ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 342 หนุ่มเกาหลีมาแสดงความโอ้อวด?

บทที่ 342 หนุ่มเกาหลีมาแสดงความโอ้อวด?

บทที่ 342 หนุ่มเกาหลีมาแสดงความโอ้อวด?

ตี้จิง เขตตี้เจียง แม่น้ำตี้หวาง

ริมแม่น้ำ แม่น้ำไหลเชี่ยว สายธารยาวไกล เขียวขจีไร้ขอบเขต สวยงามตระหง่านตา แค่ครู่เดียวก็ทำให้คนดูสดชื่น ความเศร้าโศกจางหาย

ริมแม่น้ำที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ มีตึกสูงที่ดูโบราณ หออันประณีตยี่สิบกว่าชั้น เป็นการตกแต่งด้วยกระเบื้องโบราณ มองไกลๆก็คืออาคารสีแดงโบราณ

ที่นี่ เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในเขตตี้เจียง หอตี้เจียง เป็นร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงร้อยปี

ทุกเมนูในหอตี้เจียง ล้วนทำอย่างประณีต วัตถุดิบ ฝีมือ ล้วนคัดสรรอย่างดี ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือเมนูปลา

อย่างเมนูชุดตี้เจียง ราคาโต๊ะละสองแสนแปด ต้องจองล่วงหน้าครึ่งเดือน ถึงมีเงินก็ไม่ได้กินง่ายๆ

ผู้คนที่เข้าออกสถานที่นี้ ล้วนเป็นผู้ดีมีฐานะในเขตตี้เจียง ถือว่าเป็นสถานที่ที่เป็นแหล่งศูนย์รวมของเหล่าผู้ดี

หลินอิ่งจอดรถไว้ที่ลานจอดรถชั้นหนึ่ง ขึ้นไปหอตี้จิงพร้อมจางฉีโม่

ภายในอาคารตกแต่งเหมือนสำนักขุนนางโบราณ สวยหรูสง่า แขวนรูปภาพพู่กันโบราณทุกทิศ ดูสง่ามาก

แม้แต่พนักงานต้อนรับ ก็แต่งกายชุดจีนโบราณ สมกับบรรยากาศ

หลินอิ่งกับจางฉีโม่มาถึงห้องอาหารชั้นสิบสอง นั่งบนที่นั่งใกล้ริมแม่น้ำ

ที่นั่งตรงนี้เดินไปสองก้าว ก็ถึงศาลาแดงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ข้างล่างเป็นแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวอย่างแม่น้ำตี้เจียง การออกแบบอาคารประณีตมาก และสวยงามสบายตา

จางฉีโม่เดินไปที่ศาลาด้วยความสงสัย มองดูทิวทัศน์ของแม่น้ำตี้เจียง ส่วนหลินอิ่งเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์

จะกินเมนูชุดตี้เจียงต้องจองล่วงหน้า แต่หลินอิ่งไม่ต้อง

เพราะว่า หอตี้เจียงแห่งนี้เป็นสถานที่รับรองแขกของตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง เป็นกิจการในนามของตระกูลนิ่ง

เคาร์เตอร์ร้านอาหาร เปลี่ยนพนักงานต้อนรับนานแล้ว มีหญิงสาวใส่ชุดกระโปรงม่วง รูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดา ดูสวยงามสง่าดูดี ข้อมือสวมกำไรหยก สายตาสวยงามมองไปที่หลินอิ่ง

หลินอิ่งมองไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์

หญิงสาวผิวขาวดั่งหิมะ รูปร่างดี เป็นสาวสวยที่มัดใจคนได้มากมาย ดวงตาสดใส ดูเหมือนจะมีน้ำหยดลงมาตลอดเวลา กำลังจ้องมาที่เขา

“ประธานหลิน มาแล้วเหรอคะ ผมนิ่งจองอู่ต้อนรับได้ไม่ดี”

เวลาเดียวกัน น้ำเสียงอันเคารพก็ดังขึ้นมา ชายวัยกลางคนรูปร่างอวบในชุดสูทสีดำ ก็เดินมาข้างหน้าหลินอิ่ง ก้มหน้าเล็กน้อย

นิ่งจองอู่ เป็นคนรุ่นที่สองของตระกูลนิ่ง ก่อนหน้านี้ไม่มีที่นั่งในตระกูลนิ่ง ไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ในการเข้าร่วมประชุมผู้นำ

หลังจากที่หลินอิ่งถืออำนาจสูงสุดของตระกูลนิ่งแล้ว กำจัดญาติที่มีความสัมพันธ์ของนิ่งจองเต้าแล้ว ถึงได้ยกระดับตำแหน่งของเขา ให้ขึ้นมามีตำแหน่งนี้ อยู่ในระดับผู้นำของตระกูลนิ่ง มีสิทธิ์ในการแสดงความเห็น

ได้ยินว่าหลินอิ่งจะมากินข้าวที่หอตี้เจียง นิ่งจองอู่ก็ปล่อยงานในมือลดตัวลงมา บริการประธานหลินด้วยตัวเองในหอตี้เจียง เพื่อประจบพระองค์นี้

หลินอิ่งมองไปที่นิ่งจองอู่ พูดว่า “อาหารเตรียมเสร็จหรือยัง?”

“ประธานหลิน จัดเรียบร้อยแล้ว พร้อมจัดได้ตลอดเวลา” นิ่งจองอู่พูดอย่างเคารพ

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ

“ประธานหลิน คนนี้คือลูกสาวผม นิ่งเฟิงเยว่ ชื่นชมท่านมาตลอด วันนี้ได้ยินว่าประธานหลินจะมาที่หอตี้จิง ลูกสาวจึงมาต้อนรับโดยเฉพาะ” นิ่งจองอู่แนะนำ

หลินอิ่งมองไป ใบหน้านิ่งเฟิงเยว่ยิ้มแย้ม ดวงตาสดใส จ้องมาทางเขา

“ประธานหลิน รู้สึกลูกสาวผมเป็นยังไงบ้าง?” นิ่งจองอู่ถามอย่างระมัดระวัง

“หมายความว่าอะไร?” หลินอิ่งขมวดคิ้วถาม

“ถ้าหากประธานหลินชอบ ผมจะได้ให้ลูกสาวไปรับใช้ประธานหลิน” นิ่งจองอู่พูดอย่างยิ้มแย้ม สายตาเต็มไปด้วยความหวัง

ด้วยฐานะอันสูงส่งของหลินอิ่ง ถ้าหลินอิ่งถูกใจลูกสาวของเขา แบบนี้ก็เหมือนก้าวเดียวขึ้นสวรรค์

นิ่งจองอู่ก็รู้ ว่าผู้อาวุโสหลินมีผู้หญิงอยู่ข้างกาย แต่ว่า นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา

คนใหญ่โตอย่างหลินอิ่ง ข้างกายผู้หญิงเยอะหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ ถึงแม้ลูกสาวจะไปเป็นเมียน้อย ก็ถือว่าฝ่ายสูงแล้ว

“อย่ามาทำเรื่องร้ายสาระพวกนี้กับผม” หลินอิ่งเข้าใจความหมายของนิ่งจองอู่ รูปเสียงเรียบ แล้วเดินจากไป

นิ่งจองอู่พยักหน้า นับถือในความหนักแน่นของผู้อาวุโสหลิน ลูกสาวนิ่งเฟิงเยว่เป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงในตี้จิง เข้าหาผู้อาวุโสหลินเอง แต่ถูกปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

เมื่อก่อนคุณชายตระกูลดังมากมายเข้ามาหา นิ่งจองอู่ก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เพราะลูกสาวตัวเองก็เย่อหยิ่งตาสูง แต่ครั้งที่แล้วได้เห็นหลินอิ่งที่ตระกูลนิ่งแล้ว ก็ชื่นชอบตั้งแต่แรกเห็น ไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่ใจกล้าขนาดเข้าหาหลินอิ่งด้วยตัวเอง

นิ่งจองอู่ถอนหายใจ น่าเสียดายจริง ถ้าหากประธานหลินชอบลูกสาวตัวเอง ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบ แต่ว่าก็ไม่ใช่ไม่มีโอกาสเลย เพราะว่าผู้อาวุโสหลินมองลูกสาวตัวเองด้วย หมายความว่ายังมีความหวัง

ส่วนนิ่งเฟิงเยว่ที่จ้องหลินอิ่งตลอดเวลา เมื่อหลินอิ่งปฏิเสธเดินจากไป สีหน้าก็มีอาการผิดหวัง

พ่อออกตัวพูดแล้ว แต่กลับถูกปฏิเสธโดยตรง

เธอเคยเห็นความเก่งกาจของหลินอิ่งที่ตระกูลนิ่งแล้ว ผู้ชายสมบูรณ์แบบขนาดนี้หายากขนาดไหน เธอไม่ยอมพลาดแน่

ถึงแม้หลินอิ่งจะมีภรรยาแล้วไง ก็แค่ได้รับใช้อยู่ข้างกายก็พอ

คิดไป นิ่งเฟิงเยว่ก็รู้สึกสงสัย ตัดสินใจจะไปดูผู้หญิงที่หลินอิ่งพามา เป็นยังไงกันแน่

ห้านาทีผ่านไป

หญิงสาวในชุดจีนโบราณก็กันออกมา เริ่มจัดอาหารบนโต๊ะ

ทันใดนั้น กลิ่นหอมอันเย้ายวนก็โชยมา

ซาวม่ายไส้ดอกพีช เค้กกล้วยไม้ถั่วแดง ซื่อสี่หวานจึ ซุปโสมภูเขา ปลากะพงนึ่ง ปลาลวกจิ้มซีอิ๊ว ของหวานต่างๆ รสชาติครบถ้วน ทำให้คนเห็นแล้วก็อยากชิมรสชาติทันที

“ประธานหลิน อาหารครบแล้วค่ะ”

น้ำเสียงอ่อนหวานรื่นหูดังขึ้น มือสวยดั่งหยกยื่นมาตรงหน้าหลินอิ่ง เทน้ำชาให้เขาจนเต็มแก้วด้วยท่าทางอ่อนโยน

นิ่งเฟิงเยว่มองหลินอิ่งหน้าตายิ้มแย้ม สายตาเย้ายวน เธอเปลี่ยนชุดกี่เพ้าสีเขียว โชว์ขาอันเรียวยาวและขาวนวล อุ่นอันสวยงาม

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูด ตักเนื้อปลาวางในถ้วยให้ฉีโม่

จางฉีโม่กินข้าวไปสองคำ หันไปมองนิ่งเฟิงเยว่ พูดว่า “ช่วยไปเอาไวน์ให้ฉันขวดหนึ่ง”

“ได้ค่ะ” นิ่งเฟิงเยว่พยักหน้า สายตากำลังสังเกตจางฉีโม่อย่างสงสัย

“หลินอิ่ง พนักงานที่นี่สวยขนาดนี้เลยเหรอ? เทียบกับดาราได้เลยนะ” จางฉีโม่มองไปที่หลินอิ่ง ถามอย่างสงสัย “ทำไมฉันรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้ มองคุณด้วยสายตาแปลกๆ?”

หลินอิ่งพูด “ผมก็ไม่รู้ ฉีโม่ กินข้าวเถอะ”

จางฉีโม่ดูความหมายในสายตาของนิ่งเฟิงเยว่ นั่นคือสายตาที่อยากกลืนกินหลินอิ่ง

“โอ้โห? เมื่อกี้บอกว่าไม่มีอาหารชุดตี้เจียงแล้ว? นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงมีคนได้กิน ดูถูกฉันใช่ไหม?”

ทันใดนั้น เสียงโวยวายดังขึ้น ชายเสื้อคลุมสีขาว ก็เดินเข้ามาทางโต๊ะอาหารของหลินอิ่ง

ข้างหลังชายเสื้อขาว มีชายหน้าเคร่งเครียดในชุดสูทเดินตาม ท่าทางมีฐานะ

“นี่มันอะไรกัน? นายนี่มันฐานะอะไร? อาหารที่ต้อนรับฉันใช้แต่วัตถุดิบเกรดต่ำ ของหยาบคาย คนที่มาช่วยมันเทน้ำ ยกถ้วย กลับเป็นสาวงามขนาดนี้?” ผู้ชายพูดอย่างไม่เกรงใจ มองหลินอิ่งอย่างไม่พอใจ สีหน้าเหมือนคนเมา

ชายเสื้อขาวสายตาชั่วร้าย จ้องนิ่งเฟิงเยว่ที่ยืนข้างหลินอิ่ง กวาดตามองขายาวอันสวยงาม ต่อมาสายตาก็มองไปที่หน้าของจางฉีโม่ แลบลิ้นเสียริมฝีปากตัวเอง ท่าทางอวดดีไร้ยางอาย

“คุณเผียวจื้อจาง คุณเมาแล้วใช่ไหม? ไม่รู้จักฉันเหรอ?” นิ่งเฟิงเยว่พูดด้วยสีหน้าไม่ดี รู้สึกกลัวผู้ชายคนนี้เล็กน้อย

“ออ? ผมเกือบดูไม่ออกแล้ว ที่แท้ก็คือคุณหนูนิ่งนี่เอง” เผียวจื้อจางพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ สีหน้าเย่อหยิ่ง “คิดไม่ถึง คุณหนูนิ่งถอดแว่นแล้ว แต่งตัวขึ้นมา จะสวยขนาดนี้ เหอะเหอะ ใช้ได้”

“แล้วก็สาวสวยคนนี้ก็ใช้ได้ สวยงามมาก คิดไม่ถึงว่ามาจากเกาหลีครั้งนี้ จะได้เจอสาวงามตั้งสองท่าน ช่วยแนะนำตัวหน่อยได้ไหม?” สายตาเผียวจื้อจางมองอยู่ที่จางฉีโม่ นั่งลงอย่างไม่เกรงใจ

ไม่สนใจว่ายังมีหลินอิ่งอยู่ด้วยแม้แต่น้อย

“คุณเผียว สองท่านนี้เป็นแขกพิเศษของหอตี้เจียง คุณเมาแล้ว เชิญกลับไปพักผ่อนเถอะ” นิ่งเฟิงเยว่พูดด้วยสีหน้าไม่ดี

เธอมั่นใจว่าหลินอิ่งเป็นคนมีเรื่องด้วยไม่ได้ คุณชายเผียวจากเกาหลีท่านนี้ เธอก็มีเรื่องด้วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าเมาแล้วบุกเข้ามาได้ยังไง เรื่องใหญ่แล้ว

“แขกพิเศษ? เธอหมายความว่ายังไง? ผมไม่ใช่แขกพิเศษเหรอ? เธอนี่กล้ามากนัก? เธอรู้ไหม พ่อเธอยังต้องมาง้อฉันเพื่อคุยเรื่องธุรกิจ? เหี้ย เมื่อก่อนผู้นำตระกูลนิ่งนิ่งจองเต้ายังไม่กล้าพูดจาแบบนี้กับฉันเลย” เผียวจื้อจางโมโหไม่พอใจ ตบโต๊ะพูดอย่างโมโห

“เคลียร์พื้นที่ให้ฉัน ฉันจะกินเหล้ากับสาวสวยสองคนนี้ คนอื่น ไสหัวออกไป” เผียวจื้อจางทางท่ายโสพูดจาสั่งอย่างอวดดี

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท