ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 327 กล้ามาท้าประลอง?

บทที่ 327 กล้ามาท้าประลอง?

ยามค่ำคืน

หลินอิ่งกลับไปถึงอาคารซิงเฉิง นัดกับจางฉีโม่ไปกินอาหารเย็นที่ร้านอาหาร

อาคารซิงเฉิงชั้น12 ร้านอาหารที่ตกแต่งสวยหรูด้วยธีมสิบสองราศี นำเสนอให้ประธานหลินและคุณนายหลินโดยเฉพาะ

บนโต๊ะคริสทัลใบหนึ่ง เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายสีสัน ซุปแตงกวาทะเล ปลากะพงนึ่ง ขนมฟรานซิส เตกิล่า อาหารทั้งแบบจีนและตะวันตกครบถ้วน อย่างประณีต

หลินอิ่งนั่งอยู่ตรงข้ามจางฉีโม่ ทั้งสองคุยกันเรื่องทั่วไป

“ทางบริษัท จัดการเป็นยังไงบ้าง?” หลินอิ่งคีบเนื้อปลาหนึ่งชิ้นวางในถ้วยจางฉีโม่ เปิดปากถาม

จางฉีโม่ยิ้ม ท่าทางดีใจมาก กินข้าวไปเรื่อยๆ พูดว่า “ก็ดีค่ะ ทีมงานที่ถูซานพามามืออาชีพและเก่งมาก ไม่มีเรื่องอะไรต้องให้ฉันเป็นห่วง จัดการได้มีหลักการ”

“ก็เรื่องเกี่ยวกับรายละเอียด แนวทางของบริษัท ฉันกำลังศึกษาอยู่” จางฉีโม่พูดอย่างจริงจัง

“อย่างนั้นก็ดี ถ้าหากบริษัทมีปัญหาอะไรคุณไม่เข้าใจ ก็ให้ถูซานไปจัดการ” หลินอิ่งดื่มเหล้าไปคำหนึ่ง แล้วค่อยๆพูด

“อืม” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ก็คือปรับแก้จงเทียนซิงเฉิงทั้งหมด โครงการนี้ค่อนข้างใหญ่ ฉันว่าคงไม่เร็วขนาดนั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือน

“ไม่ต้องรีบ” หลินอิ่งยิ้มพูด นึกอะไรขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ฉีโม่ หลังจากที่พวกเรามาที่ตี้จิงแล้ว คุณก็ยุ่งตลอด พอดีช่วงนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไร ถ้าอย่างนั้นก็หาโอกาสไปท่องเที่ยวที่สถานที่โด่งดังในตี้จิงกันไหม?”

ตั้งแต่มาถึงตี้จิงแล้ว เรื่องก็เยอะพอสมควร หลินอิ่งรู้สึกว่าไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับฉีโม่

“อืม……” จางฉีโม่คิดไปสักครู่ “ตี้จิงมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ฉันก็อยากไปดูวิวสวยๆ แต่ช่วงนี้มีโครงการแบรนด์เครื่องประดับสำคัญชิ้นหนึ่ง เป็นงานเครื่องประดับสำหรับเปิดตัวบริษัท ฉันต้องไปควบคุมงานด้วยตัวเอง น่าจะยุ่งอีกหลายวัน รออีกสักพัก พวกเราค่อยไปด้วยกัน ฉันอยากไปเขตชมวิวภูเขาชุนเยว่”

“งั้นไปเขตชมวิวภูเขาชุนเยว่ ที่นั่นวิวสวยมาก” หลินอิ่งพยักหน้า เพราะว่าไปกับภรรยา ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจภรรยา

“ใช่แล้ว หลินอิ่ง วันนี้พ่อกับแม่โทรมา ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณ” จางฉีโม่นึกขึ้นได้ “ฉันมีลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งเรียนมหาลัยในตี้จิง อยากย้ายโรงเรียน อยากย้ายไปโรงเรียนที่ดีหน่อย แต่ไม่มีหนทางอะไรในตี้จิง ก็เลยมาหาฉัน”

หลินอิ่งถาม “น้องสาว? คนไหน?”

ตั้งแต่เขาแต่งงานเข้าไปอยู่ตระกูลจาง ญาติฝั่งแม่ยายลู่หย่าฮุ่ย ไม่รู้จักใครเลย เพราะว่าลู่หย่าฮุ่ยไม่เคยเห็นเขาเป็นลูกเขยของตัวเองเลย ยังรู้สึกขายหน้า จะให้ตัวเองไปรู้จักญาติของเขาได้ยังไง

“ครั้งก่อนที่บ้านของลู่เวย ลูกสาวของอาหกฉัน เรียนมหาลัยอยู่ที่ตี้จิง ชื่อลู่จิ้ง” จางฉีโม่รีบพูดอธิบาย กลัวหลินอิ่งเข้าใจผิด

“น้องสาวคนนี้ของฉันดีกับฉันตลอด และเคารพฉันมาก” จางฉีโม่พูดอย่างเกรงใจ “วันนี้ฉันโทรหาพ่อแม่ฉัน บอกว่างานในตี้จิงยังยุ่งอยู่ จะอยู่ต่ออีกสักพัก ยังไม่กลับไป พวกเขาจึงบอกเรื่องนี้กับฉัน”

จางฉีโม่ในใจก็รู้สึกเอือมระอา ญาติฝ่ายพ่อแม่ รู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเจริญก้าวหน้าแล้ว พ่อแม่ก็เป็นคนชอบโอ้อวด มีเรื่องอะไรนิดหน่อย ก็ชอบรับมาช่วย

สุดท้าย ตัวเองก็ต้องมาขอความช่วยเหลือหลินอิ่ง

ส่วนพ่อแม่ก็มีความเห็นต่อหลินอิ่งตลอด พูดยังไงก็ไม่เชื่อความสามารถของหลินอิ่ง ทำให้เธอรู้สึกทำตัวลำบาก

หลินอิ่งพยักหน้า พูด “เรื่องเล็กทั้งนั้น คุณให้ถูซานไปจัดการเลย”

ในตี้จิงใช้ความสัมพันธ์ย้ายโรงเรียนเรื่องเล็กแค่นี้ ถูซานจัดการได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้เขาจะไม่มีความสัมพันธ์ในระบบการศึกษาในตี้จิง ก็แค่เรื่องเงินเล็กๆน้อยๆ ขอแต่ฉีโม่ดีใจก็พอ

“หลินอิ่ง ขอบคุณมากที่คอยสนับสนุนฉันตลอด” จางฉีโม่พูดอย่างจริงจัง

หลินอิ่งยิ้ม พูดว่า “อย่าพูดแบบนี้กับผมอีก”

ติ๊ดติ๊ด

เวลาเดียวกัน มือถือหลินอิ่งก็ดังขึ้น

“ท่านอิ่ง ยุ่งอยู่ไหมครับ? ทางนี้มีเรื่องนิดหน่อยครับ โทรศัพท์ของหัวหน้าหยูโทรไม่ติด ต้องรบกวนท่านแล้ว” ในโทรศัพท์ เป็นเสียงของถังฮุยที่พูดอย่างระมัดระวัง

“เรื่องอะไร พูดเลย” หลินอิ่งพูด

หยูจื๋อเฉิงกำลังช่วยเขาจัดการเรื่องสำคัญอยู่ กำลังปิดโทรศัพท์อยู่ คาดว่าทางถังฮุยน่าจะมีเรื่องสำคัญต้องรายงาน

“ท่านอิ่ง วันนี้มีคนมาทุบโรงแรมจงเทียน สวีฉางเฟิงเป็นคนนำ กับเหยียนหลงของเขตเหยียนหวง พาคนมาด้วยตัวเอง”

ถังฮุยพูดอย่างจริงจัง “ผมรู้สึกว่า สวีฉางเฟิงอยากแก้แค้นให้ลูกชาย จ่อจงมาที่ท่านโดยเฉพาะ”

“โรงแรมจงเทียนถูกทุบแล้ว?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว

โรงแรมจงเทียนเป็นกิจการในนามของเขาเอง เป็นแหล่งบันเทิงที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล และยังเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในเขตจงเทียน

การกระทำครั้งนี้ของสวีฉางเฟิง หมายถึงการเปิดสงคราม

เขาเอาความกล้ามาจากไหน? กล้าทำลายกิจการของตระกูลฉีอย่างเปิดเผยแบบนี้?

“ท่านอิ่ง ก่อนหน้านี้ผมทำธุระอยู่ข้างนอก ตอนที่มาถึง พวกเขาก็เอาคนไปแล้ว แต่ลูกน้องของผม ถูกพวกเขาทำร้ายจนตายไปหลายคน พวกเขาเอาทีมรถมาสามสิบกว่าคันบุกเข้ามา ลูกน้องผมที่อยู่ในโรงแรมพกปืนก็ขวางไม่ได้” ถังฮุยพูด “สวีฉางเฟิงตั้งใจมาหาเรื่อง ยังทิ้งคำพูดไว้ บอกให้ผมกับหัวหน้าหยูไปที่ตระกูลสวีเขตเหยียนหวงไปขอโทษเขา ไม่อย่างนั้น จะทุบกิจการของพวกเราไปทีละอย่าง”

“ผมรู้แล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย วางสาย

ดูแล้วสวีฉางเฟิงของตระกูลสวีคนนี้ จะช่วยลูกชายของเขาสวีชิงซงแก้แค้นให้ได้

แต่ก็น่าแปลกใจ ครั้งที่แล้วจัดการเหยียนหลงที่เขตเหยียนหวงเรียบร้อยแล้ว นายคนนี้ยังไม่เจียมตัวอีก? ยังกล้าพาคนมาทุบโรงแรมอีก หรือมีคนคอยหนุนหลังอยู่? หรือคิดว่ามีตระกูลสวีแห่งตี้จิงหนุนหลังก็กล้ามาท้าทาย?

“หลินอิ่ง คุณมีเรื่องด่วนไหม? งั้นรีบไปเถอะ อย่าเสียเวลาเลย” จางฉีโม่พูดอย่างจริงจัง

“อืม” หลินอิ่งพยักหน้า “ฉีโม่ มีเรื่องอะไร โทรหาผม”

พูดกับฉีโม่แล้ว หลินอิ่งก็เดินออกจากร้านอาหาร สั่งให้ฮาเดสที่อยู่หน้าประตูไปเอารถ

ไม่นาน รถBentleyสีดำก็ขับออกจากจงเทียนซิงเฉิง ขับไปตามทางอันเจริญรุ่งเรือง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท