ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 340 ความหึงหวงกระจาย

บทที่ 340 ความหึงหวงกระจาย

“พี่สาว เธอด่าคุณว่าเป็นสาวน้อยบ้านนอก มันหยิ่งผยองเกินไปจริงๆ หาคนสั่งสอนเธอ” ลู่จิ้งพูดยั่วยุที่ด้านข้าง “เธอเป็นแค่มือที่สาม กล้าดียังไงมาหาถึงที่ พี่สาว คุณเห็นเธอเย่อหยิ่งขนาดนี้ ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่ฉันพูดก่อนหน้านี้เป็นความจริง? หลินอิ่งมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเธอ และในเมื่อคืนนี้พวกเขาก็ยังกอดกันอีกด้วย!”

ยิ่งจางฉีโม่ฟังมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดในใจมากขึ้นเท่านั้น

จ้าวหลินเอ๋อร์คนนี้ช่างหยิ่งผยองเหลือเกิน กล้ามาหาเรื่องตัวเองถึงที่เลยงั้นหรือ?

“คุณลองเรียกร้องอีกครั้งดู?” จ้าวหลินเอ๋อร์มองไปที่ลู่จิ้งอย่างเย็นชา “ดูรูปลักษณ์ของคุณสิ สมควรที่จะถูกตบตี! ปากพูดเหลวไหล ปล่อยข่าวลือสร้างเรื่องไปทั่ว!”

จ้าวหลินเอ๋อร์ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ที่พับหงเหรินก่วนในเมื่อคืนนี้ และใบหน้าที่น่าเกลียดของลู่จิ้งก็อยู่ในสายตาของเธออย่างสมบูรณ์

ถึงวันนี้แล้ว ลู่จิ้งคนนี้ยังคงพูดเหลวไหลและปล่อยข่าวลืออยู่ข้างนอก?

ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าฉีหยิ่นอาศัยอยู่ในเมืองตุงไห่อย่างไรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กับญาติที่แปลกประหลาดเช่นนี้

“ฉัน………” ลู่จิ้งอยากจะโต้กลับด้วยคำพูด แต่จางฉีโม่หยุดเธอด้วยสายตาอย่างเย็นชา

“ลู่จิ้ง กลับไปก่อนเถอะ” จางฉีโม่กล่าวว่า

ลู่จิ้งพยักหน้า ยืนขึ้นและจากไปอย่างเชื่อฟัง มองไปที่เงาหลังของจต้าวหลินเอ๋อร์ยังคงรู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม เธอมีความสุขมากที่ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ในใจ เรื่องมันยิ่งใหญ่โตก็ยิ่งดี จ้าวหลินเอ๋อร์คนนี้ยังกล้ามาหาถึงที่งั้นเหรอ นั่นจะทำให้พี่สาวของเธอโกรธอย่างแน่นอน

เมื่อพี่สาวเริ่มโกรธ แม้ว่าหลินอิ่งจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจ้าวหลินเอ๋อร์จริงๆ ก็จะอธิบายได้ไม่ชัดเจนถึงจะกระโดดลงไปในแม่น้ำเหลือง

ลู่จิ้งพึงพอใจกับสถานการณ์นี้มาก นี่คือสิ่งที่เธอต้องการทำให้สำเร็จ ยิ่งเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นเท่าไร พี่สาวของเธอก็จะยิ่งไม่พอใจกับไอ้ขยะหลินอิ่งเท่านั้น เธอก็สามารถตอบโต้ทางอ้อมกับหลินอิ่งได้แล้ว!

หลังจากที่ลู่จิ้งจากไป จางฉีโม่ก็มองไปที่จ้าวหลินเอ๋อร์ด้วยสีหน้าที่สงบ และพูดว่า “คุณมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือ?”

จ้าวหลินเอ๋อร์เยาะเย้ย มองจางฉีโม่ด้วยท่าทางยั่วยุ และพูดว่า “ฉันมาหาคุณ แน่นอนว่าฉันจะมาบอกคุณว่า คุณ จางฉีโม่อยู่ห่างจากผู้ชายของฉันไว้ในอนาคต หากคุณมีความรู้ตัวดี ก็หายจากสายตาของฉีหยิ่นไปตลอดกาลซะ”

ในขณะที่กำลังพูด จ้าวหลินเอ๋อร์ก็มองไปที่จางฉีโม่อย่างละเอียด และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ได้คาดคิดเลยว่าจากชนบทแห่งหนึ่งในเมืองตุงไห่ที่แบบนั้น ยังคงมีคนที่เดินออกมาแบบที่มีอารมณ์ที่สวยงามเช่นนี้ได้ และเมื่อเทียบกับเธอก็จะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

ดูเหมือนว่าฉีหยิ่นยังคงมีวิสัยทัศน์อยู่บ้าง แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแล้วยังไงล่ะ มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปงความจริงที่จางฉีโม่เป็นสาวน้อยที่มาจากบ้านนอกเลย

แม้ว่าจางฉีโม่จะดูไม่ธรรมดา และมีความสามารถอยู่เล็กน้อย ก็ดำเนินกิจการบริษัทเครื่องประดับเล็กๆ อยู่ในเมืองตุงไห่ ในสายตาของคนธรรมดาเป็นชนชั้นสูงทางสังคม คนชั้นสูง และเป็นบุคคลขนาดใหญ่ในระดับเทพธิดา แต่เมื่อเทียบกับจ้าวหลินเอ๋อร์ที่สง่างามอย่างเธอ นั่นเป็นความแตกต่างระหว่างก้อนเมฆและโคลนเลยทีเดียว

ด้วยสถานะของเธอในฐานะจ้าวหลินเอ๋อร์หญิงสาวผู้ภาคภูมิใจในสวรรค์ เธอแทบจะมองข้ามการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิต

“คุณกำลังพูดอะไรอยู่เหรอ?” ใบหน้าของจางฉีโม่โกรธเล็กน้อย และเธอรู้สึกโกรธมากอยู่ในใจ “ฉีหยิ่น? คุณหมายถึงหลินอิ่งหรือไม่? หลินอิ่งเป็นสามีของฉัน คุณมีสิทธิ์อะไรถึงพูดอย่างนั้นอยู่ต่อหน้าฉัน คุณมีสิทธิ์อะไรที่จะให้ฉันไปจากเขา? ”

ท่าทางวางตัวของจ้าวหลินเอ๋อร์ ทำให้จางฉีโม่โกรธแล้วจริงๆ ช่างกล้าเกินไปแล้วจริงๆ!

“เหอะ สามีของคุณงั้นเหรอ? คุณไร้ยางอายมากเลยจริงๆ ” จ้าวหลินเอ๋อร์ตะคอกอย่างเย็นชา “คุณคู่ควรไหม?”

จางฉีโม่ยืนขึ้น ร่างกายโกรธของเธอสั่น จ้องไปที่จ้าวหลินเอ๋อร์ จ้าวหลินเอ๋อร์ก็ไม่แสดงอาการอ่อนเช่นกัน จ้องมองกันและกัน

ทั้งสองเผชิญหน้าต่อกัน และไม่มีใครยอมแสดงความอ่อนแอเลยสักนิด

“คุณจ้าว ฉันขอให้คุณให้ความเคารพตัวเองบ้าง หลินอิ่งเป็นสามีที่แต่งงานแล้วของฉัน คุณทำเช่นนี้ ไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ? ” จางฉีโม่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

จ้าวหลินเอ๋อร์ตะคอกอย่างเย็นชา ด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ และกล่าวว่า “คุณยังคิดว่าการแต่งงานกับฉีหยิ่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลหรือไม่? ถ้าอย่างนั้นฉันขอบอกคุณเลย ฉีหยิ่นและฉันมีสัญญาแต่งงานกันตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว! ถ้าไม่ใช่ฉีหยิ่นออกจากตี้จิงไปในปีนั้น ฉันอยู่กับเขาไปนานแล้ว ยังจะมีกงการของคุณสักที่ไหน?”

“อะไรนะ? เขามีสัญญาแต่งงานนานแล้วงั้นเหรอ?” การแสดงออกของจางฉีโม่ประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าหลินอิ่งจะมีอดีตเช่นนี้

จ้าวหลินเอ๋อร์หัวเราะเยาะ และพูดว่า “คุณยังไม่รู้เรื่องใช่ไหม? ฉีหยิ่นกับฉันเป็นคู่รักในวัยเด็ก ตอนที่ฉันรู้จักเขา คุณยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเลย!”

“ใช่แล้ว คุณไม่รู้ชื่อจริงของฉีหยิ่นด้วยซ้ำใช่ไหม? คุณยังคิดว่าเขาเรียกว่าหลินอิ่งเหรอ? ยังคิดว่าฉีหยิ่นเป็นสามีของคุณหรือไม่? น่าสมเพชจริงๆ เลย คุณไม่รู้แม้กระทั่งชื่อจริงของเขาด้วยซ้ำ!” จ้าวหลินเอ๋อร์กล่าวด้วยการแสดงออกที่พึงพอใจ

“ฉันขอถามคุณหน่อย จางฉีโม่ คุณเข้าใจฉีหยิ่นจริงๆ หรือไม่? คุณรู้ถึงอดีตที่มาของฉีหยิ่นหรือไม่? รู้ว่าเขาเกิดมาในฐานะอย่างไรหรือไม่? รู้ว่าเขาทรงพลังแค่ไหนหรือไม่? ”

“ถามไปก็แค่นั้น คุณไม่รู้อะไรเลย อายไหมที่จะบอกว่าฉีหยิ่นเป็นผู้ชายของคุณ?”

“และฉัน ตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กก็รู้ว่าฉีหยิ่นชอบอะไร เขาชอบเรียนภาษาจีน และชอบสไตล์โบราณ ฉันยังเคยได้วาดรูปกับเขาด้วย ฉันยังรู้ด้วยว่าเขาชอบดื่มชาดำ และไม่ชอบดื่มเหล้า………….”

หลังจากพูดจบ จ้าวหลินเอ๋อร์ก็มองไปที่จางฉีโม่ในท่าทางที่ชนะ ด้วยท่าทางที่ขี้เล่นอย่างมาก

หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ การแสดงออกของจางฉีโม่ก็ซับซ้อน และในหัวใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจ และเธอก็หยุดนิ่งอยู่กับที่

คำถามแต่ละข้อนี้ คำพูดแต่ละประโยคนี้ เหมือนเข็มที่ทิ่มแทงอยู่ในหัวใจของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงรู้จักหลินหยิ่งมากกว่าที่เธอรู้!

ใช่ ดูเหมือนเธอ จะไม่ค่อยรู้จักกับหลินอิ่งเป็นอย่างดี และไม่ได้เยอะเท่าจ้าวหลินเอ๋อร์ ที่พึ่งปรากฏตัวอย่างกะทันหันเลยด้วยซ้ำ

หรือว่า หลินอิ่งเคยมีอดีตที่พัวพันกับจ้าวหลินเอ๋อร์อย่างไม่ชัดเจน?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จางฉีโม่ก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

“ไม่มีแรงที่จะโต้กลับแล้วใช่ไหม? สาวน้อยบ้านนอก!” จ้าวหลินเอ๋อร์มองไปที่จางฉีโม่ด้วยท่าทางที่พึงพอใจ “ฉันพูดอะไรที่ไม่น่าฟัง มันเป็นความโชคดีและพรของคุณ ที่ได้พบกับผู้ชายอย่างฉีหยิ่น คุณสามารถผ่านประสบการณ์อยู่กับฉีหยิ่นในช่วงเวลาหนึ่งแล้ว ควรจะพอใจได้แล้ว จากนี้ไป เขาเป็นมังกรเก้าชั้นฟ้าตัวจริงที่บินได้ และคุณเป็นเพียงหญิงสาวบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่คู่ควรกับเขาเลย และก็ไม่สามารถตามรอยเท้าเขาทันได้!”

“ฉันยินดีที่จะให้โอกาสคุณออกจากการต่อสู้อย่างเหมาะสม” จ้าวหลินเอ๋อร์กล่าวอย่างจางๆ “ไปจากหลินอิ่ง คุณสามารถเปิดเงื่อนไขกับฉันได้ และฉันจะตอบสนองความต้องการของคุณ คุณต้องการความมั่งคั่งหรือไม่? อุตสาหกรรม? หรือบริษัท? ฉันช่วยให้คุณทำเสร็จได้ ไม่ต้องสงสัยในความสามารถของฉัน ฉันชื่อจ้าวหลินเอ๋อร์ คุณสามารถไปค้นหาว่าฉันเป็นใครในตี้จิงได้ตามต้องการ!”

หลังจากพูดจบ จ้าวหลินเอ๋อร์ก็มองไปที่จางฉีโม่ด้วยความเย่อหยิ่ง และดูถูกในสายตาของเธอ

เธอมีเงินทุนเพียงพอที่จะสนับสนุน และในทุกๆ ด้าน จางฉีโม่นั้นไม่สามารถเทียบได้กับเธอเลย!

“คุณจะเป็นใครมันไม่เกี่ยวกับฉันเลย?” จางฉีโม่กล่าวด้วยท่าทางโกรธเล็กน้อย “ฉันขอเตือนคุณอย่างจริงจังว่า หลินอิ่งเป็นสามีของฉัน ไม่ว่าสถานะของเขาจะเป็นอย่างไร เขาก็เป็นสามีของฉัน! ในจุดนี้มันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท