีรษะ ไม่กล้าค้านความเห็นของหลินอิ่งอีก

อิทธิพลที่หลินอิ่งวางไว้ที่นั่น อาศัยจ้าวเจี้ยนหนิงลูกเขยของตระกูลนิ่งแค่คนเดียว คิดจะทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลนิ่งอันยิ่งใหญ่สั่นคลอน นั่นถือเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี

“ทำไมพวกนายสองคนถึงดูหน้าซีดกันจัง? เป็นเพราะเรื่องยุ่งยากที่นายพูดถึง?” หลินอิงกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง

ว่ากันตามตรง พอหลินอิ่งเห็นท่าทางตกอับของนิ่งซวนกับอูหยางแล้ว ภายในใจก็รู้สึกทอดถอนใจอยู่บ้าง

ตอนที่อยู่เมืองชิงหยูนนั้น สองคนนี้ช่างองอาจห้าวหาญเสียเหลือเกิน

แต่พอกลับมาอยู่ตี้จิงแค่ไม่กี่เดือน แทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อถลำลึกลงไปในวังวนแห่งผลประโยชน์เหล่านี้ ก็มากพอที่จะทำลายจิตใจของคนคนหนึ่งได้

นิ่งซวนตกตะลึงเพราะได้รับความเมตตามากจนเกินไปอยู่บ้าง เขากล่าวว่า “ขอบคุณประธานหลินที่ห่วงใย ระยะนี้สถานการณ์ภายในตระกูลนิ่งตึงเครียดมากเกินไป หลายวันมานี้ทำให้เส้นผมทั้งศีรษะของผมจวนจะหงอกขาวหมดแล้ว แล้วผมก็หาทางแก้ไม่ได้ เลยบังอาจมาขอให้ประธานหลินช่วยออกหน้า”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวว่า “พูดมาเถอะ ตอนนี้ตระกูลนิ่งเป็นยังไงบ้าง นายท่านนิ่งไท่จี๋ล่ะ?”

นิ่งซวนนิ่งคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็กล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “คืออย่างนี้ครับ ตอนแรกผมอยู่ที่ตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงยังพอจะมั่นคงอยู่ แต่เดือนที่แล้ว ตอนที่พ่อผมไปจัดการธุระของบริษัทที่ประเทศM จู่ๆ ก็หายตัวไป ซากเครื่องบินส่วนตัวก็หาเจอแล้วเช่นกัน บางทีอาจจะประสบเคราะห์……”

พอพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนิ่งซวนก็สะอื้นเล็กน้อย เพราะแทบจะยืนยันได้ว่า พ่อของเขาเสียชีวิตแล้ว

“เพราะเรื่องนี้ ผมเคยคิดจะส่งคนไปสืบที่ประเทศM แต่จู่ๆ กลับถูกเบื้องบนของบริษัททราบเข้า ทรัพย์สินของผมในตี้จิงก็ถูกอายัดทั้งหมด แม้แต่พนักงานที่อยู่ในสังกัดพ่อตั้งแต่เริ่มแรก ก็ยังถูกย้ายออกไปหมด กระทั่งคนที่ผมไว้ใจพอจะเรียกใช้ได้ ก็ไม่มี” นิ่งซวนกล่าวช้าๆ

“ต่อมา ผมคิดจะไปหานายท่านที่วิลล่าไท่จี๋ แต่กลับกลายเป็นว่า ถูกคนขวางไว้ บอกว่าสุขภาพของนายท่านอยู่ในอาการสาหัส ไม่อาจพบใครได้”

“ไม่กี่วันมานี้ คุณชายใหญ่ตระกูลนิ่งนิ่งเซวียนก็ออกหน้า บังคับให้ผมไปเซ็นสัญญา นำพ่อแม่ของผมรวมถึงทรัพย์สินของผมทั้งหมดโอนย้ายไปให้คณะกรรมการผู้อาวุโสที่อยู่เบื้องบนของตระกูลนิ่ง เพื่อทำการจัดสรรใหม่อีกครั้ง” นิ่งซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักหน่วง “แต่ผมปฏิเสธไป หลังปฏิเสธ ก็พบกับคำขู่ของนิ่งเซวียน……”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟังรายละเอียดที่นิ่งซวนพูด เรื่องนี้คงไม่ธรรมดาเสียแล้ว เห็นได้ชัดว่าภายในตระกูลนิ่งพุ่งเป้าไปที่ครอบครัวของนิ่งซวน

แม้นิ่งซวนอยู่ในตระกูลนิ่งจะไม่นับว่าโดดเด่น แต่พ่อของเขาอยู่ในตระกูลนิ่งนับว่ามีอำนาจคนหนึ่ง เป็นผู้สืบทอดลำดับที่สามของตระกูลนิ่ง มีความสามารถไม่น้อยในตี้จิง

แต่กระทั่งบิดาของนิ่งซวนก็ตกเป็นเหยื่อของแผนการนี้ เครื่องบินตกและหายสาบสูญอยู่ในประเทศM

ด้วยเหตุนี้แสดงว่า มือมืดที่อยู่เบื้องหลังต้องอยู่ในระดับที่ใหญ่มาก อีกทั้งอำนาจและอิทธิพลก็ไม่น้อยอย่างแน่นอน

“แล้วนิ่งจองเป่าล่ะ? ฉันเตือนเขาแล้วไม่ใช่เหรอ?” หลินอิ่งถาม

“นิ่งจองเป่า ผมไปหาเขาแล้ว” นิ่งซวนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ตอนนี้ผมอยู่ในตระกูลนิ่งเป็นแค่คนนอกคอกคนหนึ่ง ไม่ได้พบหน้าพวกที่อยู่เบื้องบนเลยสักคน นิ่งจองเป่าก็คงพยายามหลบหน้าผมเหมือนกัน อีกทั้ง ผมสงสัยว่าเรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา”

มุมปากของหลินอิ่งปรากฏเป็นเส้นโค้งขึ้น ช่างน่าสนใจจริงๆ

นิ่งจองเป่าเป็นหนึ่งในผู้ดูแลตระกูลนิ่ง รู้ฐานะผู้อาวุโสตระกูลนิ่งของตน ตัวเขาเองยังเคยไปเตือนนิ่งจองเป่าด้วยตนเอง ว่านิ่งซวนเป็นคนในปกครองของเขา

เขาถึงกับยังกล้าไม่แยแส? นี่แสดงว่าไม่ถือเอาคำพูดเขาเป็นจริงจัง?

นิ่งซวนเห็นหลินอิ่งไม่แสดงท่าทีอะไร จึงกล่าวว่า “ประธานหลิน เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้”

หลินอิ่งจิบชาหนึ่งอึก กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “อยากให้ฉันช่วยยังไง?”

“ผม……” นิ่งซวนมีท่าทีลังเลอยู่สักพัก หลับตาจมอยู่กับความคิดอยู่นาน กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ประธานหลิน ผมขอร้องเพียงให้คุณช่วยผมสืบที่อยู่ของพ่อผมให้กระจ่าง ผมแค่อยากแก้แค้นให้พ่อผม!”

“คุณเป็นผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง เรื่องของพ่อผมมากกว่าครึ่งคงไม่พ้นเกี่ยวข้องกับเบื้องบนของตระกูลนิ่ง ผมขอเพียงให้ผู้อาวุโสช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้ผมสักครั้ง! ผมนิ่งซวน ชาตินี้ไม่ได้ตอบแทน ชาติหน้าก็จะขอเป็นวัวเป็นม้าให้คุณ!” นิ่งซวนก้มหน้าพูด แววตาเต็มไปด้วยความจริงใจ และเฝ้ารอไปพร้อมกัน

“สำหรับกิจการภายใต้ชื่อของผมรวมถึงที่พ่อแม่ผมทิ้งไว้ให้ ทรัพย์สินและอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดของผู้สืบทอดลำดับที่สามของตระกูลนิ่ง ก็ขอมอบให้ผู้อาวุโสทั้งหมด!” นิ่งซวนกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

ในฐานะเด็กอัจฉริยะที่ตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ซ้ำอยู่เมืองตุงไห่ยังก่อตั้งตุงไห่ด้วยตนเอง ผ่านเรื่องราวมามากมายนับไม่ถ้วน นิ่งซวนย่อมไม่ใช่พวกสมองทึบ มาขอให้หลินอิ่งช่วยฟรีๆ โดยไร้เหตุผล

ดังนั้น เขาขอร้องเพียงให้หลินอิ่งช่วยแก้แค้น เพราะนี่เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด เรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกิจการและผลประโยชน์ของตระกูลนิ่ง เขาจะไม่บีบบังคับ นั่นเท่ากับเป็นการดึงผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งร่างกาย ต่อให้หลินอิ่งมีฐานะเป็นผู้อาวุโส คณะกรรมการผู้อาวุโสที่อยู่เบื้องบนของตระกูลนิ่งก็คงไม่ยอมรับเช่นกัน

สถานการณ์ในตอนนี้ นิ่งซวนเข้าใจเป็นอย่างดี ตัวเขาไม่มีอำนาจที่จะปกป้องทรัพย์สินอันมหาศาลที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ ถึงขั้นที่กำลังที่จะปกป้องตัวเองยังไม่มี

โดยเฉพาะ เครื่องบินตกและการหายสาบสูญของพ่อแม่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการที่มีคนตั้งใจทำให้มันเกิดขึ้น

นิ่งซวนมีเพียงความหวังที่ใหญ่ที่สุด นั่นก็คือการแก้แค้นให้พ่อกับแม่ ทวงคืนความยุติธรรม ส่วนทรัพย์สินเงินทองอะไรนั่น ก็แค่ของนอกกายเท่านั้น

หลินอิ่งกล่าวว่า “ฉันจะช่วยทวงคืนความยุติธรรมให้นาย

“ส่วนทรัพย์สินที่นายพูดมา ฉันไม่ต้องการ” หลินอิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

เขาเคยบอกคนตระกูลนิ่งแต่แรกแล้วว่า นิ่งซวนคือคนในปกครองของตนเอง พวกเขายังกล้าลงมือ นี่เท่ากับเป็นการตบหน้าเขา

โดยเฉพาะ ยังเป็นการสังหารเรียบอีกด้วย กำจัดพ่อแม่ของนิ่งซวนก่อน จากนั้นก็ฮุบสมบัติ ไม่มีใครสนใจหน้าตาผู้อาวุโสของตระกูลนิ่งอย่างเขาโดยสิ้นเชิง

ตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงก็ไม่รู้ว่าก่อเรื่องบ้าบออะไรขึ้นมา จำเป็นต้องไปเองสักเที่ยวแล้ว!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท