ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 272 แกถูกล้อมแล้ว

บทที่ 272 แกถูกล้อมแล้ว

บทที่ 272 แกถูกล้อมแล้ว

“ขอบคุณประธานหลิน!” นิ่งซวนสีหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

เขารู้ คนอย่างประธานหลินคำพูดดั่งทองคำ นั่นก็คือไม่มีกลับคำอย่างแน่นอน วาจาหนักแน่นดุจกระถางเก้าติ่ง!

สิ้นคำ นิ่งซวนก็โค้งกาย ท่าทางจริงใจ ต้องการคุกเข่าคำนับแสดงความขอบคุณ

นิ่งซวนรู้ว่าการช่วยเขาจะต้องจ่ายราคาสูงมากเพียงใด จำเป็นต้องแบกรับความเสี่ยงมากแค่ไหน

ในยามที่เขากำลังอับจนหนทาง ชีวิตตกต่ำ ประธานหลินถึงกับเลือกที่จะช่วยเหลือเขาอย่างไม่ลังเล นี่ทำให้ภายในใจเขารู้สึกเหมือนไหว้พระโพธิสัตว์ถูกองค์จริงๆ การคำนับนี้ ถือว่าสมควรแล้ว!

“เดี๋ยว” หลินอิ่งห้ามไว้เสียงเย็น “นิ่งซวน หลังฉันช่วยแก้แค้นให้พ่อแม่นายได้แล้ว นายค่อยคำนับก็ยังไม่สาย อีกอย่าง ฉันเองก็ไม่ต้องการพิธีจอมปลอมเหล่านี้ด้วย”

“ครับ” นิ่งซวนก้มศีรษะอย่างนอบน้อม

บุคลิกและความองอาจของหลินอิ่งช่างทำให้คนรู้สึกอับอายจนเหงื่อตกจริงๆ น่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

ไม่สนใจเขานิ่งซวนที่เป็นผู้รับมรดกทรัพย์สินมูลค่ามากกว่าหมื่นล้าน และไม่สนใจพิธีจอมปลอมเหล่านี้ด้วย

มีเพียงคำว่า คุณธรรมสูงส่ง

“เอาล่ะ นิ่งซวน ตอนนี้นายพาฉันไปสำนักงานใหญ่ของตระกูลนิ่งที” หลินอิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครับ!” นิ่งซวนกล่าวพร้อมกับภายในใจรู้สึกตื่นเต้น มีผู้อาวุโสช่วยออกหน้า เขาสามารถเงยหน้ากลับสำนักงานใหญ่ตระกูลนิ่งได้เสียที

ตึงๆๆ!

ในเวลานี้เอง จู่ๆ ที่ด้านนอกประตูก็มีเสียงดังโครมครามเป็นชุด ราวกับเสียงร่างคนกระแทกกับกำแพง

หลินอิ่งลุกขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เดินออกจากห้องดื่มชา นิ่งซวนกับอูหยางก็เดินตามหลังมาด้วยเช่นกัน

ที่ด้านนอกห้อง มีบอดี้การ์ดร่างสูงใหญ่หลายคนนอนระเกะระกะ ร้องโหยหวนอยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนา

ส่วนฮาเดสที่เฝ้าอยู่นอกประตู เวลานี้ได้ลงมือแล้ว ต่อสู้ตะลุมบอนกับบอดี้การ์ดชุดดำกลุ่มใหญ่ แทบจะเป็นหนึ่งหมัดต่อหนึ่งคน ต่อยกระเด็นไปติดกำแพง ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาไม่หยุด

แต่คนที่มาราวกับจะมีมากขึ้น หลินอิ่งทอดสายตามองไป ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่และทางขึ้นบันได ล้วนเต็มไปด้วยสมุนชุดดำที่แผ่กลิ่นอายคุกคามออกมา

“แม่ง ทำไมมันเก่งจังวะ?” จ้าวเจี้ยนหนิงด่าออกมาประโยคหนึ่ง มองฮาเดสกับหลินอิ่งอย่างเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

และคิดไม่ถึงเช่นกันว่า บอดี้การ์ดของหลินอิ่งจะเก่งขนาดนี้ ล้มคนสิบกว่าคนได้อย่างง่ายดายตามใจนึกเหมือนกับดื่มน้ำกินข้าว

และบอดี้การ์ดชุดดำกลุ่มใหญ่นั้น ล้วนไม่ยอมบุกเข้ามาอีก แต่ละคนต่างก้าวถอยหลัง มองฮาเดสด้วยสายตาหวาดกลัว

“ประธานหลิน ไอ้หมาโง่ตัวนั้นระดมคนมาที่นี่อีกแล้วครับ” ฮาเดสกล่าวรายงาน

มุมปากของหลินอิ่งเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา จ้าวเจี้ยนหนิงผู้นี้ช่างไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ นี่จะสักแค่ไหนเชียว?

ตอนที่ตัวเขากำลังดื่มชากับนิ่งซวน ก็ระดมคนมามากมายขนาดนี้เพื่อมาหาเรื่องเขาที่นี่

จ้าวเจี้ยนหนิงกว่าวอย่างอวดดีว่า “ไอ้คนแซ่หลิน รีบไสหัวออกมาคุกเข่าขอโทษกูเดี๋ยวนี้! ร้านน้ำชาซินสุยถูกกูเคลียพื้นที่หมดแล้ว รอบๆ นี้เป็นคนของกูทั้งหมด มึงถูกล้อมแล้วรู้ไหม?”

“หลินอิ่ง มึงได้ยินไหม? หากไม่ยอมทำตามแต่โดยดี วันนี้กูจะตีมึงให้พิการอยู่ที่นี่!” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวอย่างวางอำนาจ ทำท่าทางราวกับคุมเกมไว้หมดแล้ว

พูดจบ จ้าวเจี้ยนหนิงก็ดีดนิ้วทีหนึ่ง ที่ด้านข้างมีคนสองสามคนรีบเดินออกมา พร้อมกับเสียงเคร้งคร้างของอาวุธ จ้องหลินอิ่งด้วยสายตาโหดเหี้ยม

นอกจากนี้ ที่ข้างกายจ้าวเจี้ยนหนิงยังมีสองสามคนที่หยิบถุงห่อคันเบ็ดตกปลาสีดำออกมา ท่าทางเตรียมพร้อมจะบุกได้ทุกเมื่อ

พอเห็นท่าทางเช่นนี้ นิ่งซวนก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาแล้วเช่นกัน กล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธๆ ว่า “จ้าวเจี้ยนหนิง นายคิดจะทำอะไร? นายกล้าพาคนมาล้อมประธานหลินเหรอ?”

เขาเองก็คิดไม่ถึงว่า จ้าวเจี้ยนหนิงจะทำตัวบ้าบิ่นและเสียสติเช่นนี้ ระดมคนมาล้อมร้านน้ำชาซินสุยตั้งมากมายขนาดนี้ ถึงขั้นยังนำอาวุธหนักมาด้วย

“แกยังจะเรียกมันว่าประธานหลินอีกเหรอ? มันนับเป็นตัวอะไรได้? ที่แกเคารพมัน นั่นเป็นเพราะแกนิ่งซวนแกมันเป็นเศษสวะ!” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวอย่างหยิ่งผยอง “ในสายตาฉัน หลินอิ่งที่ออกมาจากปากแก ก็คือขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น

“ความอดทนของฉันมีจำกัด หลินอิ่ง แล้วก็นิ่งซวน พวกแกสองคนรีบคุกเข่าโขกหัวเดี๋ยวนี้!” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวเสียงเย็น “ขอบอกพวกแกไว้ก่อนว่า เรื่องในวันนี้คงพูดดีกันด้วยไม่ได้แล้ว ไม่ยอมยกที่นั่งให้ฉัน? เพื่อบีบให้ฉันระดมคนมาให้ได้สินะ?”

“หึหึ บีบให้คุณชายจ้าวนำคนมาที่นี่ คราวนี้ ต่อให้พวกแกขอโทษก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้แล้ว” ชายหัวล้านหน้าตาโหดเหี้ยมคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายจ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวพร้อมกับหัวเราะเยาะ

ชายหัวล้านคนนี้คือผู้ช่วยที่จ้าวเจี้ยนหนิงจ้างมา เขาพอจะมีตำแหน่งอยู่บ้างในโลกใต้ดินของเขตเสิ่นหนงแห่งตี้จิง

“คุณชายจ้าว ดูท่าว่า กลุ่มของพวกเขาจะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา คุณพูดมาได้เลย จะตัดแขนหรือตัดขา?” ชายหัวล้านเอ่ยออกมาตามอำเภอใจ ราวกับเห็นพวกหลินอิ่งเป็นแกะแพะที่เชือดได้ตามใจ

“หักขาไอ้หลินอิ่งคนนั้นให้ฉันก่อน ค่อยตัดมือบอดี้การ์ดของมัน!” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวอย่างดุร้าย

พอคิดถึงก่อนหน้านี้ที่หลินอิ่งสั่งให้บอดี้การ์ดตบหน้าเขา เขาก็แทบรอคอยที่จะเหยียบหลินอิ่งไว้ใต้ฝ่าเท้าไม่ไหวแล้ว

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา” ชายหัวล้านพูดด้วยท่าทางลำพองใจ

“จ้าวเจี้ยนหนิง นายรีบบอกให้คนของนายหยุดมือซะ หากวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับประธานหลินอยู่ที่ร้านน้ำชาซินสุยล่ะก็ ตระกูลจ้าวของพวกนายได้เกิดเรื่องใหญ่แน่!” นิ่งซวนกล่าวเสียงขรึม

เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของหลินอิ่งอยู่บ้างจริงๆ ท่าทางแบบนี้ จ้าวเจี้ยนหนิงระดมคนมาอย่างน้อยกว่าร้อยคน แถมยังใช้อาวุธด้วย ส่วนประธานหลินพาบอดี้การ์ดมาแค่คนเดียว ไม่แน่ว่าจะรับมือไหว

โดยเฉพาะจ้าวเจี้ยนหนิงที่ยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของประธานหลิน นี่จะก่อให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น อาจเป็นความยุ่งยากใหญ่หลวง

“ตระกูลจ้าวจะเกิดเรื่องใหญ่? ฮ่าๆๆ!” จ้าวเจี้ยนหนิงหัวเราะเสียงดัง “นิ่งซวนหนอนิ่งซวน แกนี่มันโง่จริงๆ ฉันทำความเข้าใจหลินอิ่งแล้วได้อะไร? เขาจะทำอะไรฉันได้?”

หลินอิ่งยิ้มเย็นไม่พูดจา กำลังจะสั่งให้ฮาเดสไปจับตัวจ้าวเจี้ยนหนิงไว้

ครืดๆ

ในเวลานี้เอง มือถือของหลินอิ่งก็ดังขึ้น

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับรับสาย

“ผู้อาวุโส ผมนิ่งจองเป่าเอง รบกวนทางคุณแล้ว ได้ยินว่า คุณมาตี้จิง? ทำไมไม่โทรบอกผมเลยครับ ให้ผมได้มีโอกาสเลี้ยงต้อนรับคุณบ้าง” ปลายสาย เป็นเสียงของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ากระตือรือร้นเป็นอย่างมาก

“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมมาตี้จิง?” หลินอิ่งถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“อ้อ ผู้อาวุโส คุณมาตี้จิงแล้วจริงๆ ด้วย!” นิ่งจองเป่าเอ่ยอย่างประหลาดใจ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกขึ้นมา “ผม ผมได้ยินมาจากลูกน้องน่ะ ได้ยินว่าวันนี้นิ่งซวนนัดพบประธานหลิน ผมก็เลยเดาได้”

“ครั้งนี้คุณคงไม่ได้พบเจอเรื่องยุ่งยากใช่ไหมครับ?” นิ่งจองเป่าถามอย่างหยั่งเชิง

“ฮึ” หลินอิ่งหัวเราะเยาะ จากนั้นก็วางสายทันที

เห็นได้ชัดว่า นิ่งจองเป่าส่งคนมาแอบจับตาดูการใช้ชีวิตของนิ่งซวนตลอดเวลา จนสังเกตเห็นว่าครั้งนี้นิ่งซวนนัดทานข้าวกับตนเอง

หลินอิ่งไม่เคยพบหน้านิ่งจองเป่า แต่ เห็นท่าทีประหลาดใจเช่นนี้ของนิ่งจองเป่า บางทีคงจะคิดไม่ถึงว่า ตนเองจะช่วยออกหน้าให้นิ่งซวน

คนรอบจัดอย่างนิ่งจองเป่า คราวก่อนยืนหนุนหลังตระกูลหวัง พอรู้ฐานะของเขาก็รีบย้ายมากดดันตระกูลหวังแทน

เวลานั้นหลินอิ่งเห็นว่าท่าทางของนิ่งจองเป่ายังนับว่าดีพอใช้ และไม่มีความตั้งใจจะไปตี้จิงเพื่อสืบสาวหาความผิดของเขา แต่ตอนนี้เห็นที ควรต้องตีจิ้งจอกเฒ่าตัวนี้อย่างหนักสักทีหนึ่งแล้ว

“ประธานหลิน นิ่งจองเป่าโทรหาคุณเหรอครับ!” นิ่งซวนที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าว “ดูเหมือนเขาจะเดาออกแล้ว ว่าผมเป็นคนนัดคุณดื่มชา จ้าวเจี้ยนหนิงเป็นลูกเขยของนิ่งจองเป่า บางทีตอนที่จ้าวเจี้ยนหนิงระดมคนเมื่อสักครู่ จะสะเทือนถึงนิ่งจองเป่าเช่นกัน”

“อะไรนะ? นิ่งจองเป่า? นิ่งซวนแกยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่อีก? เจ้าหลินอิ่งคนนี้ จะมีสิทธิ์์ได้รู้จักพ่อตาฉันเชียวเหรอ?” จ้าวเจี้ยนหนิงหัวเราะเยาะพลางกล่าว รู้สึกว่านิ่งซวนกำลังเขียนเสือให้วัวกลัว มันช่างน่าขบขันเกินไปจริงๆ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท