ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 331 ลูกชายของตระกูลฉีกำลังรนหาที่ตาย

บทที่ 331 ลูกชายของตระกูลฉีกำลังรนหาที่ตาย

วิลล่าตงหลิง คฤหาสน์ตระกูลสวี

ภายในห้องโถงใหญ่ ชายชราผมหงอกนั่งอยู่บนเก้าอี้จีนชิงชันตัวใหญ่อยู่ตรงกลาง ดวงตาของเขาหรี่ลง พลังงานของเขากำลังเบ่งบาน และดูฉลาดหลักแหลมมาก

ท่านผู้นี้ ก็คือคุณท่านตระกูลฉีแห่งตี้จิง สวีจิ่วหลิง

สวีจิ่วหลิงเป็นเหมือนโบราณวัตถุเก่าแก่ในแวดวงของตระกูลที่ร่ำรวยแห่งตี้จิง เขาเป็นที่เคารพนับถือ และมีสถานะสูงส่ง เขามีเครือข่ายความสัมพันธิ์ขนาดใหญ่ในแวดวงการเมืองและธุรกิจของประเทศหลุง และมีนักเรียนจำนวนมากมายอยู่ทั่วอาณาจักร

ภายใต้ของสวีจิ่วหลิง บนที่นั่งสองแถว มีชายหญิงวัยกลางคนที่มีท่าทางเคร่งขรึมนั่งอยู่ ซึ่งเป็นบุคคลรุ่นที่สองที่มีอำนาจที่แท้จริงของตระกูลสวี คนในแวดวงหลักของตระกูลสวี ทั้งหมดสิบหกคนเต็ม

“ท่านพ่อ เหตุการณ์ทั้งหมดในครั้งนี้ เป็นเช่นนี้” สวีไป๋เห้อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในท่าจอดเรือด้วยความเคารพ และนั่งลงที่ตำแหน่งของเขาเอง

หลังจากฟังรายงานจบ สวีจิ่งหลิงเหล่สายตา และตกอยู่ในความคิด

หลังจากขบคิดสักครู่ สวีจิ่วหลิงก็กล่าวด้วยสีหน้าอันจริงจังว่า “ลูกชายของผมฉางเฟิง ในเรื่องนี้ คุณมีความคิดแบบไหนบ้าง?”

สวีฉางเฟิงสั่นสะท้านอยู่ในหัวใจของเขา และลุกขึ้นยืนอยู่ตรงกลางของห้องโถงด้วยความเคารพ

“ท่านพ่อ ในความคิดของผม เกี่ยวกับในเรื่องนี้ ฉีหยิ่นกำลังท้าทายอำนาจของตระกูลสวีของเราอยู่!” สวีฉางเฟิงกล่าวอย่างขมขื่น “ฉีหยิ่นหยิ่งผยองเช่นนี้ ลูกไม่พอใจเลย!”

“ไม่พอใจงั้นเหรอ?” สวีจิ่วหลิงมองตามปกติ แล้วถามต่อว่า “ไม่พอใจแบบไหน? ไม่พอใจ แล้วคุณอยากจะทำยังไง?”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของคุณท่าน สวีฉางเฟิงเหงื่อออกที่หน้าผากของเขา และพูดว่า “ท่านพ่อ ผมคิดว่าผมจะต่อสู้กลับไป!ถ้าเราไม่ให้ฉีหยิ่นทนทุกข์ทรมานเล็กน้อย เขาคงจะคิดว่าตระกูลสวีของเราเป็นลูกพลับที่อ่อนนุ่มและบีบได้ง่าย!”

“ลูกก็แค่ทุบโรงแรมจงเทียนไปแค่นั้น มันเป็นแค่อุตสาหกรรมบันเทิงของหยูจื๋อเฉิงผู้ใต้บังคับบัญชาของฉีหยิ่น พูดจนฟ้าพังทลาย ผมก็จะชดเชยให้เขา 100 ล้าน ซึ่งเพียงพอสำหรับการชดเชยความสูญเสีย” สวีฉางเฟิงกล่าวอย่างช้าๆ “แต่ฉีหยิ่นกลับระเบิดทีมเรือทั้งทีมของตระกูลสวีของเรา นี่ เป็นการสูญเสียนับร้อยเท่าเลยทีเดียว!”

สวีจิ่วหลิงไม่ได้พูด หลับตาและลูบแหวนหยกบนนิ้วมือของเขา ราวกับว่ากำลังคิดคำนึงถึงสิ่งใดอยู่

“ฉางเฟิง คุณบอกว่าเรื่องมันเกิดขึ้นโดยมีสาเหตุ เป็นเพราะชิงซงลงมือกับถังฮุยลูกน้องของหยูจื๋อเฉิง ในเวลานั้น ความขัดแย้งระหว่างชิงซงกับ ถัลฮุยคืออะไรกันแน่?” สวีจิ่วหลิงถามอย่างช้าๆ

“ท่านพ่อ! ชิงซงเป็นหลานชายของคุณ คุณรู้ไหมว่า กลุ่มคนของหยูจื๋อเฉิงนั้นหยิ่งผยองขนาดไหน? เพียงเพราะว่าถังฮุยไม่ชอบหน้าของชิงซง เขาก็ทุบตีชิงซง และในที่สุด ยังจะให้ชิงซงคุกเข่าลงก้มกราบเขาอีกด้วย!” สวีฉางเฟิงกล่าวด้วยท่าทางโกรธบนใบหน้าของเขา และใส่ไข่เติมเกลือเข้าไปด้วย “ชิงซงแจ้งชื่อของตระกูลสวีออกมามันก็ไม่มีประโยชน์ หยูจื๋อเฉิงยังออกหน้ามาและยิงเขา!บอกว่าตระกูลนิ่งของเราแล้วยังไง!”

“ท่านพ่อ ลูกชายไม่เคยไปยั่วยุฉีหยิ่นเลย เพียงเพราะว่าคนที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขาได้ทำมากเกินไป ไม่สามารถทนได้ และมีความขัดแย้งเกิดขึ้นแค่นั้น เขาก็มาแก้แค้นตระกูลสวีของเราด้วยตัวเอง และไม่ได้ทักทายก่อนเลย คุณว่า นี่คือการดูถูกเหยียบหยามตระกูลสวีของเรามากเกินไปหรือไม่?”

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในท่าเรือแม่น้ำตี้หวาง ปัจจุบันกำลังเป็นเรื่องที่ถูกจับตามองอยู่ในแวดวงตี้จิงทั้งหมด หากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ศักดิ์ศรีตระกูลสวีของเราจะเสียหายอย่างใหญ่หลวง ต่อไปเราจะดำรงชีวิตอยู่ในตี้จิงได้อย่างไร?”

สวีจิ่งหลิงยิ่งฟังมากเท่าไหร่ สีหน้าของเขาก็ยิ่งแย่ลงเท่านั้น

“หึ่!” สวีจิ่วหลิงตะคอกอย่างเย็นชา “ลูกชายคนเล็กของตระกูลฉีรังแกคนมากเกินไปแล้ว!”

“ยั่วยวนเขาเพียงเล็กน้อย ก็ต้องคืนมันร้อยเท่า? แม้แต่ลูกน้องของเขายังลงมือทำไม่ได้?” สวีจิ่วหลิงพูดด้วยใบหน้าที่เย็นชา “กล้าที่จะระเบิดทีมเรือตระกูลสวีของกู!ลูกชายคนเล็กของตระกูลฉีกำลังรนหาที่ตาย!”

ผลกระทบของการถูกระเบิดเรือของแม่น้ำตี้หวาง ที่มีต่อตระกูลสวีนั้น มันได้สูญเสียทรัพย์สินไปแล้วหลายหมื่นล้านเลยทีเดียว นี่คือสิ่งที่แม้แต่ชายชราที่อายุมากท่านนี้เคยผ่านเหตุการณ์ขนาดใหญ่มามากมาย ยังไม่สามารถยอมรับได้!

“ฉางเฟิง คุณท่านของตระกูลฉี ผมจะไปทักทายเป็นการส่วนตัวเอง และสอบถามจนได้ผลกลับมา!” สวีจิ่วหลิงพูดด้วยเสียงทุ้ม “ในเรื่องนี้ ผมจะให้การสนับสนุนกับคุณ คุณต้องไปจัดการมันให้ดี และจะต้องเอาศักดิ์ศรีของตระกูลสวีกลับคืนมาให้ได้!”

“ลูกชายคนเล็กของตระกูลฉีต้องถูกบังคับให้ก้มหัวต่อตระกูลสวี! เขาเป็นแค่รุ่นหลังคนหนึ่ง หรือว่ายังจะรังแกตระกูลสวีเพราะไม่มีคนงั้นเหรอ? พวกคุณที่นั่งอยู่ในนี้ ใครสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้อย่างสวยงาม ผม ก็จะมีรางวัลหนักให้เอง!”

ตามคำพูดของสวีจิ่วหลิง ดวงตาของผู้มีอำนาจในตระกูลสวีที่นั่งอยู่ในสถานที่ ล้วนแสดงแสงแปลกๆ

คุณท่านสวีจิ่วหลิงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากเช่นนี้ และพวกเขาต่างก็เกิดความคิดอยู่ในใจ

ถ้าเพียงแค่จะไปช่วยสวีฉางเฟิงแสดงความยิ่งใหญ่ พวกเขาคงไม่เต็มใจหนึ่งหมื่นเปอร์เซ็นต์

แต่ในตอนนี้คุณท่านได้ออกคำสั่งแล้ว ถ้าอย่างนั้น ตราบใดที่ใครก็ตามสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้ดี สามารถกดขี่ฉีหยิ่นได้ในด้านพลังและก้มศีรษะลง เขาก็จะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากคุณท่าน

ด้วยเครดิตนี้ มันก็เพียงพอแล้วที่จะไต่ระดับสถานะอยู่ภายในของตระกูลสวีอย่างมั่นคง และนั่งอยู่ในที่สามแถวแรกอย่างมั่นคง!

“เอาล่ะ กลับไปกันเถอะ ไปจัดการกับเรื่องนี้ให้ดีๆ และอย่าให้คนนอกมาดูถูกตระกูลสวีของเรา พวกคุณแต่ละคนต่างก็คือผู้ยิ่งใหญ่ของตี้จิงเมื่อคุณออกไปข้างนอก หรือว่าแม้แต่กเด็กน้อยของตระกูลฉี และเด็กขนดกคนหนึ่งยังจัดการกับมันไม่ได้งั้นเหรอ?” สวีจิ่วหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น สีหน้าของเขาไม่พึงพอใจอย่างมาก

“ครับ ท่านพ่อ ไม่ต้องกังวลไป มีลูกหลานของตระกูลสวีมากมาย และจะไม่ทำให้คุณต้องทำงานหนักกับเรื่องนี้อีกแน่นอน”

“ท่านพ่อ มีคำสั่งจากคุณ เราก็จะทำอย่างดีที่สุด จะต้องทำให้ลูกชายคนเล็กของตระกูลฉีชดใช้อย่างเจ็บปวด!”

สมาชิกในตระกูลสวีที่อยู่ในสถานที่ ทุกคนต่างยืนขึ้นด้วยความเคร่งขรึม และพูดพร้อมกัน

………

ตี้จิง จื่อหลงซาน โรงพยาบาลพักฟื้น

หลินอิ่งมาที่จื่อหลงซานเพียงลำพัง และมาเพื่อเยี่ยมคุณท่านของเขาเอง

วันนี้เขาก็คือได้รับโทรศัพท์จากคุณท่าน โดยบอกว่าให้เขามาพูดคุยเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลสวีต่อหน้ากัน

ไม่เกินความคาดหมายของหลินอิ่ง ตัวเองใช้ตัวตนของฉีหยิ่นลงมืออย่างโหดร้ายต่อตระกูลสวี ตระกูลสวีตามหาตัวเองไม่พบ ดังนั้นพวกเขาถึงจะทักทายคุณท่านอย่างแน่นอน

ในสวนดอกไม้ของบ้านพักพักฟื้น ฉีเวิ่นติ่งกำลังตัดแต่งดอกไม้และใบของกระถางต้นไม้ และดูเหมือนว่าชีวิตของเขาจะสงบและเงียบสบายมาก

“ท่านปู่ ผมมาแล้ว” หลินอิ่งกล่าวทักทาย และนั่งลงที่โต๊ะไม้

“อิ่งเอ๋อ นั่งเถอะ” ฉีเวิ่นติ่งหันกลับมา พูดอย่างใจดี และนั่งลงตรงข้ามกับหลินอิ่ง

“นี่คือชาหางมังกรอายุนับร้อยปีที่ชิวอวี่นำมาให้ผม เด็กผู้หญิงคนนี้รู้ว่าผมชอบดื่มชานี้ และเธอก็หาคนไปหาใบชานี้เป็นพิเศษมาจากมณฑลยูนนานทางใต้” ฉีเวิ่นติ่งยื่นน้ำชามาหนึ่งถ้วย ด้วยรอยยิ้ม และพูดเหมือนพูดเล่นทั่วไป

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย หยิบถ้วยน้ำชา จิบไปทีหนึ่ง และกลิ่นหอมของใบชาก็ออกมาสู่จมูก

“ได้ยินจากชิวอวี่ว่า ครั้งที่แล้วคุณไปที่มณฑลเกาหยาง? ทางตระกูลกงซุนเป็นยังไงบ้าง?” ฉีเวิ่นติ่งพูดอย่างช้าๆ ในขณะที่กำลังดื่มน้ำชา

“เรื่องของตระกูลกงซุนมันค่อนข้างซับซ้อน ผมรักษากงซุนฉงหลงหายแล้ว ไม่ได้สนใจในเรื่องอื่นเลย” หลินอิ่งกล่าวว่า

ฉีเวิ่นติ่งพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวว่า “คุณทำถูกต้องที่ทำเช่นนี้ การรักษากงซุนฉงหลงหาย ก็ถือว่าดีที่สุดเช่นกันแล้ว กงซุนฉงหลงโทรศัพท์มา และขอบคุณผมโดยเฉพาะ”

หลังจากหยุดชั่วครู่ ฉีเวิ่นติ่งพูดต่อว่า “อิ่งเอ๋อ ทางด้านตระกูลสวี เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ผมเห็นข่าวในวันนี้ มีอุบัติเหตุครั้งใหญ่เกิดขึ้น อยู่ที่ท่าเรือแม่น้ำตี้หวาง กองเรือถูกทิ้งระเบิด และเสียหายไปจำนวนมาก ในเรื่องนี้ คุณคือผู้ทำหรือไม่? ”

หลินอิ่งพยักหน้า และพูดว่า “ผมเป็นคนทำเอง”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท