ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 283 ไอ้แซ่หลิน นายแสดงต่อไป

บทที่ 283 ไอ้แซ่หลิน นายแสดงต่อไป

บทที่ 283 ไอ้แซ่หลิน นายแสดงต่อไป

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา “เธอสืบมาหมดแล้ว? เธอรู้ว่าฉันเป็นใคร?”

“ฉันรู้แน่นอน นายก็แค่ลูกเขยเกาะเมียกิน ทำงานเป็นผู้ช่วยที่บริษัทฉีโม่? ได้ข่าวว่ายังหลอกล่อผู้หญิงอื่นข้างนอก” นิ่งเสี่ยวชิงพูดสีหน้าดูถูก

“นายไม่แค่ไร้ความสามารถ นิสัยมีปัญหา เป็นความอับอายของผู้ชายด้วยกันเองด้วย” นิ่งเสี่ยวชิงพูด

เธอต้องให้หลินอิ่งก้มหัวต่อหน้าเธอ ยอมรับว่าตัวเองไร้น้ำยา

หลินอิ่งส่ายหน้า ไม่อธิบาย

“เป็นอะไร เสี่ยวชิงพูดแทงใจดำเหรอ? หาข้ออ้างไม่ได้แล้วเหรอ? ฉันไม่เคยได้ยินผู้ชายมีความสามารถคนไหนไปเป็นผู้ช่วยให้เมียตัวเอง” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดเสียดสี

“ไร้ความสามารถไม่ว่า ยังแสดงขนาดนี้ ยังอยากเปิดบริษัทเครื่องประดับที่ตี้จิงอีก นายก็แค่ยอมรับมาตรงๆว่าเกาะฉีโม่กิน แค่นี้ก็จบ” หญิงสาวคนหนึ่งพูด

“คนแบบนี้ก็แค่ขี้โม้อวดดี แล้วยังหน้าด้านอีก”

เห็นท่าทางหลินอิ่งแล้ว ทุกคนในงานยิ่งไม่พอใจ

ไอ้ไร้น้ำยา ควรก้มหัวต่อหน้าพวกเขาที่มีหน้ามีตาในสังคมเหนือกว่า อย่างเคารพ ยังมาโม้ต่อหน้าพวกเขาอีก ปากแข็ง

“เห็นนายแบบนี้ ไม่พอใจเหรอ” นิ่งเสี่ยวชิงหัวเราะเย็นชาพูด “งั้นก็ได้ ไป ฉีโม่ พวกเราเข้าไปกินข้าวในภัตตาคารหลงเถิงกัน ฉันจองห้องอาหารไว้แล้ว”

“ในงานเลี้ยง ฉันจะแนะนำคนดังในวงการธุรกิจตี้จิงให้ฉีโม่รู้จัก มีคนหนึ่งเป็นนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในจงเทียนซิงเฉิง ถึงเวลาก็ทักทายหน่อย ทุกคนก็จะได้รู้ ว่าหลินอิ่งโกหกหรือเปล่า” นิ่งเสี่ยวชิงพูดด้วยนำเสียงเยาะเย้ย

“เสี่ยวชิงรู้จักคนกว้างขวาง แม้แต่นักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของจงเทียนซิงเฉิงยังเชิญมาได้”

“ฮาฮา เสี่ยวชิงนี่เก่งจริงๆ งานเลี้ยงรุ่นที่ครั้ง ก็แนะนำคนใหญ่คนโตให้พวกเรารู้จัก ทำให้เพื่อนร่วมห้องอย่างพวกเรามีโอกาสรวยไปด้วย ใจดีจริงๆ”

“ฉีโม่ ไป พวกเราไปพร้อมกัน วันนี้ต้องช่วยเธอเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของหลินอิ่งคนนี้ให้ได้ คนอย่างเขาอยู่ข้างเธอ ฉันยังรู้สึกขยะแขยง หน้าไม่อาย”

พอนิ่งเสี่ยวชิงพูด ทุกคนก็เริ่มสนทนากันขึ้นมา

จางฉีโม่สีหน้าไม่ค่อยดี ในใจก็รู้สึกโมโห มองไปที่หลินอิ่ง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย พูดว่า “ฉีโม่ ไปด้วยกันเถอะ กินข้าวเท่านั้น”

ตามนั้น นิ่งเสี่ยวชิงพาเพื่อนร่วมห้องทุกคน เดินเข้าไปในโรงแรมหลงเถิง หลินอิ่งกับจางฉีโม่เดินตามอยู่ข้างหลังช้าๆ

ภายในโรงแรมหลงเถิง ร้านอาหารชั้นสาม ถูกนิ่งเสี่ยวชิงจองไว้ทั้งชั้น

ห้องอาหารชั้นนี้ตกแต่งสวยหรู เป็นแบบตะวันตกไฟสีเหลือง โต๊ะเก้าอี้อุปกรณ์ต่างๆก็คัดสรรอย่างดี บรรยากาศรอบด้านสวยหรู

นิ่งเสี่ยวชิงนั่งในที่นั่งตรงกลาง เธอดีดนิ้ว ก็มีพนักงานหญิงสองคนเดินมา

“หลุยส์สิบสาม พุดดิ้ง คาเวียร์ ตับเป็ด……คนละชุด” นิ่งเสี่ยวชิงพูดชื่ออาหารอย่างถนัด

พูดจบ นิ่งเสี่ยวชิงก็โยนเมนู พูดเสียงดัง “ทุกคนอยากกินอะไรสั่งตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ”

“เสี่ยวชิงใจดีจริงๆ”

“มีแค่เสี่ยวชิงเท่านั้นที่ใจป้ำขนาดนี้ จองห้องอาหารโรงแรมหลงเฉิงทั้งชั้นได้อย่างง่ายดาย จะกินข้าวที่โรงแรมหลงเถิงต้องจองล่วงหน้าทั้งนั้น”

ทุกคนต่างพูดยกยอกันขึ้นมา

นิ่งเสี่ยวชิงสีหน้าพอใจ นี่ก็คือผลลัพธ์ที่เธออยากได้ เป็นจุดศูนย์กลางของทุกคน จัดงานเลี้ยงรุ่นแบบนี้ก็เพื่อจะได้รับความพอใจและรู้สึกอยู่เหนือกว่าคนอื่น

ไม่นาน พนักงานก็เข็นอาหารเข้ามา อาหารที่จัดเตรียมอย่างประณีตก็จัดขึ้นโต๊ะ

นิ่งเสี่ยวชิงถือแก้วไวน์จีบไวน์ไปคำหนึ่ง มองไปที่หลินอิ่ง พูดว่า “หลินอิ่ง นายบอกว่าคุยที่จงเทียนซิงเฉิงเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ เตรียมจะซื้ออาคารสำนักงานไม่ใช่เหรอ? ฉันก็มีกิจกรรมอยู่ที่จงเทียนซิงเฉิง อาคารที่นายซื้ออยู่ไหน? ราคาเท่าไหร่?”

หลินอิ่งมองนิ่งเสี่ยวชิง พูดว่า “ลูกน้องเป็นคนไปจัดการ ผมไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่”

“ฮาฮา” นิ่งเสี่ยวชิงอดหัวเราะไม่ได้ ไวน์ในปากพ่นออกมาเล็กน้อย

“นายมาพูดตลกเหรอ? หลินอิ่ง” ผู้หญิงคนหนึ่งหัวเราะพูด

“ลูกน้องไปจัดการ ไม่รู้ราคา? นายเก่งแค่ไหนกัน? ธุรกิจราคาร้อยล้านไม่ถามแม้แต่น้อย ให้ลูกน้องไปจัดการ?” ผู้ชายคนหนึ่งหัวเราะพูด ไม่เชื่อคำพูดของหลินอิ่งแม้แต่น้อย

“นับถือนับถือ นายนี่แสดงเก่งจริงๆ ฉันเกือบเชื่อแล้วเนี่ย” มีผู้ชายอีกคนพูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงดูถูก

หลินอิ่งไม่อยากอธิบาย ยกแก้วไวน์ขึ้นมาดื่มเอง

เขาไม่รู้ว่าสำนักงานที่จงเทียนซิงเฉิงว่าราคาเท่าไหร่จริง เพราะว่าไม่ได้ใส่ใจ

“ก็ได้ หลินอิ่ง นายพูดไปเถอะ ฉันเชื่อแล้ว” นิ่งเสี่ยวชิงพูดหยอกล้อ “นายไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่ ถ้าอย่างนั้น ช่วยบอกฉันหน่อย นายหาบริษัทไหน หาใครไปช่วยเจรจาที่จงเทียนซิงเฉิง?”

“ไม่รู้” หลินอิ่งตอบเสียงเรียบ

หลินอิ่งแค่พูดกับถังฮุยเท่านั้น เรื่องแค่นี้ ถังฮุยไม่กล้าเอามาทำให้หลินอิ่งวุ่นวาย

“ไม่รู้?” นิ่งเสี่ยวชิงเกือบเอามือปิดปากหัวเราะ เธอรู้สึกว่าหลินอิ่งน่าขำมาก

มีใครที่ไหนแสดงถึงขนาดนี้? โดนทุกคนเปิดโปงขนาดนี้แล้ว ยังจะแสดงต่ออีก?

“พอแล้ว หลินอิ่ง เอาเป็นว่าที่นายพูดเป็นความจริงละกัน” นิ่งเสี่ยวชิงพูดเสียดสี “ถ้าอย่างนั้น หลินอิ่ง นายบอกว่าจะช่วยหลินอิ่งเปิดบริษัทเครื่องประดับที่ตี้จิง นายหาโรงงานผลิตหรือยัง แหล่งวัตถุดิบพวกนี้ด้วย? นายรู้ไหมว่าเปิดบริษัทเครื่องประดับที่ตี้จิงต้องใช้เงินทุนเท่าไหร่? แล้วเตรียมเปิดกิจการเมื่อไหร่?”

ล้อเล่นอะไร เปิดบริษัทเครื่องประดับขนาดใหญ่ที่ตี้จิง ต้องมีทรัพยากรเยอะขนาดไหน และเงินทุนมหาศาล

อย่าว่าแต่เขาหลินอิ่งไร้น้ำยาเลย แม้แต่เธอนิ่งเสี่ยวชิงที่มีนิ่งซื่อตี้จิงหนุนหลัง อยากเปิดบริษัทเครื่องประดับที่ตี้จิง ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

หลินอิ่งพูด “ตอนเปิดกิจการเธอมาชมได้”

“เหอะเหอะ เข้าชม?” นิ่งเสี่ยวชิงหัวเราะ “ได้เลย ฉีโม่ ตอนบริษัทเปิดกิจการ เธอต้องเชิญฉันไปร่วมงานนะ ฉันจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้”

“ใช่แล้ว วันนี้ฉันเชิญคนใหญ่คนโตในวงการธุรกิจมาด้วย เป็นคนมีผลกระทบในเขตจงเทียน จงเทียนซิงเฉิงเขาก็เป็นคนลงทุน” นิ่งเสี่ยวชิงพูด

“นักธุรกิจท่านนี้ชื่อถูซาน หลินอิ่ง น่าจะเคยได้ยินชื่อเขาใช่ไหม?” นิ่งเสี่ยวชิงถามด้วยสีหน้าเยาะเย้ย

“ถูซาน? ไม่รู้จัก” หลินอิ่งพูด

นิ่งเสี่ยวชิงพูด “ไม่รู้จัก? ถ้าอย่างนั้นคุณเจรจาเรื่องธุรกิจใหญ่โตที่จงเทียนซิงเฉิงได้ยังไง?”

หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “ผมคุยธุรกิจที่เขตจงเทียน ต้องถามอะไรเขาเหรอ?”

“น่าเชื่อถือจริงๆ แม้แต่ประธานถูยังไม่อยู่ในสายตาเลย” นิ่งเสี่ยวชิงหัวเราะเย็นชา “ไอ้แซ่หลิน นายแสดงต่อไป”

“ฉันจะดูนายว่าจะแสดงไปถึงเมื่อไหร่ เดี๋ยวถูซานประธานถูมาแล้ว ฉันจะดูว่านายจะแสดงต่อยังไง”

นิ่งเสี่ยวชิงพูดสีหน้าเยาะเย้ย “ฉันจะให้ประธานถูตามนายด้วยตัวเอง นายซื้ออาคารไหนจากเขากันแน่”

นายคนนี้โม้เก่งจริง แต่งเรื่องโม้เก่งจนหาที่เปรียบไม่ได้ คนไร้น้ำยาแต่งเรื่องจนตัวเองเป็นคนใหญ่โต

นิ่งเสี่ยวชิงสีหน้าได้ใจ วันนี้ต้องทำให้หลินอิ่งขายหน้าให้ได้ เดี๋ยวก็ได้ให้สองผัวเมียนี้ขายหน้าแน่นอน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท