ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 306 อย่าเอาความสัมพันธ์มาเป็นต้นทุนความอวดดี

บทที่ 306 อย่าเอาความสัมพันธ์มาเป็นต้นทุนความอวดดี

เมื่อคำพูดของนิ่งจองเต้าพูดออกมา ผู้นำระดับสูงทุกคนที่นั่งอยู่มันไปที่หลินอิ่ง แสดงถึงความหมายหลายอย่าง

นิ่งจองเต้าพูดอย่างชัดเจน อาจารย์ของหลินอิ่งหายตัวไปสิบกว่าปี ความสัมพันธ์ที่มีระหว่างตระกูลนิ่ง ก็จางลงตั้งนานแล้ว

นิ่งจองเต้าที่เป็นผู้ถืออำนาจของตระกูลนิ่งในวันนี้ พูดเองแล้ว ผู้นำตระกูลอย่างพวกเขา ก็ต้องทำตามผู้นำอยู่แล้ว

“ก็ใช่ ผู้อาวุโสหลิน ถึงท่านจะเคยมีความสัมพันธ์กับตระกูลนิ่งของเรา แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ตระกูลนิ่งของเราก็ไม่ใช่ตระกูลไร้เยื่อใยอะไร แต่ว่า คุณจะเอาเรื่องความสัมพันธ์ในอดีต มาหาเรื่องที่ตระกูลนิ่งแบบนี้เหรอ?”

“ผู้อาวุโสหลิน อายุยังน้อย ต้องรู้จักยอมบ้าง คุณต้องการทรัพย์สินเงินทอง ความร่ำรวย ตระกูลนิ่งของเราให้ได้หมด แต่ว่า คุณก้าวก่ายเรื่องภายในตระกูลนิ่งของเรา นี่มันก็เกินไปหน่อยนะ”

ผู้นำระดับสูงของตระกูลนิ่งที่นั่งอยู่ หลายคนพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ กับท่าทางของหลินอิ่ง

ความจริง ในใจของผู้นำตระกูลนิ่ง สำหรับหลินอิ่งผู้อาวุโสคนนี้ ขอแค่ใช้เงินเลี้ยงอย่างดี นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะตระกูลนิ่งมีเงินมากมาย

แต่หลินอิ่งอยากยุ่งเรื่องภายในของตระกูลนิ่ง ยังกล้าอวดดีต่อหน้านิ่งจองเต้าอีก

แค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้ว

หลินอิ่งเป็นผู้อาวุโสจริง แต่ต้องรู้ว่า คุณเป็นเพียงพระที่เอาไว้บูชาเท่านั้น ยังคาดหวังอยากยึดอำนาจ สั่งการในตระกูลนิ่ง”

“ผู้อาวุโสหลิน ไม่ใช่ตระกูลนิ่งของเราไร้เยื่อใย แต่คุณทำเกินไป” นิ่งจองเสิ้งพูด เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจหลินอิ่งมาก “คุณมาตี้จิงครั้งแรก เอาบุญคุณเก่าของผู้อาวุโสท่านนั้นทำไว้ ตามทำใจชอบ กดขี่ข่มเหงคนของตระกูลนิ่ง”

“อีกอย่าง แม้กระทั่งคุณชายใหญ่นิ่งเซวียนคุณยังไม่เห็นเขาในสายตา ยังกล้าบังคับให้เขาคุกเข่า ยังเกือบฆ่าเขา คุณทำแบบนี้ คิดว่าตระกูลเราไม่มีคนเหรอ?” นิ่งจองเสิ้งจ้องด้วยความโกรธ พูดจาต่อว่า ถามหลินอิ่งต่อหน้า

“คุณรู้ไหม พฤติกรรมที่คุณทำตั้งแต่คุณมาตี้จิง มีผลกระทบต่อตระกูลนิ่งของเรา ใหญ่โตขนาดไหน? ตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงเราเป็นตระกูลระดับไหน ให้คุณมาทำแบบนี้ได้? ถ้าไม่ใช่เห็นแก่หน้าของผู้อาวุโสท่านนั้นในอดีต คุณอยู่ในเหตุการณ์เอาตัวรอดไม่ได้แล้ว ยังกล้าอวดดี บีบถามผู้นำตระกูลเราอีก?”

นิ่งจองเสิ้งจ้องหลินอิ่งสีหน้าเย็นชา พูดอย่างมั่นใจ “คุณต้องรู้ว่า บุญคุณที่อาจารย์ของคุณสร้างไว้ในอดีต ถูกคุณใช้หมดแล้ว”

นิ่งจองเสิ้งพูดคำพูดพวกนี้ออกไป ผู้นำทุกคนต่างพากันพยักหน้า เห็นด้วยอย่างยิ่ง

“พี่หกพูดมีเหตุผล ผู้อาวุโสหลิน คุณอย่ายึดเอาบุญคุณของอาจารย์คุณในอดีต ทำอะไรตามใจชอบ”

“ถูกต้อง หลินอิ่ง ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างอาจารย์คุณกับตระกูลนิ่ง ไม่ใช่ต้นทุนที่คุณจะมาอวดดีได้”

ทันใดนั้น ผู้นำตระกูลหลายคนก็พูดตามเห็นด้วย ต่างพากันตำหนิหลินอิ่ง

นิ่งจองเต้ามองหลินอิ่งอย่างสนุก เขาก็อยากดูว่า หลินอิ่งจะทำยังไง

ถ้าหากหลินอิ่งแม้แต่สถานการณ์แบบนี้ก็เอาไม่อยู่ เป็นแค่หมอนปักลาย แบบนี้ ก็ให้อะไรเขาไปหน่อย จากนั้น ค่อยหาโอกาสส่งคนไปจัดการ

หลินอิ่งยิ้มไม่พูด เขาอยากฟังดูว่า ปากของผู้นำพวกนี้ จะพูดอะไรที่เหนือคนทั่วไปได้บ้าง

คิดไม่ถึง ว่าจะพูดจาได้ตลกถึงขนาดนี้ ดูถูกเขาเหรอ?

ยังคิดว่าอาจารย์กับตระกูลนิ่งเป็นแค่ความสัมพันธ์ธรรมดา?

ปีนั้น อาจารย์ช่วยนิ่งซื่อแห่งตี้จิงไว้ทั้งตระกูล ก็เหมือนกับที่ตัวเองช่วยนิ่งซวยพูด แต่ว่าในอดีตอาจารย์เร่ร่อนไปทั่วทิศ รู้สึกชอบนิ่งไท่จี๋ ก็เลยช่วย

ลำพังแค่ตระกูลนิ่ง เป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น มีความสามารถอะไรมาคุยเรื่องความสัมพันธ์กับแก๊งมังกรได้?

แก๊งมังกรสำนักอู่เหมินสิบสอง เลือกออกมาแค่บ้านเดียว ก็มีอำนาจพอที่จะเหยียบตระกูลนิ่งบนราบได้ ไม่ใช่ระดับเดียวกันแม้แต่น้อย ไม่ใช่โลกเดียวกัน

“พวกคุณคงไม่ได้คิดว่า ผมหลินอิ่งยืนหยัดอยู่ได้ เพราะอาศัยความสัมพันธ์?” หลินอิ่งส่ายหัว “เรื่องราวของตระกูลนิ่งของพวกคุณ ผมไม่อยากยุ่ง แต่รู้สึกพวกคุณ เหมือนยังไม่รู้สถานการณ์นะ”

“พวกคุณจะคิดว่าความสัมพันธ์ของผมกับตระกูลนิ่งจะใช้หมดแล้วก็ช่าง” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “พวกคุณเข้าใจด้วยว่า ลำพังแค่ตระกูลนิ่ง ยังไม่มีสิทธิ์มาคุยเรื่องความสัมพันธ์กับผม”

“ลำพังแค่ตระกูลนิ่ง? ไม่มีสิทธิ์? หลินอิ่ง คุณนี่มันไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนะ” นิ่งจองเสิ้งพูดอย่างโมโห “คุณคิดเหรอ ว่าลำพังคุณคนเดียว จะพลิกตระกูลนิ่งได้?”

“หลินอิ่ง พวกเราเรียกคุณว่าผู้อาวุโส ก็เพราะไว้หน้าอาจารย์ของคุณ อย่าคิดว่าเพราะกลัวคุณ”

“ตลกคนทั้งโลกแล้ว อยู่มาครึ่งค่อนชีวิต ยังไม่เคยเห็นคนอวดดีขนาดนี้”

“คุณคิดว่าที่นี่ที่ไหน? นี่มันตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง วิลล่าไท่จี๋ กล้ามาอวดดีในตระกูลนิ่ง คุณนึกว่าตัวเองเก่งขนาดไหน? ฝีมือแค่นั้น ในสายตาคนตระกูลนิ่งแล้ว ก็เป็นแค่เรื่องตลก”

ผู้นำตระกูลที่นั่งอยู่หลายคนต่างพากันต่อว่าตำหนิ อย่างไม่เกรงใจ

ความเคารพที่พวกเขามีต่อหลินอิ่ง เพราะนิ่งจองเต้ากับนิ่งจองเป่าสั่งไว้ ตอนนี้ผู้นำทั้งสามคนแตกแยกกับหลินอิ่งแล้ว พวกเขาจะไปเกรงใจอีกทำไม?

โดยเฉพาะ พฤติกรรมดูถูกตระกูลนิ่งของหลินอิ่ง อวดดีเกินไป น่าตลกสิ้นดี

ถ้าหลินอิ่งเป็นคนฉลาดจริง ก็ควรเป็นพระให้เขาบูชาดีๆ กินดีอยู่ดี คนของตระกูลนิ่งยังคงเคารพเขาเหมือนเดิม ยังรนหาที่ตายมายุ่งเรื่องครอบครัวนิ่งซวน? เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และอำนาจของวงตระกูล มันไม่ใช่ไม่รู้จักแยกแยะเหรอ?

ก็ไม่รู้ว่า ผู้อาวุโสท่านนั้นในอดีต สอนลูกศิษย์โง่ขนาดนี้ได้ยังไง?

ทุกคนที่นั่งอยู่ ต่างก็มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าตลก และแววตาดูถูก

นิ่งจองเต้ายิ้มอย่างดูถูก ส่งสายตาให้เจียงกู่จื่อ

“หลินอิ่ง ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ยังไม่รู้จักถอยอีก ไม่รู้จักแยกแยะ ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะสั่งสอนแกแทนอาจารย์คนนั้นของแกละกัน สั่งสอนแก…..” เจียงกู่จื่อพูดอย่างเย็นชา กำลังจะเดินเข้าไปจัดการหลินอิ่ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างตกใจ

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้วยน้ำชาในมือหลินอิ่ง เริ่มมีไอร้อน น้ำในแก้วเริ่มเดือด

“นี่……” เจียงกู่จือสายตาตะลึง ไม่อยากเชื่อ คิดถึงเรื่องเล่าขานที่เคยได้ยินขึ้นมา

“ชานี้จะเย็น หรือจะร้อน ผมเป็นคนตัดสิน” หลินอิ่งจีบชาเล็กน้อย พูดอย่างเรียบเฉย “ตระกูลนิ่งของพวกคุณจะรุ่งหรือจะซวย ขึ้นอยู่กับผม”

“ในอดีต อาจารย์ผมช่วยประคับประคองตระกูลนิ่งของพวกคุณให้ยืนหยัดได้ วันนี้ ผมก็ทำให้ตระกูลนิ่งของพวกคุณคุกเข่าได้”

ทุกคนที่นั่งได้ยินคำพูดเย็นชานี้แล้ว รู้สึกหนาวไปทั้งตัว ขนลุกทันที

พวกเขาเห็นหลินอิ่งขมวดคิ้ว รู้สึกว่าจะฝนจะตกเป็นเลือดแล้ว มีความรู้สึกต้องมีศพนอนพื้นแน่

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท